บทที่ 73 ร่วงสู่ธุลีดิน (ตอนปลาย)

บุหลันเคียงรัก

ฝูชางหลุดยิ้มแล้วดึงแขนเสื้อนางออก องค์หญิงมังกรที่ทนกลิ่นสุราไม่ได้คนนี้ทั้งจมูกและตาแดงก่ำ น้ำตาคลอแวววาวราวกับเพิ่งร้องไห้

 

 

เขาดึงนางเข้าไปยังยอดเขาที่เย็นสบาย “รออยู่ตรงนี้”

 

 

เขาเดินกลับไปมองแผ่นศิลาต่อ ผ่านไปนาน พอเขาท่องจบด้านหนึ่งก็พลันรู้สึกว่าข้างกายมีเงาคนตามมา ก้มหน้าลงไปมองจึงเห็นเสวียนอี่กินส้มเต็มปากและกำลังใจจดใจจ่ออ่านคัมภีร์สวรรค์บนแผ่นศิลาด้วยกันกับเขา

 

 

หลายวันนี้ฝูชางถูกนางตามเกาะติดจนไม่รู้สึกโมโหแล้ว เขาไม่สนใจนางและเดินอ้อมไปอ่านด้านหลังแผ่นศิลาต่อ ไม่นาน นางก็ตามมาอีก ทั้งยั้งคว้าแขนเขาเอาไว้ราวกับกลัวว่าเขาจะวิ่งหนีไป พร้อมทั้งยังม้วนแขนเสื้อม้วนไว้กับมือหนึ่งรอบอีกด้วย

 

 

ฝูชางถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ เขาไม่มีอารมณ์อ่านแผ่นศิลาต่อแล้ว เห็นวงแหวนสีทองบนศีรษะนางเบี้ยว เขาก็จับมันให้ตรงใหม่แทนนางอย่างไม่รู้ตัว พลางกล่าวถามเสียงเบาว่า “ทำไมถึงใส่แต่วงแหวนสีทองนี้”

 

 

องค์หญิงมังกรเป็นพวกรักสวยรักงาม เสื้อผ้าแทบจะไม่เคยใส่ซ้ำกันเลย มีเพียงเครื่องประดับบนศีรษะนางเท่านั้นที่เป็นวงแหวนสีทองนี้ตลอด

 

 

เสวียนอี่ก้มหน้าแล้วเกี่ยวลายปักลับสีเงินที่แขนเสื้อเขาไว้ พลางกล่าวช้าๆ ว่า “เพราะว่ามันสวยดี”

 

 

ขนตาดกหนาของนางเปียกชื้น และยังกล่าวด้วยเสียงขึ้นจมูกราวกับกำลังแง่งอน แววตาของฝูชางมองไล่ไปยังกรอบหน้าของนางจนไปถึงนิ้วมือ หลายวันนี้ลายเมฆที่แขนเสื้อเขาถูกนางเกี่ยวจนหลุดรุ่ยหมดแล้ว นางจะต้องเป็นผู้ชำนาญการเกี่ยวลายปักแน่ ถึงได้ใช้เล็บมือเกี่ยวด้ายของลายให้คลายออก แล้วค่อยดึงเอาเส้นด้ายออกมาทีละเส้น ไม่รู้ใครเป็นคนสอนนาง

 

 

“ศิษย์พี่ฝูชาง” เสวียนอี่เรียกเขาด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “พอทำการบ้านครั้งนี้เสร็จ อย่าเพิ่งรีบกลับไปได้หรือไม่”

 

 

ฝูชางนิ่งไปครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงเบาว่า “เพราะอะไร”

 

 

เหตุไฉนอยู่ดีๆ นางกลับเปลี่ยนจากองค์หญิงที่แข็งกระด้างกลายมาเป็นหนิวผีถังที่ทั้งอ่อนนุ่มทั้งเหนียวหนึบอย่างนี้อีกแล้ว

 

 

ในใจเขาเต็มไปด้วยความระแวดระวังและสงสัย แต่ว่าเขาก็ยังปล่อยให้นางทำตามใจ ยอมให้นางเข้ามาใกล้ชิด ตัวเขาเองก็อยากจะห้ามแต่ก็ทำไม่ได้ และยังไม่กล้าปล่อยตัวตามใจ

