ตอนที่ 249-1 เสนอตัว ใจบุรุษแข็งแกร่งดังเหล็กกล้า

ชายาเคียงหทัย

เมื่อคุณหนูมู่หรงมา เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาย่อมมิอาจรั้งอยู่ต่อไปได้ แต่ทั้งสองไม่ได้หายไปไหน ม่อซิวเหยาหยิบถ้วยชาที่ทั้งสองดื่มแล้วติดมือไป ก่อนจูงเยี่ยหลีให้เดินเข้าไปในประตูลับ

ที่สวีชิงเฉินเลือกเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ย่อมมีเหตุผล นั่นเพราะเดิมทีที่นี่เป็นรังลับของตำหนักติ้งอ๋องในเมืองอัน เมืองอันเป็นเมืองใหญ่อันดับสี่ของซีหลิง ตำหนักติ้งอ๋องย่อมไม่มีทางไม่สนใจเมืองแห่งนี้

ด้านหลังประตูลับเป็นห้องลับที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ห้องหนึ่ง ด้านในก็มิได้มีเครื่องเรือนที่ครบครันเช่นที่ด้านนอก มีเพียงโต๊ะหนึ่งตัว กับเก้าอี้จำนวนหนึ่ง และแคร่ไม้ไผ่อันหนึ่งเท่านั้น พอทั้งสองนั่งลง ก็ได้ยินเสียงขอพบของคุณหนูมู่หรงกับเสียงเปิดประตูของสวีชิงเฉินดังมาจากด้านนอก

สวีชิงเฉินก้มหน้าลงมองสตรีในชุดหวาที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “คุณหนูมู่หรง ไม่รู้ว่ามีอันใดจะชี้แนะหรือ”

ดอกตาคู่งามที่อยู่นอกผ้าคลุมหน้ามองสวีชิงเฉินอย่างนิ่งอึ้ง แต่กลับเห็นว่า บุรุษที่ยิ้มอย่างงามสง่าอยู่ตรงหน้าตน มิได้ตั้งใจที่จะเชิญตนให้เข้าไปด้านในห้องเลยแม้แต่น้อย นางกัดมุมปากเข้าโดยไม่รู้ตัว เอ่ยถามว่า “คุณชายชิงเฉินไม่เชิญข้าเข้าไปด้านในหรอกหรือ”

สวีชิงเฉินยิ้ม “นี่ก็ไม่เช้าแล้ว คุณหนูมู่หรงมาที่นี่ในเวลานี้…เกรงว่าจะเสียงหายต่อชื่อเสียงอันดีของคุณหนูได้ เชิญคุณหนูกลับไปเถิด”

พูดจบ สวีชิงเฉินก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวเตรียมจะปิดประตูลงอีกครั้ง

คุณหนูมู่หรงร้อนใจขึ้นทันที ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อสวีชิงเฉินไว้ “คุณชายชิงเฉิน…”

สวีชิงเฉินมองนางด้วยความตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าคุณหนูมู่หรงนางนี้ก็เป็นคนที่ฝึกวิชาเช่นเดียวกัน ตัวสวีชิงเฉินถึงแม้จะไม่เข้าใจเรื่องวิทยายทุธ แต่ในบรรดาคนที่เขารู้จัก ก็เป็นยอดฝีมือที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นด้วยสายตาของสวีชิงเฉิน ย่อมสามารถบอกถึงฝีมือของคุณหนูมู่หรงท่านนี้ได้ว่า อยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูง ซึ่งฝีมือระดับนี้ในบรรดาสตรีก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

“คุณหนูมู่หรงทำเช่นนี้เพื่อเหตุใดกัน” สวีชิงเฉินดึงแขนเสื้อของตนกลับ หลุบตาลงเอ่ยถามเรียบๆ

“คุณชายชิงเฉิน…ข้า…หมิงเหยียนมีเรื่อง อยากพูดคุยกับคุณชายเป็นการส่วนตัว ขอคุณชายได้โปรดอภัยด้วย” คุณหนูมู่หรงเงยหน้าขึ้นมองสวีชิงเฉิน ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น

สวีชิงเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ยอมถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เปิดทางให้นางเดินเข้ามา

เมื่อเห็นสวีชิงเฉินยอมถอยให้ คุณหนูมู่หรงมีท่าทีเบาใจลงอย่างเห็นได้ชัด ก้าวเข้าไปในห้องสวีชิงเฉิน

ห้องของสวีชิงเฉินประดับตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแตกต่างจากความหรูหราฟู่ฟ่าของบ้านตระกูลมู่หรงอย่างสิ้นเชิง คุณหนูมู่หรงหันกลับไปมองสวีชิงเฉินที่อยู่ในชุดสีขาวทั้งตัว ที่ดูเรียบง่าย สง่างามและโดดเด่น ก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย

เดิมทีนางมั่นใจในตนเองอย่างมาก นางเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในเมืองอัน และเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลมู่หรง ดังนั้น นางจึงมีเครื่องประดับอัญมณีที่งดงามที่สุด เสื้อผ้าอาภรณ์ที่หรูหราที่สุด อาหารชั้นเลิศที่ประณีตและรสเลิศที่สุด แต่เมื่อได้เห็นบุรุษตรงหน้าผู้นี้แล้ว จู่ๆ นางกลับรู้สึกอับอายกับความหรูหราทั่วทั้งตัวของนางเอง ประหนึ่งว่า เดิมทีของที่ผู้คนต่างนึกอิจฉา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ อัญมณี เสื้อผ้าอาภรณ์อันหรูหรา กลายเป็นของโสโครกอันยากจะทานทนกระนั้น

นางถึงขั้นเริ่มนึกเสียใจ ที่ตนฟังคำของสาวใช้ที่ให้แต่งกายอย่างหรูหราเช่นนี้มาพบคุณชายชิงเฉิน เขาจะนึกรังเกียจในความโสโครกบนตัวนางหรือไม่นะ ใช่สิ ตระกูลสวีเป็นตระกูลที่โด่งดังเรื่องการเป็นบัณฑิต สิ่งที่พวกเขาชื่นชอบย่อมต้องเป็นของที่เรียบง่ายและสง่างาม

เมื่อคิดได้เช่นนี้ คุณหนูมู่หรงก็โกรธจนนึกอยากกลับไปจัดการกับสาวใช้ที่ออกความเห็นให้ตนแต่งกายเช่นนี้ทันที

“คุณหนูมู่หรง เชิญนั่ง เชิญดื่มชาก่อน” สวีชิงเฉินนั่งลง รินน้ำชาลงถ้วยก่อนวางไว้ตรงข้ามตน

คุณหนูมู่หรงเอ่ยขอบคุณ ยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง แล้วก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ตั้งแต่เล็กแต่น้อย สิ่งที่นางใช้ ทุกอย่างล้วนเป็นของที่ละเอียดละออที่สุด ต่อให้เป็นองค์หญิงเชื้อพระวงศ์ ในด้านข้าวของเครื่องใช้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะมีของที่ล้ำค่าไปกว่านาง ชาที่สวีชิงเฉินรินให้นางนั้น ไม่ถือว่าเป็นของดี แม้แต่น้ำที่ใช้ชงชา ก็ยังมิใช่อุณหภูมิของน้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ หากเป็นผู้อื่นมารินน้ำชาเช่นนี้ให้นาง นางไม่มีทางดื่มอย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นสวีชิงเฉินยกชาของตนขึ้นเดิมโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้สักน้อย ก็เห็นว่าเขาดูจะไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดพลาดไป นางจึงทำได้เพียงอดทนไว้เท่านั้น

