ตอนที่ 248-2 การเอาคืนของคุณชาย

ชายาเคียงหทัย

มู่หรงสยงไม่มีทางสังหารสวีชิงเฉิน บางทีการสังหารสวีชิงเฉินอาจเป็นเรื่องง่าย หรือมู่หรงสยงอาจถึงขั้นคิดว่า ด้วยวรยุทธของตน การสังหารม่อซิวเหยาก็มิใช่เรื่องยาก แต่ขอเพียงเขายังไม่เสียสติไปก่อน ก็ไม่มีทางทำเช่นนั้น แม้เขาสามารถสังหารสวีชิงเฉินและม่อซิวเหยาได้ แต่กลับมิอาจสังหารกองทัพตระกูลม่ออีกนับแสนคนได้ ถึงยามนั้นเกรงว่า ผลสุดท้ายก็คงเป็นกองทัพตระกูลม่อกลับมาทำลายตระกูลมู่หรงจนราบเป็นหน้ากลอง สิ่งที่เรียกว่าตัวหมากนั้น ที่เรียกกันว่าหมากก็ด้วยเพราะยามที่อยู่ในมือ จะยังไม่เกิดประโยชน์ แต่เมื่อใดก็ตามที่ออกจากมือไป ก็เท่ากับใครคนใดคนหนึ่งจะต้องตาย

เมื่อมู่หรงสยงถูกสวีชิงเฉินตบหน้าต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ สีหน้าประมุขตระกูลมู่หรงก็ย่อมไม่สู้ดีเช่นกัน คำพูดที่เตรียมเอาไว้ก็เก็บกลับมา ประกาศเริ่มงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพด้วยสีหน้าเรียบเฉย

อันที่จริงตามธรรมเนียบปฏิบัติแล้ว วันแรกของงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพมิได้มีอันใดน่าดูนัก วันแรกโดยมากมักเป็นดาวดวงใหม่แห่งยุทธภพที่จะขึ้นมาประลองฝีมือกันเท่านั้น ความสนุกตื่นเต้นจริงๆ อยู่ที่วันที่สองและวันที่สาม แน่นอนว่า การประลองยุทธในวันที่สาม บางครั้งอาจสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว และบางครั้งอาจยืดเยื้อไปถึงวันที่สี่วันที่ห้า ซึ่งเรื่องนี้คงต้องรอดูความสามารถที่แท้จริงของยอดฝีมือที่เหลืออยู่กลุ่มสุดท้ายแล้ว

ยามที่การประลองยุทธบนเวทีเริ่มต้นขึ้น คนที่มาร่วมชมความสนุกย่อมกรูกันเข้ามา แต่เมื่อมองดูคนที่นั่งดูอยู่ด้านล่าง กลับเริ่มใจลอยกันเสียแล้ว

ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกล เยี่ยหลีเอนตัวพิงอกม่อซิวเหยา ขมวดคิ้วมองคนที่อยู่บนเวที

ม่อซิวเหยาตบแขนนางพลางเอ่ยปลอบเบาๆ ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง พี่ใหญ่มิได้เป็นอันใด”

สวีชิงเฉินรู้แต่แรกแล้วว่า มู่หรงสยงไม่มีทางสังหารเขา ส่วนที่เลือกนั่งลงข้างหลิงเถี่ยหานนั้น ก็เพียงเพราะหากมู่หรงสยงมิได้ทุ่มพลังใส่เขามาทั้งหมด หลิงเถี่ยหานยังสามารถขวางพลังนั้นให้เขาได้ ถึงยามนั้นไม่ว่าสวีชิงเฉินจะบาดเจ็บหรือไม่ การที่มู่หรงสยงลงมือกับคนที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่ อย่างไรชื่อเสียงเรื่องนี้ก็คงมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยถามว่า “วรยุทธของมู่หรงสยงเป็นอย่างไรบ้าง”

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สูงกว่าข้าและหลิงเถี่ยหานมากนัก”

ข้อสรุปนี้ไม่น่าแปลกใจนัก อายุของมู่หรงสยงมากกว่าพวกเขามากเกินไป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มู่หรงสยงเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกวรยุทธเลย ต่อให้เขาเป็นเพียงคนมีคุณสมบัติธรรมดาทั่วไป ด้วยอายุของเขาก็ยังประเมินเขาต่ำไปไม่ได้อยู่ดี