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเบา “เพราะว่าข้ายังอยากจะอยู่กับท่านต่ออีก”

 

 

นางยังไม่อยากกลับไปที่เขาจงซานที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ นางไม่เคยอยากออกมาจากที่นั่น แต่ว่าตอนนี้กลับไม่อยากจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา

 

 

เล็บมือเรียวเล็กที่ทาด้วยน้ำมันสีชมพูเคลื่อนออกไปจากแขนเสื้อ ฝูชางมองไปยังนิ้วมือเรียวเล็กอยู่นาน พลันยื่นมือออกไปกุมมือนางไว้ เขาไม่ได้กำมือนางแน่นราวกับจะบีบกระดูกให้แตกอย่างแต่ก่อน แต่กุมนางไว้ในมือเรียวยาวของเขาเบาๆ ราวกับกำลังประคองมวลเมฆอยู่มิปาน

 

 

นิ้วเรียวเล็กขยับไปมาสองสามครั้ง แล้วจึงยอมอยู่นิ่งในฝ่ามือของเขา

 

 

รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงเพลงอ่อนหวานและการเต้นรำที่งดงาม แต่ว่าทั้งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขและกลิ่นหอมอบอวลของสุราเหล่านั้น พลันเหมือนห่างไกลออกไป นับตั้งแต่ที่เขารู้จักกับนางมา ทั้งสองคิดวิธีการทั้งดีและเลวร้ายมาสู้กันมากมาย ยากจะพูดได้ว่าไม่ชอบกันหรือดึงดูดกัน เขาแอบเฝ้าระวัง บังคับควบคุมตัวเองอยู่ตลอด แต่ว่าก็ยังป้องกันไม่ได้

 

 

นางได้ลากเขาลงมาจากเวทีที่สูงส่งนั้นร่วงลงมาสู่ธุลีดินแล้ว

 

 

ฝูชางใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปที่นิ้วมือของนาง ปฏิกิริยาตอบกลับของนางดูลังเล ราวกับจั๊กจี้ กำมือหดนิ้วเข้าด้วยกัน สะกิดผ่านฝ่ามือเขาไป แต่เขากลับรู้สึกว่านางกำลังสะกิดอยู่บนหัวใจของเขา ความรู้สึกนั้นทั้งคันทั้งไร้เรี่ยวแรง

 

 

เขากำมือนางไว้แน่น แล้วยกขึ้นจรดริมฝีปากจุมพิตไปอย่างยากจะคุมอารมณ์ได้ นางพลันดึงมือกลับไป ฝูชางก้มลงไปมองนางหลุบตาลง แล้วใช้มือจับผมยาวของนางทัดไปหลังหูเบาๆ นางหลบน้อยๆ ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ แต่ไม่นานกลับพลันกลายเป็นขาวซีด

 

 

“…ขออภัย” ฝูชางรู้สึกลำคอร้อนรุ่ม

 

 

เสวียนอี่เหลือบตาขึ้นไปสบกับดวงตาสีดำลึกล้ำของเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบเบือนออกไป ใบหน้าของนางไม่ได้มีความเขินอายหรือโมโหอย่างที่คิดไว้ แต่กลับเหมือนมีเรื่องหนักอึ้งอยู่ในใจแกมสงสัย แต่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สุดท้ายนางก็ใช้เล็บเกี่ยวที่ลายปักบนแขนเสื้อต่อเบาๆ

 

 

ปฏิกิริยาประหลาดของนางทำให้ใจเขาหนักอึ้ง เขาเป็นพวกระวังตัวและคิดอะไรทะลุปรุโปร่ง เขารู้ถึงความกลับกลอกของนางดี ต่อให้ในใจหวั่นไหว แต่เขาก็ยังระวังตัวกับความใกล้ชิดของนางอยู่บ้าง

 

 

