บทที่ 74 หายนะของความเหงา

บุหลันเคียงรัก

เสวียนอี่เล่นแขนเสื้อตัวเองเล่นอย่างไม่มีอะไรทำ “ข้าชอบเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ได้บอกแล้วหรือว่าจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างท่านกับพี่ชายข้าให้”

 

 

เซ่าอี๋ดึงนางเข้าไปในศาลาหลังเล็กตรงเชิงเขาแล้วนั่งลงข้างกายนางพร้อมถอนหายใจ “พูดกับเจ้า ข้าต้องตั้งสติให้ดีจริงๆ หากว่าไม่ระวังคงได้ถูกเจ้าทำให้ไขว้เขว ขาเจ้ายังไม่หายดี มาทำการบ้านทำไม ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกครึ่งปี ทำไมไม่รอให้แผลหายก่อนแล้วค่อยมาทำ”

 

 

เสวียนอี่เริ่มเกี่ยวลายปักมังกรหลับตาตรงแขนเสื้อตัวเอง “เทพขุนนางที่บ้านข้าบอกว่า แผลนี้ต้องใช้เวลาสามสิบปีถึงจะหายดี”

 

 

เซ่าอี๋เอาส้มผลหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อแล้วค่อยๆ ปอกเปลือกออกพร้อมกล่าวว่า “ข้าดูแล้ว อีกหนึ่งเดือนก็คงสมานกันสนิทแล้ว”

 

 

นิ้วมือของเสวียนอี่ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วนางก็เกี่ยวลายปักต่อไปช้าๆ พร้อมทั้งก้มหน้ากล่าวเสียงเบาว่า “ทำไมถึงพูดอย่างนี้”

 

 

เหมือนว่าเขาจะไม่ได้แค่พูดธรรมดาๆ แต่ว่ากลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจมาก น่าแปลกใจจริงๆ

 

 

เซ่าอี๋ “อืม” ออกมา เขาดึงเส้นสีขาวด้านบนเนื้อส้มออกแล้วหยิบชิ้นหนึ่งเข้าปาก แล้วก็ต้องขมวดคิ้วออกมาเพราะความเปรี้ยวของมัน “เจ้ามานี่ แล้วออกแรงดึงข้าที”

 

 

เสวียนอี่จับมือที่บ่าเขา “ข้าจะดึงแล้วนะ”

 

 

นางไม่รอเขาตอบแล้วออกแรงผลักไปทีหนึ่ง แต่เขากลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย และยังส่งยิ้มให้นางอีก “เจ้าตัวน้อยที่เจ้าเล่ห์ วางแผนกับข้าอีกแล้ว”

 

 

เขาพลันยื่นมือออกไปคว้าข้อมือนางแล้วลากเบาๆ เสวียนอี่ถูกเขาดึงให้ลุกขึ้นยืนและเกี่ยวเอวโอบไปด้านหน้า

 

 

“เจ้าดู เพราะเจ้าตัวเบาลง จึงไม่ต้องกลัวว่าเจ้าจะมาทับหงส์บ้านข้าตายอีก”

 

 

เขาเอียงคอแล้วเงยหน้ามองนางพลางยิ้มออกมาอย่างบริสุทธิ์งดงาม

 

 

เสวียนอี่ไม่ได้ดิ้นรน แต่จ้องไปยังไข่มุกสีแดงเพลิงบนหน้าผากของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ไข่มุกเม็ดนี้สีสดและสวยขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก สะท้อนให้เห็นดวงตาดำเข้มคิ้วดกหนา และหน้าผากที่งดงามราวกับอัญมณีของเขาให้งดงามขึ้น

 

 

นางใช้ปลายนิ้วสัมผัส เซ่าอี๋กลับใช้แขนรัดนางแน่นขึ้น “เจ้าคอยแต่จะลงไม้ลงมือกับศิษย์น้องฝูชางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน วันนี้ยังคิดจะมาลงไม้ลงมือกับข้าอีก”

 

 

เสวียนอี่ดิ้นน้อยๆ “ท่านรัดข้าจนเจ็บแล้ว”

 

 

เซ่าอี๋หรี่ตาลง “แค่นี้ก็เจ็บแล้ว ยังมีเจ็บกว่านี้อีก”

 

 

เสวียนอี่ถอนหายใจ “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ อะไรๆ ท่านก็ดี แต่ว่าเรื่องชอบกั๊กของท่าน ช่างทำให้ข้าเกลียดมากจริงๆ”

 

 

เซ่าอี๋ก้มหน้าหัวเราะเสียงเบา กำลังคิดจะพูดอะไร ก็เห็นองค์หญิงเก้ากับฝูชางเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันลงมาจากบันได ใบหน้าขององค์หญิงเก้ายังคงแดงก่ำ แต่ก็ยังเข้าไปคารวะใกล้ๆ ด้วยท่าทีขลาดกลัว” เทพเซ่าอี๋ ข้าพาเทพฝูชางไปเดินรอบชิงชวินนี้สักรอบ เกรงว่าคงจะต้อนรับท่านได้ไม่ดีนัก”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวเสียงนุ่มว่า” ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อาจิ่วไปเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า”

