สวีชิงเฉินเพียงยิ้มเรียบๆ ปิดประตูแล้วกลับลงนั่งเช่นเดิม พร้อมรินชาให้ตนเอง
“พี่ใหญ่ มู่หรงหมิงเหยียนผู้นั้นหมายความเช่นไรกัน” เยี่ยหลีผลักประตูออกมา เดินเข้าไปนั่งข้างสวีชิงเฉินพลางเอ่ยถามเสียงเบา
ม่อซิวเหยาเดินตามนางออกมา ยิ้มพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้อเลียนว่า “เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ แน่นอนว่า เพราะความหล่อเหลาที่ไม่ธรรมดาของคุณชายชิงเฉิน ทำให้ดวงใจน้อยๆ ของคุณหนูมู่หรงเกิดสั่นไหวเข้าน่ะสิ ในบรรดาสิบยอดฝีมือนั่น นอกจากเจิ้นหนานอ๋องกับหลิงเถี่ยหานแล้ว…แล้วก็เหรินฉีหนิงผู้นั้น ไม่มีผู้ใดที่พอได้เรื่องอีกเลย เจิ้นหนานอ๋องอายุอานามไม่น้อยแล้ว หนำซ้ำยังเสียแขนไปข้างหนึ่ง ส่วนหลิงเถี่ยหานก็เป็นนักฆ่าล่าค่าหัวของยุทธภพ เหรินฉีหนิงก็มีประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน คุณหนูมู่หรงกำลังอยู่ในวัยแห่งความรักๆ ใคร่ๆ อย่างแท้จริง ย่อมต้องการเลือกคนที่ตนพึงพอใจมาเป็นสามี”
เยี่ยหลีทำหน้านิ่ว ส่งเสียงหึเบาๆ “นางพึงพอใจก็จะให้พี่ใหญ่แต่งเข้าอย่างนั้นหรือ นางคิดว่านางเป็นใครกัน”
หากพี่ใหญ่เกิดคิดไม่ตกไปชั่วขณะแล้วไปรับปากนางเข้า กลับไปจะไม่ถูกท่านตากับท่านลุงตีจนขาเสียเอาหรือ คุณชายจากตระกูลสวีผู้ยิ่งใหญ่แต่งเข้าตระกูลพ่อค้าก็ช่างเถิด แต่ยังเลือกสตรีที่เห็นว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างเช่นนี้อีก
สวีชิงเฉินอมยิ้ม หยิบถ้วยชาด้านข้างใบหนึ่งขึ้นมารินชาเย็นๆ ให้นาง พลางยิ้มเอ่ยว่า “หลีเอ๋อร์ ยามนี้พี่มิได้คิดที่จะแต่งภรรยา อีกอย่าง นี่ก็เป็นเพียงความคิดประหลาดของมู่หรงหมิงเหยียนเท่านั้น มู่หรงสยงกับประมุขตระกูลมู่หรงจะยอมรับปากได้อย่างไร เท่าที่ข้าดู…เจ้าสำนักหลิงดูจะเป็นไปได้มากกว่า”
ตระกูลมู่หรงไม่มีทางยอมให้ลูกสาวตระกูลตนแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ซีหลิงอย่างแน่นอน เช่นนั้นตัวเลือกที่เลือกได้ก็มีจำกัดเต็มที หากต้องการต่อกรกับเจิ้นหนานอ๋อง คนที่คุณหนูมู่หรงสามารถแต่งงานด้วยได้ ก็จะมีเพียงม่อจิ่งฉี หลิงเถี่ยหานและม่อซิวเหยาเท่านั้น แต่กระนั้นม่อซิวเหยากลับไม่มาปรากฏตัวในงาน ดังนั้นตัวเลือกสุดท้ายก็จะมีเพียงม่อจิ่งฉีกับหลิงเถี่ยหาน แต่สวีชิงเฉินเห็นว่า ความเป็นไปได้ที่จะเป็นหลิงเถี่ยหานนั้นมีมากกว่าอยู่สักหน่อย เพราะถึงอย่างไร ตัวสำนักเยี่ยนอ๋องก็อยู่ในอาณาเขตซีหลิงอยู่แล้ว การแต่งงานกับตระกูลมู่หรงก็เรียกได้ว่าเป็นการผสานความร่วมมือระหว่างผู้แข็งแกร่งทั้งสอง อีกทั้งหลิงเถี่ยหานและเจิ้นหนานอ๋องมีความแค้นต่อกัน แต่ถึงจะผ่านมาหลายปีเช่นนี้ แต่สำนักเยี่ยนอ๋องกับหลิงเถี่ยหานก็ยังอยู่ได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นถึงความเกรงกลัวของเจิ้นหนานอ๋องที่มีต่อหลิงเถี่ยหาน
ม่อซิวเหยาทำหน้านิ่วใคร่ครวญเล็กน้อย “ก็ไม่แน่ หากคุณชายชิงเฉินยินดีแต่งเข้าตระกูลมู่หรง ก็ไม่แน่ว่ามู่หรงสยงจะไม่ยอมละทิ้งหลิงเถี่ยหาน”
