ตอนที่ 248-1 การเอาคืนของคุณชาย

ชายาเคียงหทัย

“คุณชายชิงเฉินแห่งเมืองหลีมา!”

แค่เพียงเสียงเอ่ยรายงานธรรมดาๆ กลับทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีสีหน้าเปลี่ยนไป คนแรกที่สีหน้าเปลี่ยนไปก็คือม่อจิ่งฉี ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าการแตกหักของซีเป่ยและต้าฉู่จะอยู่ในสถานการณ์ที่มิอาจย้อนกลับไปได้อีก แต่ม่อจิ่งฉีกลับดื้อรั้นไม่ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของตน ที่บีบคั้นติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อจนทำให้เขาแตกหักกับต้าฉู่ แต่กลายเป็นว่าม่อซิวเหยาต่างหากที่มีใจคิดทะเยอทะยานและเป็นคนคิดคดทรยศไปเสียได้

ดังนั้นประชาชนจะคิดเห็นอย่างไรไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมได้ แต่ขุนนางใหญ่ในท้องพระโรงมิอาจไม่เรียกขานว่าติ้งอ๋องว่าเป็นคนทรยศตามอย่างที่ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยได้ ถึงแม้ยามเรียกขานเช่นนั้น พวกเขาจะรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง แต่ผู้ใดใช้ให้พวกเขากินข้าวของฮ่องเต้กันเล่า

ยามนี้เมื่อสวีชิงเฉินประกาศตนอย่างเปิดเผยว่ามาจากเมืองหลี เท่ากับเป็นการตบหนักๆ เข้าที่ใบหน้าของม่อจิ่งฉี ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ไม่เพียงตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อเท่านั้น แม้แต่ตระกูลสวีก็ถูกเขาบีบคั้นจนต้องออกไปเช่นกัน ยามนี้เมื่อคุณชายชิงเฉินปรากฏตัวขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่นี่ในฐานะคนของม่อซิวเหยา นั่นมิใช่เป็นการบอกกับใต้หล้าหรือว่า คนที่เจ้าม่อจิ่งฉีไม่กล้าใช้ แต่ม่อซิวเหยากล้าใช้ ตระกูลสวีที่ถูกแช่แข็งยามอยู่ที่ต้าฉู่ แต่เมื่อมาอยู่ที่ซีเป่ยกลับได้มีอำนาจในมือทันที เมื่อเปรียบเทียบจากจุดนี้ ผู้ใดยกย่อง ผู้ใดกดขี่ แค่มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันที หากสีหน้าม่อจิ่งฉีจะดีก็คงเป็นเรื่องประหลาดแล้ว

คนที่สีหน้าเปลี่ยนไปคนต่อมาก็คือม่อจิ่งหลีกับเหลยเถิงเฟิง รวมถึงชายหนุ่มหล่อเหลามีความสามารถที่จิตใจมิได้มัวเมาอยู่กับสุรา เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานเลือกคู่ของคุณหนูมู่หรง รูปลักษณ์ของบุรุษ อย่างไรก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ แต่คนที่อยู่ ณ ที่นี้ หากว่าด้วยเรื่องคนที่สามารถเทียบชั้นเรื่องความหล่อเหลาและความสามารถกับคุณชายชิงเฉินแล้ว เกรงว่าคงจะมีอยู่เพียงสองสามคนเท่านั้น ทุกคนจึงทำได้เพียงนึกยินดีที่คุณชายชิงเฉินเป็นผู้ที่ไม่มีวรยุทธ มิเช่นนั้นแล้ว ตระกูลมู่หรงคงไม่ต้องจัดการประลองให้เหนื่อย ก็สามารถคัดเลือกได้เลยทันที