เมื่อเห็นว่าสตรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามขมวดคิ้วอย่างกำลังอดทนกับอันใดบางอย่าง นัยน์ตาของสวีชิงเฉินก็มีประกายขบขันขึ้นมาเพียงจางๆ เขาย่อมรู้ดีว่านางกำลังทนกับสิ่งใดและเหตุใดถึงต้องทน การจิบชา แน่นอนว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลสวีก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้กว่าผู้ใดทั้งสิ้น น้ำชาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ถือว่าดี สวีชิงเฉินย่อมรู้ดี แต่ถึงแม้สวีชิงเฉินจะเป็นบัณฑิตผู้สง่างามและโดดเด่น แต่ถึงอย่างไรตัวเขาก็อยู่ในโลกมนุษย์ เมื่อมีงานให้จัดการเยอะจนถึงขีดสุด การมีน้ำชาให้ดื่มก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว ผู้ใดเลยจะไปใส่ใจว่าใบชาจะเป็นของดีหรือไม่ น้ำที่ใช้ชงชาดีหรือไม่ อุณหภูมิพอเหมาะหรือไม่กัน

“คุณหนูมู่หรงมีอันใดจะพูดหรือ” สวีชิงเฉินเอ่ยถามออกไปตรงๆ

ดูเหมือนคุณหนูมู่หรงจะไม่เคยพบบุรุษที่ดูไม่เกรงใจตนเช่นนี้มาก่อน มิใช่ว่าสวีชิงเฉินไร้มารยาทกับนาง อันที่จริงสวีชิงเฉินอ่อนน้อมและมีมารยาทกว่าบุรุษที่นางเคยพบโดยมากเสียอีก เพียงแต่คำพูดและการกระทำของเขา ทำให้นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เขาไม่สนใจนาง

คุณหนูมู่หรงกัดมุมปากด้วยความน้อยใจ ยกมือขึ้นดึงผ้าคลุมที่ปิดหน้ามาตลอดออก เผยให้เป็นใบหน้าที่งดงาม แต่กระนั้น ครานี้คุณหนูมู่หรงก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง สายตาสวีชิงเฉินที่มองนาง ไม่มีความวูบไหวเลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งว่า ต่อให้สตรีตรงหน้ามีผ้าปิดบังใบหน้าทำให้มองไม่ชัด หรือจะเป็นสตรีที่งดงามหยาดเยิ้ม ก็ไม่เกี่ยวกันใดกับเขากระนั้น

คุณหนูมู่หรงมองสวีชิงเฉินอยู่เป็นนาน จนในที่สุดเมื่อมั่นใจแล้วว่า เขาไม่สนใจเรื่องรูปลักษณ์ของตนแน่แล้ว จึงหลุบตาลง ปิดบังแววหงุดหงิดใจและพ่ายแพ้ในดวงตาเสีย “ข้าชื่อหมิงเหยียน มู่หรงหมิงเหยียนคารวะคุณชายชิงเฉิน”

ภายในห้องเงียบกริบไร้ซุ่มเสียง ในใจมู่หรงหมิงเหยียนลอบหงุดหงิดใจ นางเพียงมองแต่ภาพลักษณ์ภายนอกของคุณชายชิงเฉิน ที่ดูสุภาพและสง่างาม แต่กลับลืมไปว่า แค่เพียงเขาปรากฏตัวขึ้น ก็กล้าตบหน้าท่านอาทวดกับประมุขตระกูลมู่หรงเสียแล้ว จะเป็นคนพูดคุยด้วยง่ายๆ ได้อย่างไร

เมื่อรออยู่ครู่ใหญ่สวีชิงเฉินก็ยังไม่เอ่ยปาก มู่หรงหมิงเหยียนจึงมองบุรุษที่เย็นชาด้วยสายตาแห่งความน้อยใจ กัดฟันเอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉิน…ยินดีที่จะแต่งเข้าตระกูลมู่หรงหรือไม่เจ้าคะ”

เมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้ อย่าว่าแต่องครักษ์ลับที่คอยคุ้มครองสวีชิงเฉินอยู่อย่างลับๆ จะต้องอ้าปากค้างเลย แม้แต่ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีที่อยู่ในห้องลับ ก็ยังอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้

ใบหน้าเรียวของเยี่ยหลีบึ้งตึงลงทันที เอ่ยเสียงเย็นว่า “มู่หรงหมิงเหยียนผู้นี้ช่างใจกล้านัก!”

ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ช่างใช้กล้าจริงๆ!”

ตระกูลมู่หรงกล้าขุดฐานกำแพงเขา ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง

สวีชิงเฉินที่อยู่ด้านนอกกลับนิ่งสงบ เอ่ยเรียบๆ ว่า “คุณหนูมู่หรงเอ่ยเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร”

บนใบหน้างดงามของมู่หรงหมิงเหยียน ปรากฏรอยยิ้มอันขมขื่น มองสวีชิงเฉินนิ่งอึ้ง ก่อนเอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉินก็ได้ยินที่ท่านปู่ของข้าพูดแล้ว พวกท่านจะคัดเลือกหนึ่งคนจากยอดฝีมือสิบอันดับแรกมาเป็นบุตรเขยของตระกูลมู่หรง”

สวีชิงเฉินหลุบตาลงเอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่มีวรยุทธอย่าว่าแต่สิบยอดฝีมือเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือชั้นเลว ก็ยังเอาชนะไม่ได้ คุณหนูมู่หรงมาที่นี่ เกรงว่าคงจะมาหาผิดคนแล้ว”

มู่หรงหมิงเหยียนส่ายหน้า “ไม่ คุณชายชิงเฉินไม่เหมือนกับผู้อื่น คุณชายชิงเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้า มีความสามารถเหนือผู้คนทั้งปวง หากคุณชายชิงเฉินยินดีที่จะแต่งเข้าตระกูลมู่หรง ต่อให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง ท่านปู่ก็จะต้องยอมเสียดายอย่างแน่นอน”

เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของสวีชิงเฉิน มู่หรงหมิงเหยียนก็เอ่ยด้วยความไม่มั่นใจว่า “คุณชาย…ไม่ยินดี?”

“ข้าน้อยไม่คู่ควรกับคุณหนูมู่หรง” สวีชิงเฉินเอ่ยอย่างถ่อมตัว เอาเข้าจริงก็เป็นการปฏิเสธสิ่งที่มู่หรงหมิงเหยียนเสนอนั่นเอง

สีหน้ามู่หรงหมิงเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เพราะเหตุใด ขอเพียงท่านแต่งงานกับข้า ตระกูลมู่หรงทั้งหมดจะก็เป็นของท่าน การที่ท่านได้ครอบครองตระกูลมู่หรง จะไม่แข็งแกร่งว่าการที่คุณชายชิงเฉินทุ่มเทชีวิตเพื่อติ้งอ๋องที่เมืองหลีเป็นร้อยเท่าพันเท่าหรอกหรือ หรือว่า…หรือว่าข้าไม่งดงามพอที่จะครองคู่กับคุณชายชิงเฉิน”

สวีชิงเฉินส่ายหน้า อมยิ้มมองมู่หรงหมิงเหยียน “คุณหนูมู่หรง เรื่องการแต่งงานเกี่ยวข้องกับเรื่องบุญวาสนา ข้าน้อยกับคุณหนูมู่หรงมิได้มีวาสนาต่อกันในเรื่องนี้ ขอคุณหนูมู่หรงได้โปรดอย่าดึงดันขอร้องเรื่องนี้ต่อไปอีกเลย ด้วยความสามารถและความงามของคุณหนูมู่หรง และความร่ำรวยของตระกูลมู่หรง ในโลกนี้จะมีบุรุษหนุ่มที่หล่อเหลาและมีความสามารถอยู่อีกมากที่ต้องการแต่งงานกับคุณหนูมู่หรง”

แม่นางอายุเพียงสิบกว่าปีผู้หนึ่ง ถึงกับเสนอตัวมาถามบุรุษผู้หนึ่งด้วยตนเองว่ายินดีจะแต่งงานกับตนหรือไม่ แต่กลับมิได้รับคำตอบอย่างที่คิดไว้ ในแววตาของมู่หรงหมิงเหยียนจึงมีรอยน้ำตารื้นขึ้นมา เอ่ยกับสวีชิงเฉินอย่างดื้อรั้นว่า “หรือว่าคุณชายชิงเฉินมีสตรีที่พึงใจอยู่แล้ว ไม่สิ…หมิงเหยียนไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคุณชายชิงเฉินใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่นางคนใด องค์หญิงอันซีแห่งหนานจ้าวก็อภิเษกสมรสไปแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีสตรีที่คู่ควรเหมาะสมกับคุณชายชิงเฉินยิ่งกว่าหมิงเหยียนอยู่อีก”