ต้องยอมรับว่าหากตระกูลมู่หรงแต่งงานกับสำนักเยี่ยนอ๋องนั้นถือว่าไม่เลว แต่สุดท้ายแล้ว ต่อไปคนที่จะเป็นประมุขตระกูล จะไม่ใช่คนในตระกูลมู่หรงอีก แต่หากเป็นคุณชายชิงเฉินที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดในใต้หล้าแต่งเข้าตระกูล เช่นนี้ผลก็คงจะต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะทั้งสามารถอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลสวีและตำหนักติ้งอ๋องในการควบคุมราชวงศ์ซีหลิง ทั้งยังได้การวางแผนอันแยบยลไม่มีสองของคุณชายชิงเฉินกับวรยุทธอันล้ำเลิศของมู่หรงสยงคอยคุ้มครอง หากเจิ้นหนานอ๋องคิดจะทำอันใดตระกูลมู่หรงก็คงต้องคิดใคร่ครวญให้ดีเสียแล้ว
“ดังนั้น…พี่ชิงเฉิน ครานี้ท่านคงจะต้องระวังให้มากจริงๆ เสียแล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยเตือนด้วยความกระตือรือร้น หากเขาไม่ระวังแล้วต้องขาดคนฉลาดๆ ที่คอยช่วยบริหารแคว้นไปสักคน คงจะสร้างความวุ่นวายให้กับเขามากทีเดียวเชียว
สวีชิงเฉินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ถึงความเป็นไปได้ในสิ่งที่ม่อซิวเหยาเอ่ย แล้วถึงได้พยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่เตือน”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขามีแผนรับมือในใจแล้ว ม่อซิวเหยาจึงมิได้เอ่ยอันใดอีก จูงเยี่ยหลีให้ลุกยืนขึ้น “หากจำเป็นต้องใช้คนประเภทใด พี่ใหญ่สามารถเลือกเองได้เลย ข้ากับอาหลีก็จะอยู่ที่เมืองอันนี้ไม่ไปไหน คอยระวังตัวด้วย”
สวีชิงเฉินพยักหน้าน้อยๆ มองส่งพวกเขาจากไป
เมื่อส่งม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีไปแล้ว สวีชิงเฉินก็ขมวดคิ้วใคร่ครวญความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้ ภายใต้แสงเทียน มุมปากบนใบหน้าหล่อเหลายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเพียงจางๆ หลายๆ เรื่องที่สามารถถอยให้ได้ เขาก็ไม่คิดที่จะทำอันใดให้เด็ดขาดจนเกินไป เพียงแต่…หวังว่าพรุ่งนี้คนตระกูลมู่หรงก็จะทำอันใดด้วยความรอบคอบก็จะดี
“คุณชายชิงเฉิน” องครักษ์ลับนายหนึ่งเอ่ยเรียกขึ้นที่หน้าประตู
สวีชิงเฉินยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรง ผินหน้าไปเอ่ยถามว่า “มีอันใดหรือ”
ในมือองครักษ์ลับที่เดินเข้ามามีจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง “เสือขาวเพิ่งนำข่าวนี้มาให้ขอรับ”
สวีชิงเฉินรับจดหมายนั้นมา แล้วองครักษ์ลับก็ถอยออกไปด้วยความเคารพ
เมื่อเปิดซองจดหมายที่ปิดผนึกอยู่ออก ก็เห็นว่ามีสัญลักษณ์เสือขาวอยู่ตัวหนึ่ง สวีชิงเฉินเลิกคิ้วคมขึ้นเล็กน้อย เหรินฉีหนิงผู้นี้…ตอนแรกดูว่าไม่ค่อยจะยอมเปิดเผยฝีมือที่แท้จริงของตนสักเท่าไร ที่แท้ก็ดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว จะโทษก็ต้องโทษที่เขาไม่ควรอวดฉลาดไปลองเชิงม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีก่อนกระมัง