ส่วนอีกสองบุคคลสำคัญที่อยู่ ณ ที่นั้น หลิงเถี่ยหานมิได้มีเรื่องผลประโยชน์อันใดเกี่ยวข้องกับสวีชิงเฉิน และเดิมทีทั้งสองคนก็มีมิตรไมตรีต่อกันอย่างมากอยู่แล้ว จึงหันไปพยักหน้าให้สวีชิงเฉินถือเป็นการทักทาย ส่วนเจิ้นหนานอ๋อง ถึงแม้สวีชิงเฉินจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้า แต่อย่างไรก็ไม่เคยสู้รบกับเจิ้นหนานอ๋องมาก่อน อีกทั้ง ทั้งสองก็มิใช่คนยุคเดียวกัน คนที่เด็กกว่าเจิ้นหนานอ๋องรุ่นหนึ่งและสามารถทำให้เจิ้นหนานอ๋องเห็นว่าเป็นคู่ต่อสู้ได้ก็มีเพียงม่อซิวเหยาคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมิได้เห็นสวีชิงเฉินอยู่ในสายตาสักเท่าไรนัก

ตั้งแต่สวีชิงเฉินอายุยังน้อย ก็มิได้สนใจว่าผู้ใดจะชื่นชอบหรือดูหมิ่นอยู่แล้ว จะเห็นเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อยู่ในสายตาได้อย่างไร

คุณชายชิงเฉินอยู่ในชุดสีขาว เดินเรื่อยๆ เข้ามา มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ ประหนึ่งแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิและดอกหลีแฝงอยู่ จอมยุทธหญิงทั้งหลายในยุทธภพต่างพากันสูดให้ใจเข้าไปเฮือกใหญ่โดยไม่รู้ตัว จนแก้มทั้งสองข้างกลายเป็นสีแดงระเรื่อ

คุณหนูมู่หรงที่ยืนอยู่ข้างประมุขตระกูลมู่หรงเองก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน หากว่านางถือตนว่ามีสายตาที่สูงส่ง หลายวันนี้ก็ได้พบยอดบุรุษมาก็ไม่น้อย แต่รูปลักษณ์ประหนึ่งเทพเซียนของคุณชายชิงเฉินนี้ กลับเป็นสิ่งที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ยามนี้คุณหนูมู่หรงไฉนเลยจะจดจำสิ่งที่ท่านปู่และท่านอาทวดพร่ำสั่งสอนไว้ได้อีก หัวใจดวงน้อยๆ ของนางเต้นระรัวไปหมด

“ทุกท่าน ข้าน้อยมาช้า ได้โปรดอภัยด้วย” สวีชิงเฉินประสานมือเอ่ยขึ้นยิ้มๆ

เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องว่า “คุณชายชิงเฉินเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญนั่ง ไม่รู้ว่าติ้งอ๋องกับชายาติ้งอ๋องมาด้วยหรือไม่”

สวีชิงเฉินเอ่ยสบายๆ ว่า “ลำบากเจิ้นหนานอ๋องให้นึกถึงแล้ว ท่านอ๋องกับพระชายามีธุระให้ต้องไปสะสางมามายนัก มิอาจปลีกตัวมาได้ ดังนั้นจึงจำต้องให้คนว่างงานอย่างข้าน้อยมาร่วมงานนี้แทน หวังว่าทุกท่านจะไม่รังเกียจ”

ทุกคนต่างพากันเกรงใจ ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนเป็นผู้มีอำนาจและชนชั้นสูงจากแต่ละแคว้น ย่อมรู้ดีว่า บุรุษที่ปานประหนึ่งเทพบุตรตรงหน้านี้หาใช่คนว่างไม่ ถึงแม้เขาจะเป็นขุนนางสายบุ๋นที่อยู่ภายใต้ม่อซิวเหยา และยังมิได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนต่างเข้าใจกันดีว่า คุณชายชิงเฉินที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ มีอำนาจในซีเป่ยมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าอัครเสนาบดีแห่งแคว้นอย่างแน่นอน