ตอนนี้ ปฏิกิริยาตอบรับแปลกประหลาดของนางทำให้เขารู้สึกสงสัย และถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว เสวียนอี่คว้าจับแขนเสื้อเขาที่คิดจะออกห่างไปไว้แน่น แล้วพลันเอ่ยปากเรียงเขาเสียงเบา “ศิษย์พี่ฝูชาง”

 

 

ฝูชางมองนางอย่างสงสัยอยู่นาน และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแหบว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องถามเจ้า เงยหน้าขึ้นมองข้า”

 

 

นางดูท่าทางลำบากใจ กะพริบตาอยู่นาน สุดท้ายจึงเหลือบตาขึ้น แต่มองเขาได้แวบหนึ่งก็รีบเบือนหลบสายตาของเขาทันที

 

 

ฝูชางค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น กำลังจะเอ่ยปาก พลันได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะดังมาจากบันไดใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่ทุกที่ล้วนมีแต่เสียงหัวเราะ แต่มีเพียงแค่เสียงที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้ตรงนี้เท่านั้นที่เป็นเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลที่เขาคุ้นเคย “ไม่ได้เจอเจ้ามาหลายวัน อาจิ่วสูงขึ้นอีกแล้ว”

 

 

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปน้อยๆ ไม่นานบนบันไดก็ปรากฏเงาร่างในชุดคลุมยาวสีดำ กลางหน้าผากห้อยไข่มุกสีแดงเพลิงเอาไว้ คนผู้นั้นก็คือเซ่าอี๋ เทพธิดาในชุดเขียวกำลังคล้องแขนเขาไว้ นางไม่เหมือนกับเผ่าจิ้งจอกสวรรค์คนอื่นๆ ด้านหลังนางมีหางสีขาวขนาดใหญ่เก้าหาง คล้ายกับภาพมายาที่ทำด้วยหางสีขาว ส่ายไปมาหลังกระโปรง มิน่าอาจารย์ถึงได้อยากได้ขนหางของนาง

 

 

เทพทั้งสี่เจอหน้ากันบนยอดเขาก็ชะงักงันไป เซ่าอี๋ได้สติเร็วที่สุดและฝืนยิ้มออกมา “ไอหยา ศิษย์น้องฝูชาง ปลาดุกอุยน้อย พวกเจ้าคงไม่ได้มาที่นี่เพราะการบ้านของอาจารย์เหมือนกันหรอกนะ”

 

 

พูดได้ไม่ผิด

 

 

เสวียนอี่มองเขา และมองไปยังเทพธิดาชุดเขียวข้างกายเขา เซ่าอี๋ดูมีนิสัยเฉยชา แต่ว่าจริงๆ แล้วเขาแทบจะไม่เคยทำเรื่องไร้ประโยชน์เลย นางชื่ออาจิ่ว คิดว่าคงจะคือองค์หญิงเก้าคนนั้นแน่ คราวนี้แย่แล้ว พวกเขาทั้งสองดูเหมือนจะรู้จักกัน เกรงว่าคงถูกเขาชิงตัดหน้าไปก่อนแล้ว

 

 

ในใจนางพลันมีความคิดมากมาย เคลื่อนเก้าอี้สานลอยไปด้านหน้าเซ่าอี๋ พลางยิ้มแล้วคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้ “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ บังเอิญจริงๆ ที่มาพบท่านที่นี่ ท่านคิดถึงข้าไหม พวกเราไปคุยกันทางโน้นดีกว่า”

 

 

นางเตรียมจะคว้าเขาเดินไป คิดว่าหากทำอย่างนี้เทพเซ่าอี๋ที่คิดว่านางหนักคงต่อต้านไม่ได้ ใครจะรู้ว่าองค์หญิงเก้าข้างกายเห็นฝูชางเข้าใบหน้าพลันแดงขึ้นอย่างเขินอาย แล้วจ้องมองเขา หางทั้งเก้าด้านหลังลู่ลงพื้นอย่างนุ่มนวล แล้วก้มหน้ากล่าวว่า “ท่านนี้คือเทพฝูชาง เชี่ยเซินได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้ได้มาพบ นับว่าไม่เกินคำร่ำลือเลยจริงๆ”

 

 

…นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าก่อนหน้ามองว่าเป็นแสงฤดูใบไม้ผลิที่งดงาม แต่ภายหลังถึงจะเป็นสิ่งที่งดงามอย่างแท้จริง ดูท่าแล้วองค์หญิงเก้าคนนี้จะถูกใจฝูชางมากกว่าเซ่าอี๋

 

 

ในใจของเสวียนอี่ภูมิใจขึ้นมา ต้องอาศัยเขาไปหลอกเอาขนหางจิ้งจอกมาแล้ว

 

 

นางเร่งเก้าอี้สาน เตรียมจะยกศาลาให้ทั้งสองคน ใครจะรู้ว่าเก้าอี้สานนางกลับถูกฝูชางคว้าเอาไว้แน่นจนขยับไม่ได้ เสวียนอี่เงยหน้ามองเขาอย่างสงสัย ก็สบตากับดวงตาที่เยือกเย็นของฝูชางคู่นั้นเข้า แต่ก่อนดวงตาเขาก็มักจะแสดงแววตาเยือกเย็นอย่างนี้ออกมาบ่อยครั้ง แต่ว่ากลับไม่มีครั้งไหนที่จะเยือกเย็นได้อย่างครั้งนี้

 

 

“ศิษย์พี่ฝูชาง” นางกล่าวเสียงเบาอย่างงุนงง “รีบไปเร็ว ไปทำให้นางอารมณ์ดี”

 

 

พวกเขามาไกลกว่าหมื่นลี้กว่าจะถึงเขตใต้อย่างเขาชิงชิว ในเมื่อคิดจะลงมือแล้ว นางก็ไม่อยากจะกลับไปมือเปล่า และยิ่งไม่มีทางแพ้ให้กับเซ่าอี๋ของตระกูลชิงหยางแน่

 

 

นิ้วของฝูชางออกแรงกำเก้าอี้สานแน่นจนมันส่งเสียงดังราวกับจะแตกหักออกมา เขาปรายตามองไปที่เสวียนอี่ด้วยสีหน้าทะมึน แล้วพลันคลายมือออก พร้อมกับหันไปทางองค์หญิงเก้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “องค์หญิงเก้า คารวะ”

 

 

เสวียนอี่ก็ไม่พูดอะไรแล้วลากเซ่าอี๋ออกไป เขาเองก็ไม่ต่อต้าน แต่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพร้อมเดินตามนางลงบันไดไป หันกลับไปมองก็เห็นองค์หญิงเก้ากำลังหน้าแดงคุยกับฝูชาง จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา แล้วปัดจมูกของเสวียนอี่เบาๆ “เจ้าปลาดุกอุยน้อยที่ช่างมีแต่ความคิดเลวร้าย ทำข้าเสียเวลาไปเปล่าๆ สามวัน”

 

 

เสวียนอี่ทำสีหน้าไร้เดียงสา “เกี่ยวอะไรกับข้า องค์หญิงเก้าไปชอบศิษย์พี่ฝูชางมากกว่าเอง”

 

 

เซ่าอี๋เลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วจ้องไปที่นางครู่หนึ่ง พร้อมหันหน้ากลับไปมองเทพทั้งสองในศาลาแล้วยิ้มน้อยๆ” ดูแล้วพวกเขาทั้งสองก็เหมาะสมกันมาก ดูแล้วช่างงดงามสมกันจริงๆ”

 

 

เสวียนอี่หันกลับไปมองที่ศาลา ลมพัดจนทำให้ผมและเสื้อผ้าของทั้งสองพลิ้วไสว พวกเขาทั้งสองยืนใกล้กันมาก หนึ่งเขียวหนึ่งขาว และยังเดินด้วยท่าทีที่สง่างามเหมาะสมกันจริงๆ

 

 

นางยิ้มแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ดูแล้วไม่เลวเลย ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ท่านโมโหหรือ”

 

 

เซ่าอี๋คว้าไปที่เก้าอี้สานของนางแล้วเดินตามบันไดลงไปพร้อมกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “ข้าจะโมโหทำไม อาจิ่วไม่ชอบข้ายังไม่เป็นไร เจ้าชอบข้าก็ใช้ได้แล้ว”