เขาพับจดหมายกลับลงอีกครั้ง เรียกองครักษ์ลับคนหนึ่งออกมา ให้เขานำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้ติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋อง แล้วสวีชิงเฉินก็ส่ายหน้า หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องไปพักผ่อน
เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเมื่อกลับไปถึงโรงเตี๊ยมแล้ว ก็ยังคงยิ้มน้อยๆ ด้วยความโกรธ ม่อซิวเหยามองใบหน้าเรียวที่ติดจะบึ้งตึงเล็กน้อยของนาง แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “อาหลี พี่ใหญ่ของเจ้าจะไปชอบพอสตรีเช่นนั้นได้อย่างไร เห็นเจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนเช่นนี้ สามีชักจะหึงเข้าเสียแล้วนะ”
เยี่ยหลีกรอกตาใส่เขาอย่างไม่เห็นขัน
ม่อซิวเหยาอมยิ้ม ดึงนางเข้ามากอด เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หรือว่าไม่จริงหรือ อย่างไรก็เป็นเรื่องแต่งงานของพี่ชิงเฉินเขา อาหลีเป็นห่วงเป็นใยเขาเช่นนี้ สามีจะไม่รู้สึหึงได้หรือ”
เยี่ยหลีอิงกับอกม่อซิวเหยา เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงและลังเลใจว่า “ข้ายุ่มย่ามมากเกินไปแล้วหรือ”
อันที่จริงคุณหนูมู่หรงก็มิได้ย่ำแย่เท่าที่นางคิดไว้ เพียงแต่เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่ นางจึงหวังว่าจะได้สตรีที่เพียบพร้อมมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่ก็เช่นเดียวกับที่พี่ใหญ่บอกไว้ เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมนั้น มิได้ดูจากเพียงเงื่อนไขภายนอกเท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลอย่างคิดไม่ตกของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาก็อดไม่ไหว ก้มลงจูบหนักๆ บนหน้านางเสียหลายที ก่อนหัวเราะในลำคอแล้วเอ่ยว่า “อาหลีเจ้าก็กังวลมากไปเอง ถึงได้คิดวนเวียนไม่ตกอยู่เช่นนี้ พี่สวีเป็นคนเช่นไร หากเขาชื่นชอบนางจริงๆ ต่อให้พวกเจ้าไม่ชอบนางกันสักคน แล้วจะขวางเขาได้หรือ ในเมื่อเขาพูดถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมหมายความว่าเขาไม่ชอบพอมู่หรงหมิงเหยียนนั่น สายตาของอาหลีดูไว้ไม่ผิด มู่หรงหมิงเหยียนผู้นี้ไม่คู่ควรกับพี่สวีจริงๆ”
ในเวลาเช่นนี้ ม่อซิวเหยาไม่สนใจที่จะเอ่ยถึงสวีชิงเฉินในแง่ดีสักสองสามประโยค
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิตใจเยี่ยหลีถึงค่อยสงบลง ในใจลอบเตือนตนเองว่า ต่อไปจะต้องแสดงความเห็นเรื่องคู่แต่งงานของพี่ใหญ่ให้น้อยลงสักหน่อย คนมักที่จะคิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางเอาได้ง่ายๆ คิดว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนั้นไม่ดี พูดไปพูดมา เรื่องการแต่งงานนี้ ขอเพียงพี่ใหญ่เห็นว่าดี เช่นนั้นผู้อื่นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอันใดให้มากความอีก