“หึ!” มิใช่เรื่องที่น่ายินดีหรือที่แขกเหรื่อในงานต่างพากันเกรงใจ แต่ประมุขตระกูลมู่หรงที่เป็นเจ้าบ้านกลับดูมีสีหน้าไม่ดีเท่าไรนัก ตระกูลมู่หรงและตระกูลสวี เรียกได้ว่าเป็นตระกูลเก่าแก่สองตระกูลที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานที่สุด แต่ถึงแม้ตระกูลมู่หรงจะร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า แต่กลับมีปมในใจกับตระกูลสวีมาโดยตลอด

เหตุผลก็หาใช่ใดอื่น ตระกูลสวีเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงโด่งดังรุ่นต่อรุ่นจากการเป็นตระกูลบัณฑิตที่มีชื่อเสียงด้านขงจื้อ แค่เพียงได้ยินชื่อ คนมากมายจากทุกแว่นแคว้นก็ต่างพากันเลื่อมใสศรัทธา แต่ตระกูลมู่หรง ด้วยเพราะเป็นตระกูลพ่อค้า ที่แม้แต่ราชสำนักก็ยังไม่สามารถเดินเข้าไปได้ การเป็นตระกูลที่ร่ำรวยเสียยิ่งกว่าแคว้น ยังจำต้องอดทนต่อการกลั่นแกล้งทั้งต่อหน้าและลับหลังสารพัดอย่างจากเชื้อพระวงศ์ หากว่าการที่ตระกูลมู่หรงต้องมาถึงจุดที่คนในตระกูลหดหายเช่นในยามนี้ แล้วว่าราชวงศ์มิได้เป็นกำลังส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อ

ถึงแม้ตระกูลสวีและตระกูลมู่หรงจะถูกโจมตีด้วยเพราะความขลาดกลัวของราชวงศ์ แต่หากวันใดวันหนึ่งตระกูลสวีเกิดสูญสิ้นลง ก็จะยังมีชื่อเสียงที่ดีต่อไปตลอดกาล เพราะถึงอย่างไรตระกูลสวีที่ทำคุณประโยชน์ต่อราชวงศ์มาถึงสองราชวงศ์ด้วยกัน จะลบเรื่องราวของพวกเขาออกไปทั้งหมดนั้น เกรงว่าคงต้องเริ่มเขียนประวัติศาสตร์กันใหม่ทั้งหมด

แต่ตระกูลมู่หรง เมื่อใดก็ตามที่สูญสิ้นลง จะยังมีผู้ใดจดจำพวกเขาได้อีก อีกทั้งยามนี้ตระกูลสวียังมีหลานเขยนอกตระกูลที่เก่งกาจมากอีกด้วย ทั้งยังมีบุตรชายที่ความสามารถไม่ธรรมดาอีกห้าคน เมื่อใดก็ตามที่อำนาจของติ้งอ๋องมั่นคง ตระกูลสวีก็คงได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง และคงจะมากกว่าเมื่อครั้งอดีตอีกด้วย

เมื่อกลับมามองตระกูลมู่หรง ที่ยามนี้กลับเหลือเพียงทรัพย์สินเงินทอง จะไม่ทำให้รู้สึกใจหายได้อย่างไร

เสียงหึเบาๆ นี้ กลับทำให้ทุกคนนึกตกใจ

สีหน้าสวีชิงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย อันที่จริงตัวเขามิได้รู้สึกอันใดมากนัก เพียงแต่เมื่อหันไปเห็นปฏิกิริยาของเจิ้นหนานอ๋องและหลิงเถี่ยหานจึงได้เข้าใจว่า เสียงหึนี้คงมิใช่เสียงหึธรรมดาๆ

สวีชิงเฉินหมุนตัวไปประสานมือให้มู่หรงสยงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งแรกสุด “ผู้อาวุโสมู่หรง ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว โปรดอภัยด้วย”