“เมื่อครู่สิ่งที่มู่หรงสยงพูดหมายความเช่นไร” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยถาม

ม่อซิวเหยายิ้มเอ่ยเสียงขรึมว่า “จะหมายความเช่นไรได้ เมื่อเห็นว่าข้าไม่ไป ก็คิดว่าตำหนักติ้งอ๋องของเราไม่ให้เกียรติน่ะสิ คนบางคน ยิ่งอายุมากเข้ามักชอบใช้ความอาวุโสของตน คิดว่าคนทั้งใต้หล้าควรมองสีหน้าของเขาก่อนลงมือทำอันใดทุกเรื่อง ไม่ดูตัวเองเลยว่าสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่”

เยี่ยหลีผินหน้ามองคนบนเวที ยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม “ข้าว่า…คุณหนูมู่หรงอาจจะมีความเห็นไม่ตรงกับมู่หรงสยงและประมุขตระกูลมู่หรง เพียงแต่…คุณหนูมู่หรงผู้นั้นคงเข้าตระกูลสวีไม่ได้”

ตั้งแต่สวีชิงเฉินปรากฏตัวขึ้น สายตาของคุณหนูมู่หรงผู้นั้นไม่ออกหากจากสวีชิงเฉินอีกเลย หากมิใช่เพราะนางมีผ้าปิดหน้าไว้จึงพอช่วยปิดบังไว้ได้บ้าง อีกทั้งการประลองยุทธด้านบนเวทีก็เบี่ยงเบนสายตาของผู้คนทั้งหลายออกไป เกรงว่าคงมีคนที่อยู่ในงานจำนวนไม่น้อยที่สังเกตเห็นถึงความในใจของนาง

ม่อซิวเหยาประคองเยี่ยหลี เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “อาหลีไม่ชอบนางหรือ”

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “มิได้ชอบหรือไม่ชอบ แต่พี่ใหญ่และตระกูลสวีไม่มีทางชอบพอนาง”

ม่อซิวเหยามิได้สนใจว่าสวีชิงเฉินจะชื่นชอบผู้ใดหรือไม่ชื่นชอบผู้ใด เขายืนตัวตรงขึ้น เอ่ยว่า “ดูท่าวันนี้คงจะไม่มีอันใดน่าดูแล้ว พวกเรากลับเมืองกันเถิด บางทีพรุ่งนี้อาจมีละครสนุกๆ ให้ดู”

ทั้งสองค่อยๆ ถอยออกไปเงียบๆ โดยไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็น แต่เมื่อกลับไปถึงเมืองอัน กลับทำให้หลงจู๊ที่โรงเตี๊ยมชิงหยวนทั้งตกใจและประหลาดใจ การที่นอกเมืองมีเรื่องสนุกๆ เช่นนั้นให้ดู แต่ทั้งสองกลับกลับมากันแต่หัววันเช่นนี้ เป็นเรื่องประหลาดไม่น้อย

ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ เพียงบอกว่าภรรยาไม่ค่อยสบาย จึงกลับมาก่อน

สีหน้าหลงจู๊เปลี่ยนเป็นเข้าใจขึ้นมาทันที รีบส่งทั้งสองขึ้นไปด้านบน ถึงอย่างไรคุณชายท่านนี้ก็มีรูปลักษณ์หล่อเหลา ทั้งยังแต่งงานแล้ว ย่อมไม่มีวาสนากับคุณหนูมู่หรง เช่นนั้นจะดูหรือไม่ดูการประลองยุทธก็หาใช่เรื่องสำคัญไม่ มิใช่หรือ

การประลองยุทธในวันที่หนึ่งและวันที่สอง ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีมิได้ไปดูที่งานด้วยตนเอง ด้วยระดับวรยุทธของม่อซิวเหยา ย่อมไม่สนใจการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ บนเวทีของผู้ที่เรียกว่ายอดฝีมือเหล่านั้นอยู่แล้ว เพียงได้ยินว่า สองวันนี้มียอดฝีมือหนุ่มจำนวนหนึ่งที่โดดเด่นจนได้เข้าไปติดหนึ่งในสิบอันดับ หนึ่งในนั้นเป็นคนที่พวกเขาบังเอิญได้พบอยู่หลายครั้งอย่างเหรินฉีหนิงรวมอยู่ด้วย