 

 

เสวียนอี่ยืดคอยาวมองไปที่ฝูชาง แต่ว่าเขากลับไม่มองนาง เขาหันหลังให้และยืดหลังตรงแต่กลับให้ความรู้สึกเย็นชา นางจ้องมองเขากับองค์หญิงเก้าเดินลงไปจากบันไดจนกระทั่งหายลับไป

 

 

คางของนางถูกมือข้างหนึ่งบีบและบังคับฝืนให้นางต้องหันหัวกลับมา ดวงตาสีดำของเซ่าอี๋มองพินิจใบหน้าของนาง” ปลาดุกอุยน้อย ทำไมไม่ยิ้มแล้ว”

 

 

เสวียนอี่ดันแขนเขาออกพลางขมวดคิ้ว” ข้าจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม ศิษย์พี่เซ่าอี๋ยังต้องมายุ่ง”

 

 

เขายิ้มแล้วปล่อยนาง พร้อมกินส้มที่เหลือทั้งหมดไป รสชาติเปรี้ยวจนต้องขมวดคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า” เจ้าปลาดุกอุยน้อยนี่ วันนี้มาทำข้าเสียเรื่อง ข้าต้องคิดวิธีทำโทษเจ้าเสียแล้ว”

 

 

เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อปิดปากไว้แล้วกล่าวด้วยท่าทางน่าสงสาร “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ทนได้หรือ”

 

 

เขาลุกขึ้นแล้วปัดมือไปมา พร้อมกันเอียงศีรษะคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ทนได้มากอยู่ ปลาดุกอุยน้อย เจ้าอยากรู้ว่าความขัดแย้งของข้ากับพี่ชายเจ้าคืออะไรมาตลอด วันนี้ข้าจะบอกเจ้าให้ว่า ความขัดแย้งของพวกเราก็เพราะเจ้า”

 

 

เขาหมุนตัวเดินจากไป แต่แขนเสื้อเขากลับถูกนางดึงเอาไว้

 

 

“พูดให้ชัดหน่อย” เสวียนอี่จ้องเขา

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มแล้วบีบหน้านางเบาๆ “ถ้าพูดชัดจะถือเป็นการลงโทษได้อย่างไร เจ้าไปถามองค์ชายน้อยเองเถอะ หากว่าเขาไม่ยอมบอกเจ้าก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว”

 

 

เขาเดินไปข้างหน้าต่อ เสวียนอี่ก็ดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้แล้วตามไปทีละก้าวๆ เขาหันกลับมาเตือนนางด้วยท่าทีจริงจัง “ช้าหน่อย ช้าหน่อย ระวังล้ม ระวังศิษย์น้องฝูชางจะเห็นเข้า”

 

 

เสวียนอี่เม้มปาก “ท่านจะไม่บอกข้าจริงๆ หรือ”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจังว่า “ต่อให้เจ้าไปหาเทพธิดาหน้าตางดงามที่สุดในแผ่นดินมาวางบนเตียงข้าสิบคน ข้าก็ยังไม่บอกเจ้า”

 

 

นางปล่อยมือลงทันที เซ่าอี๋ถามกลับว่า “ทำไม ไม่ถามแล้วหรือ”

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ในเมื่อถามไม่ได้ความ แล้วทำไมจะต้องมาเสียกำลังไปเปล่าๆ ด้วยเล่า”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มน้อยๆ “นี่สิถึงจะน่ารัก ปลาดุกอุยน้อย บางเรื่องไม่ต้องถามมากก็ได้ ชีวิตของเจ้าเป็นของข้า จำไว้ว่าให้เจ้ารักษาเอาไว้ดีๆ ก็พอ อย่าได้บาดเจ็บอีก”

 

 

เสวียนอี่ตกใจขึ้นมาจริงๆ แต่พอนางมองไปตรงหน้า เขากลับไม่อยู่แล้ว นางนิ่งอยู่ที่เดิมอยู่นาน และขบคิดถึงคำพูดของเขา ที่มีแต่ความสงสัย

 

 

เทพที่มาชิงชิวมีมากขึ้นเรื่อยๆ แขกเก่าไป ก็มีแขกใหม่มากันไม่ขาดสาย เสวียนอี่วิ่งขึ้นลงเขาอยู่หลายรอบ แต่ก็ยังหาเงาของเซ่าอี๋ไม่เจอ เขาคิดว่าขนหางขององค์หญิงเก้าเขาคงหมดหวังแล้ว จึงไม่อยู่ต่ออีกและจากไปทันที

 

 

นางกลับไปยังศาลาบนยอดเขาด้วยความสงสัยเต็มสมอง ด้านหน้าศิลาขนาดใหญ่ ปี่ซี่[1]ตัวใหญ่ที่แบกศิลาอยู่ มีร่างของเทพชุดขาวที่หายไปนานกำลังยืนอ่านอักษรบนศิลาอยู่ตามลำพัง