ในเสียงเมื่อครู่ของมู่หรงสยงแฝงกำลังภายในพิเศษเอาไว้ จึงจะมีผลต่อคนที่มีกำลังภายในเช่นเดียวกันเท่านั้น อีกทั้งยิ่งเป็นคนที่มีกำลังภายในล้ำลึกก็จะยิ่งส่งผลแรง น่าเสียดายที่เขาถอยห่างมาจากยุทธภพเป็นเวลานานเกินไป จึงคิดไม่ถึงว่าสวีชิงเฉินจะเป็นผู้ที่ไม่มีวรยุทธ อีกทั้งสวีชิงเฉินก็ดูมีสง่าราศีโดดเด่น สง่างามและรักษาท่าที เมื่อพูดคุยกับยอดฝีมืออย่างเจิ้นหนานอ๋องและหลิงเถี่ยหานก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลงแม้แต่น้อย มู่หรงสยงจึงยิ่งเข้าใจไปว่า สวีชิงเฉินใช้วิธีการพิเศษบางอย่างในการปกปิดวรยุทธของตนเอาไว้ เดิมทีในยุทธภพก็ใช้วิธีการเช่นนี้กันอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อเห็นสวีชิงเฉินยังคงสีหน้าเช่นเดิม เอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ จึงยิ่งหน้าบึ้งตึงลงไปอีก

“เหตุใดติ้งอ๋องถึงไม่มา” มู่หรงสยงเอ่ยถามเสียงขรึม ในน้ำเสียงดูเจือแววข่มขู่ ซึ่งทำให้คนจำนวนมากที่อยู่ ณ ที่นั้นรู้สึกไม่พอใจ อย่างเช่นเจิ้นหนานอ๋อง ไม่มีผู้ใดที่นึกโกรธที่มิอาจมีหัวใจสักเจ็ดห้อง สิ่งที่พวกเขาคิดมากกว่าคนทั่วไปมีสักสิบเท่าร้อยเท่า ถึงแม้พวกเขาส่วนมากจะไม่ลงรอยกับม่อซิวเหยา แต่ความอดทนของม่อซิวเหยา อย่างน้อยก็ไม่มีผู้ใดไม่รู้สึกนับถือใจเขาในเรื่องนี้

เมื่อตาแก่ผู้นั้นเอ่ยปากก็ใช้น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการออกคำสั่ง ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เห็นม่อซิวเหยาอยู่ในสายตาเท่านั้น แต่เขาก็ไม่เห็นพวกตนอยู่ในสายตาเช่นเดียวกัน

สีหน้าเจิ้นหนานอ๋องยังดูไม่เปลี่ยน แต่สายตากลับค่อยๆ วาดผ่านหลิงเถี่ยหาน ม่อจิ่งหลีเหล่านั้นไป แววตามีความเยือกเย็นเล็กน้อย ตาแก่นี้คงมิได้คิดว่า เขาที่มิได้ปรากฏตัวขึ้นมาปลายสิบปี ยามนี้พอออกมาพบหน้าผู้คนแล้ว ทุกคนในใต้หล้าจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขากระมัง โง่เขลานัก!

สวีชิงเฉินมิได้โกรธ แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่จางลงแม้แต่น้อย เอ่ยเรียบๆ ว่า “ติ้งอ๋องกับพระชายามีการงานพันตัวอยู่มาก มิอาจปลีกตัวมาร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพในครั้งนี้ได้ เมื่อครู่ข้าน้อยได้เป็นตัวแทนติ้งอ๋องกล่าวขอโทษเจิ้นหนานอ๋องและเจ้าสำนักหลิงไปแล้ว ทั้งสองก็มิได้ว่าอันใด”

ด้วยวรยุทธและตำแหน่งของม่อซิวเหยา ผู้ที่สามารถประมือกับเขาได้ก็มีเพียงเจิ้นหนานอ๋องและหลิงเถี่ยหานเท่านั้น

หากนี่เป็นเพียงงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพ เมื่อทั้งสองท่านนั้นมิได้ถือสาอันใด ก็คงไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอจะพูดอันใดได้ อีกทั้งการร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพเป็นไปด้วยความสมัครใจ หากติ้งอ๋องไม่ยินดีที่จะมา ผู้ใดก็ทำอันใดไม่ได้มิใช่หรือ