ขณะเดียวกัน เมื่อจบการประลองยุทธในวันที่สอง ประมุขตระกูลมู่หรงก็ได้ประกาศว่า จะมีการคัดเลือกยอดฝีมือหนึ่งคนจากสิบอันดับแรกมาเป็นสามีของหลานสาวตน

เมื่อเอ่ยเช่นนี้ออกไป ไม่รู้ว่าจะเกิดลมพายุฝนอีกสักเท่าไร ขณะเดียวกันก็มีจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของสวีชิงเฉิน ส่งมายังห้องพักของเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยา

“พี่ใหญ่ ท่านได้วางแผนไว้หรือไม่” ภายในห้องพักของสวีชิงเฉิน เยี่ยหลีนั่งจิบชาอยู่ข้างๆ โต๊ะ

ม่อซิวเหยานั่งสบายๆ อยู่ริมหน้าต่าง ชื่นชมวิวทิวทัศน์ที่อยู่ไกลออกไป

สวีชิงเฉินนั่งตัวตรงอยู่อีกฝั่งหนึ่ง มองเยี่ยหลี ก่อนหันไปเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ท่านอ๋องมีความคิดเห็นอย่างไร”

ม่อซิวเหยาหันกลับมา เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องนี้มิได้มอบให้พี่ชิงเฉินเป็นคนจัดการแล้วหรือ พี่ชิงเฉินจัดการตามที่เห็นควรก็พอแล้ว เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้คงไม่ยากเกินความสามารถพี่ชิงเฉินกระมัง”

สวีชิงเฉินมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ความคิดของมู่หรงสยงช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก แต่คนที่สนใจก็มีอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ ถึงอย่างไร…ตระกูลมู่หรงที่ร่ำรวยเสียยิ่งกว่าแคว้น ก็มิใช่การพูดกันเล่นๆ ก่อนหน้าวันนี้ ม่อจิ่งฉีก็ได้ส่งคนไปพบกับประมุขตระกูลมู่หรงแล้ว”

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึอย่างเยาะหยัน “ม่อจิ่งฉีนี่นับวันยิ่งไม่เลือกเข้าไปทุกที อันใดไม่ว่าหอมหรือเหม็นก็หันกลับไปเก็บมาหมด”

สวีชิงเฉินยิ้มอย่างจนใจ “ท่านอ๋องก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาเหน็บแนมเช่นนี้ คุณหนูมู่หรงเป็นเช่นไรยังไม่ต้องพูดถึง แต่อย่างน้อยความร่ำรวยของตระกูลมู่หรง ไม่ว่าผู้ใดก็อยากช่วงชิงให้ได้มาทั้งสิ้น”

หากมองจากมุมของคนที่เป็นขุนนาง สวีชิงเฉินก็คิดจะเกลี้ยกล่อมให้ม่อซิวเหยาแต่งงานกับแม่นางตระกูลมู่หรงเช่นเดียวกัน เพราะถึงอย่างไรการแต่งงานกับสตรีนางหนึ่ง แล้วได้ครอบครองทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี เหตุใดจึงจะไม่ทำ เพียงแต่ม่อซิวเหยามิได้เป็นเพียงคนที่เขาต้องคอยช่วยเหลือเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นน้องเขยของเขาอีกด้วย เพื่อหลีเอ๋อร์แล้ว คนตระกูลมู่หรงอย่าแม้แต่จะคิดที่จะก้าวเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋อง แต่ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะไม่ต้องการ ก็ไม่อาจให้ผู้อื่นได้ไปได้! ในแววตาที่สุภาพของสวีชิงเฉินมีประกายเย็นเยียบ

“พี่ใหญ่?” เยี่ยหลีมองสวีชิงเฉินด้วยความเป็นกังวล ซิวเหยาเอาแต่ใจ ผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้พี่ใหญ่ ถึงแม้พี่ใหญ่จะมีความฉลาดและความสามารถเหนือผู้คน แต่ยามนี้คนที่เข้าต้องจัดการกลับเป็นคนในยุทธภพ บางครั้งคนในยุทธภพก็มือไว้กว่าสมอง ดังนั้นจึงถือว่ามีความเสี่ยงอยู่พอสมควร