สวีชิงเฉินยกชาที่เริ่มเย็นขึ้นจิบด้วยท่าทีเรียบเรื่อย เอ่ยกลับสตรีที่น้ำตาคลอหน่วยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “การแต่งงาน บางครั้งก็มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับความคู่ควรเหมาะสม บางทีวันใดวันหนึ่ง ข้าน้อยอาจได้พบสตรีที่เหมาะสมกับข้า อาจมิใช่คนที่มีความสามารถเหนือผู้คนทั้งหลาย และอาจมิใช่คนที่มีความงามโดดเด่น และอาจมาจากตระกูลธรรมดาๆ การที่คุณหนูมู่หรงใช้ความเท่าเทียมในการมาวัดว่าคู่ควรหรือไม่นั้น มิได้มีความหมายอันใดเลย คุณหนูมู่หรงคงมิได้มีเรื่องอื่นจะพูดอีกแล้ว เชิญกลับไปเถิด”

เมื่อถูกสวีชิงเฉินปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้ ใบหน้าของมู่หรงหมิงเหยียนก็เต็มไปด้วยความอับอาย ดวงตาคู่งามที่มองจ้องสวีชิงเฉินดูมีแววต่อว่าเพิ่มขึ้นมา นางกัดฟันเอ่ยว่า “ยามที่ข้าเข้ามามิใช่ว่าไม่มีผู้ใดเห็น หากข้าบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างท่านกับข้า คุณชายชิงเฉินคิดว่าผู้คนจะเชื่อท่านมากกว่า หรือจะเชื่อข้ามากกว่ากันหรือ”

สวีชิงเฉินมองมู่หรงหมิงเหยียนด้วยความจนใจ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “คุณหนูมู่หรง หากท่านเป็นคุณหนูตระกูลทั่วๆ ไป ผู้คนย่อมเชื่อท่านมากกว่า เพียงแต่…ยามนี้คนทั้งเมืองอันคงจะเชื่อข้าน้อยมากกว่าอยู่เล็กน้อย”

ในสายตาของผู้คน มู่หรงหมิงเหยียนเรียกได้ว่าเป็นภูเขาทองคำ ผู้ใดจะเชื่อว่า มีคนที่ได้ภูเขาทองคำไปแล้ว แต่คิดจะผลักไสนางกันเล่า อีกอย่าง ยามนี้อย่าว่าแต่เขากับมู่หรงหมิงเหยียนมิได้มีอันใดกันเลย ต่อให้เกิดเรื่องนั้นขึ้นจริง ก็มีคนจำนวนมาก ที่ยินดีจะเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อเทียบสตรีนางหนึ่งกับตระกูลมู่หรงแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยยิ่งนัก

มู่หรงหมิงเหยียนอึ้งไป ก่อนจะเข้าใจความหมายของสวีชิงเฉินอย่างรวดเร็ว

เมื่อใช้วิธีข่มขู่ไม่สำเร็จ ใบหน้าเรียวของมู่หรงหมิงเหยียนก็แดงก่ำด้วยความเขินอาย กัดมุมปากเอ่ยด้วยความคับแค้นใจว่า “ข้าจะต้องให้ท่านแต่งงานกับข้าให้ได้!”

สวีชิงเฉินอมยิ้มมิได้เอ่ยอันใด แววตาที่ราบเรียบไร้ความวูบไหวบอกทุกอย่างไว้อย่างชัดเจน ข้าไม่มีทางแต่งงานกับท่าน

สุดท้าย มู่หรงหมิงเหยียนก็กลับไปด้วยน้ำตากลบตา