แต่มู่หรงสยงกลับไม่พอใจที่ผลออกมาเป็นเช่นนี้ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าส่งเทียบเชิญไปถึงติ้งอ๋อง เหตุใดเขาถึงไม่มา”

สวีชิงเฉินขมวดคิ้วน้อยๆ กวาดสายตาเรียบๆ มองไปทางคุณหนูมู่หรงที่ยืนอยู่ข้างประมุขตระกูลมู่หรง เขามิได้ตอบคำถามของมู่หรงสยงในทันที แต่กลับหมุนตัวเดินไปนั่งลงยังที่ว่างข้างๆ หลิงเถี่ยหาน เมื่อรู้ว่าอีกไม่นานมู่หรงสยงจะเก็บความโกรธต่อไปไม่ไหวและระเบิดออกมา ถึงได้เอ่ยเรื่อยๆ ขึ้นว่า “ท่านอ๋องของพวกเราบอกไว้แล้วว่า ท่านหาได้สนใจเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากการชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพไม่”

ในงานเงียบกริบลงทันที สิ่งใดที่เรียกว่านอกเหนือจากงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพ? สายตาแทบทุกคู่เลื่อนไปจับจ้องยังคุณหนูมู่หรงในแทบจะทันที

คุณหนูมู่หรงที่เดิมทีกำลังมองคุณชายชิงเฉินอยู่ด้วยความเคลิบเคลิ้ม ยามนี้กลับทั้งโกรธทั้งอายจนอยากหาที่ใดแทรกตัวเข้าไปหลบเสียให้ได้

“เจ้าเด็กไร้มารยาท!” มู่หรงสยงโกรธจัด พุ่งฝ่ามือแหวกอากาศตรงไปทางตำแหน่งที่สวีชิงเฉินนั่งอยู่

พลังอันรุนแรงที่พุ่งผ่านอากาศเข้ามารุนแรงครอบคลุมไปทุกพื้นที่จนแทบทำให้หายใจไม่ออก ถูกดันส่งออกไปทางสวีชิงเฉิน

“คุณชายชิงเฉิน!” องครักษ์สองนายที่ติดตามข้างกายสวีชิงเฉินตกใจอย่างหนัก เข้าขวางซ้อนหน้าสวีชิงเฉินไว้

หลิงเถี่ยหานที่นั่งอยู่ข้างสวีชิงเฉินก็เอื้อมมือข้างหนึ่งมาจับหัวไหล่สวีชิงเฉินไว้เช่นเดียวกัน

องครักษ์สองนายที่ยืนอยู่หน้าสวีชิงเฉินร่างกายโงนเงน ก่อนจะยืนได้อย่างมั่นคงโดยเร็ว คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด ที่มุมปากมีรอยเลือดไหลออกมา แต่กลับยกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดนั้นโดยมิได้ดูรู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ก่อนคนด้านหลังจะประคองให้กลับไปยืนอยู่ด้านหลังสวีชิงเฉินเช่นเดิม

หลิงเถี่ยหานเองก็เก็บมือของตนกลับด้วยสีหน้าคงเดิม แต่แววตายังคงจับจ้องไปยังมู่หรงสยงด้วยความระมัดระวัง ในดวงตาที่ดุดัน ปรากฏแววอยากลองของให้ได้เห็น

สวีชิงเฉินนั่งสงบนิ่งอยู่หลังโต๊ะ แม้แต่เส้นผมก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารเมื่อครู่ ไม่เคยเกิดขึ้นกระนั้น เขายกชาขึ้นจิบ ก่อนคุณชายชิงเฉินจะเอ่ยขอบคุณอย่างงามสง่า “ขอบคุณผู้อาวุโสมู่หรงมากที่ออมมือ”

มู่หรงสยงส่งเสียงหึเบาๆ ทีหนึ่งก่อนกลับนั่งลงที่เดิม มิได้เอ่ยอันใดอีก สายตาที่จ้องเขม็งไปทางสวีชิงเฉินเต็มไปด้วยความบึ้งตึงและโกรธแค้น