“คารวะท่านอ๋อง พระชายา” ร่างในชุดดำร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกห้องอย่างไร้ซุ่มเสียง ยืนประสานมือไว้ด้วยความเคารพ
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “มีเรื่องอันใด”
“คุณชายชิงเฉินสั่งให้ข้าน้อยนำจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเข้ามา” ม่อซิวเหยาเอนตัวพิงแคร่ไม้ไผ่ พลางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
องครักษ์ลับที่อยู่ด้านนอกมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจเดินเข้ามา หน้าต่างภายในห้องด้านในเปิดอยู่ครึ่งบาน บนแคร่ไม้ไผ่ที่อยู่ริมหน้าต่าง ท่านอ๋องกำลังเอนตัวพิงอยู่บนตัวพระชายาอย่างเกียจคร้านและไม่ยอมลุกขึ้น
ในขณะที่กำลังคิดอันใดอยู่นั้น สายตาเย็นวาบก็พุ่งตรงมายังเขา เขาชะงักไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ก่อนรีบยื่นจดหมายฉบับนั้นส่งให้ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ข้าน้อยขอตัว”
เมื่อเห็นว่าเขารู้งาน ม่อซิวเหยาจึงเพียงส่งเสียงหึเบาๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
องครักษ์ที่มาส่งจดหมายรีบพลิ้วตัวออกไปดังลมหอบประหนึ่งได้รับการนิรโทษกรรมก็ไม่ปาน
ม่อซิวเหยานอนลงบนแค่ไม้ไผ่ ใช้ตักอาหลีต่างหมอน ค่อยๆ กางจดหมายฉบับนั้นออก ไม่นานก็หัวเราะเสียงต่ำๆ ออกมา
เยี่ยหลีไม่เข้าใจ “มีอันใดหรือ”
ม่อซิวเหยาส่งจดหมายให้นาง เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าบอกแล้ว ตระกูลมู่หรงจัดงานเสียใหญ่โตเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องเรียกคนที่เก่งกาจจำนวนหนึ่งออกมาได้ถึงจะถูก งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพในครานี้ก็ออกจะราบเรียบไปสักหน่อย ดูท่าพรุ่งนี้คงจะมีละครฉากเด็ดให้ดูเสียแล้ว”
เยี่ยหลีอ่านจดหมายด้วยความงุงงงสงสัย คิ้วเรียวค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน “แม้แต่คนของพวกเรายังสืบเรื่องฐานะของเหรินฉีหนิงไม่พบ คนเช่นนี้…”
ม่อซิวเหยาเอ่ยต่อว่า “คนเช่นนี้ หากมิใช่ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นในยุทธภพมาก่อน เช่นนั้นก็คงเป็นผู้มีอำนาจลึกลับที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอกมานานแสนนาน หึหึ…น่าสนใจทีเดียว ที่เหรินฉีหนิงปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่าเช่นนี้ ไม่มีทางเพียงเพื่อชื่อเสียงหนึ่งในสิบยอดฝีมือเล็กน้อยเช่นนั้นกระมัง ดูท่าที่พี่ใหญ่ของเจ้าคิดอยากร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อต่อกรกับมู่หรงสยง เกรงว่าคงจะไม่สำเร็จเสียแล้ว”
“ท่านมีความคิดเช่นไร”
“ความคิด? เรื่องนี้มิใช่ให้พี่ใหญ่ของเจ้าจัดการแล้วหรือ ภรรยา พวกเราเป็นเพียงคนสองคนที่บังเอิญผ่านมาและไม่เป็นที่รู้จักเท่านั้น ไม่ต้องกังวลไป”