สวีชิงเฉินยิ้มเรียบๆ “ไม่เป็นไร หลีเอ๋อร์วางใจเถิด พี่ใหญ่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”

ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้ฐานะและความสุขของเยี่ยหลีสั่นคลอนได้ทั้งสิ้น ต่อให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งเมื่อห้าสิบปีก่อนก็ตาม

“ท่านอ๋อง หากต้องประมือกับมู่หรงสยง ท่านมีความมั่นใจหรือไม่” สวีชิงเฉินเอ่ยถาม

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “อย่างมากมั่นใจเพียงสามส่วน กำลังภายในของมู่หรงสยงสูงส่งกว่าข้ามากนัก หากมิอาจเผด็จศึกให้รวดเร็วได้ สุดท้ายคนที่จะแพ้คงเป็นข้าถึงแปดส่วน”

การต่อสู้กันระหว่างยอดฝีมือโดยทั่วไป อาศัยกระบวนท่า กำลังภายในและพละกำลัง แต่เมื่อถึงยอดฝีมือระดับพวกเขา เรื่องพละกำลังนั้นมิได้มีความหมายอันใด ดังนั้นขอเพียงมู่หรงสยงยังไม่แก่จนใกล้ตาย พวกเขาไม่มีทางมีโอกาสได้ประลองพละกำลังกับเขาอย่างแน่นอน ด้วยเพราะเพียงแค่เขาใช้กำลังภายในก็สามารถกดพวกเขาเอาไว้ได้อย่างแน่นหนาแล้ว ดังนั้นการที่มู่หรงสยงอายุมากนั้น ถึงแทบเรียกไม่ได้ว่าเป็นจุดอ่อน

สวีชิงเฉินเคาะโต๊ะอย่างใจลอย ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยถามว่า “หากท่านอ๋องหนึ่งคนไม่ได้ เช่นนั้นหากเป็นท่านอ๋องสักสองหรือสามคนเล่า”

“ความหมายของท่านคือ…” ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้น จับจ้องไปที่สวีชิงเฉิน

สวีชิงเฉินหลุบตาลง เอ่ยอย่างนิ่งสงบว่า “ตระกูลมู่หรงมีใจทะเยอทะยานไม่น้อย มู่หรงสยงถือว่ายิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน ด้วยนิสัยเช่นนั้น…ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีภัยมาถึงตัว!” น้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เจือแววเย่อหยิ่งอยู่จางๆ

ม่อซิวเหยามองจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยว่า “ไม่ต้องสามคนหรอก ข้ากับหลิงเถี่ยหานหรือเหลยเจิ้นถิงคนใดคนหนึ่งก็เพียงพอที่จะต่อกรกับมู่หรงสยงได้แล้ว”

“เช่นนั้นยิ่งดีนัก” สวีชิงเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ เอ่ยว่า “เช่นนั้น…บางทีอาจไม่ต้องให้ติ้งอ๋องออกหน้า” หากม่อซิวเหยากับหลิงเถี่ยหานหรือเหลยเจิ้นถิงสามารถต่อกรกับมู่หรงสยงได้ เช่นนั้นหากไม่มีม่อซิวเหยา ก็ยังสามารถต่อกรกับมู่หรงสยงได้เช่นเดียวกัน

“พี่ใหญ่ มู่หรงสยงมีวรยุทธสูงส่ง เกรงว่าตระกูลมู่หรงเองก็คงไม่ถึงกับไม่เตรียมพร้อมอันใดไว้เลย ท่านต้องระวังให้มาก” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบา

สวีชิงเฉินพยักหน้า เผยรอยยิ้มจางๆ แต่อบอุ่น แต่ในสีหน้ากลับมีความคมกล้า “หลีเอ๋อร์วางใจเถิด”

“เรียนคุณชายชิงเฉิน คุณหนูมู่หรงขอพบขอรับ” องครักษ์ด้านนอกเอ่ยรายงานขึ้นด้วยความเคารพ

สวีชิงเฉินเลิกคิ้ว เอ่ยเรียบๆ ว่า “เชิญคุณหนูมู่หรงขึ้นมา”