 

 

เสวียนอี่ดีใจแล้วโถมตัวเข้าไปหาอ้อมแขนเขาเอาไว้ พลางกล่าวเสียงอ่อนหวานว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ท่านได้ขนหางจิ้งจอกมาไหม”

 

 

ฝูชางค่อยๆ ดึงแขนกลับไปจากอกนางช้าๆ เขาไม่ได้หันกลับมา แต่สะบัดแขนหนึ่งครั้ง ขนหางจิ้งจอกยาวสีขาวราวกับหิมะสามเส้นก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ

 

 

เสวียนอี่หยิบขนทั้งสามเส้นขึ้นมา พวกมันเหมือนกับผมของเทพเฟยเหลียน เล็กเรียวอ่อนนุ่ม พลิ้วไสวได้โดยไร้ลม นางถอนหายใจออกมา ทีนี้การบ้านก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

เอาขนจิ้งจอกทั้งสามเก็บเข้าไปในอกเสื้อ นางก็ดึงแขนเสื้อของฝูชางอีกครั้งแล้วถามว่า “ท่านไปเอามาได้อย่างไร พวกท่านพูดอะไรกัน”

 

 

ในที่สุดฝูชางก็ก้มหน้ามองนาง ดวงตาที่เยือกเย็นดุดันของเขาหายไป เหลือเพียงดวงตาสีดำที่ลึกล้ำ

 

 

“เจ้าอยากรู้?” เสียงของเขาเชื่องช้าและราบเรียบ

 

 

จริงๆ แล้วนางก็ไม่ได้อยากจะรู้ขนาดนั้น แค่ถามเฉยๆ เท่านั้น เสวียนอี่ยืดคอมองไปยังอักษรที่เปล่งประกายสีขาวบนแผ่นศิลา พร้อมกล่าวอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “ใช่แล้ว ท่านพูดสิ”

 

 

ไหล่ทั้งสองของนางพลันถูกบีบไว้ แรงมหาศาลที่นางไม่สามารถต่อต้านได้ลากร่างทั้งร่างของนางไป หลังของนางกระแทกเข้าที่แผ่นศิลาอย่างแรง เจ็บจนนางมึนงงไปหมด แต่ที่เจ็บกว่าคือที่ไหล่ของนาง กระดูกแทบจะถูกบีบจนแตกละเอียดหมดแล้ว

 

 

เสวียนอี่ใช้ขาทั้งสองดิ้นไปมาด้วยสัญชาตญาณ พลังเทพในร่างก็แผ่ออกมา หิมะจู๋อินมากมายตกลงมาจากฟ้า เข่าของนางกลับถูกกระแทกเข้าอย่างแรง ขาทั้งสองที่ดิ้นไปมาก็อ่อนแรงลงไปนั่งอยู่บนหลังของปี่ซี่ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็รัดมาที่คอของนาง

 

 

นางเจ็บจนหายใจแรง พอตั้งสติมองผ่านเกล็ดหิมะไปจึงเห็นว่า ใบหน้าเยือกเย็นของฝูชางไร้อารมณ์ มือข้างหนึ่งของเขาบีบอยู่ที่คอนาง อีกข้างบีบไปที่ไหล่ของนาง จนทำให้นางเจ็บปวดมาก เขาก้มเข้ามาใกล้แล้วกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ข้าถามเจ้า เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร

 

 

เสวียนอี่หอบหายใจ แววตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ปล่อยข้า!”

 

 

นางออกแรงเตะเขาหลายครั้ง มือเขาก็ค่อยๆ บีบแน่นขึ้น จนนางเริ่มหายใจไม่ออก นางไม่เพียงไม่ยอมแพ้ กลับยิ่งออกแรงมากขึ้น ชุดสีขาวของเขาถูกนางเตะเข้าจนมีรอยเท้ามากมาย

 

 

มือที่ทำให้นางหายใจไม่ออกพลันคลายออก แล้วเลื่อนไปบีบไหล่อีกข้างของนาง นิ้วมือเขาแทบจะจมลงไปในกระดูกของนางแล้ว เจ็บจนนางต้องร้องออกมาเสียงดัง

 

 

ฝูชางกล่าวเสียงเข้มว่า “ตระกูลจู๋อินล้วนแต่ชอบเหยียบย่ำผู้อื่นเล่นอย่างเจ้าเหมือนกันหมดหรือ เจ้ามองให้ชัดๆ ข้าไม่ใช่องค์ชายน้อย ไม่ใช่ฉีหนาน และยิ่งไม่ใช่เซ่าอี๋ด้วย อย่าได้เอาข้าไปใส่ในส่วนที่ขาดไปของเจ้า”

 

 

 

 

 

 

[1]ปี่ซี่ สัตว์มงคลในตำนานชนิดหนึ่ง รูปร่างเหมือนเต่า แต่ปี้ซี่จะมีฟัน ซึ่งแตกต่างจากรูปเต่าโดยทั่วไป มีพละกำลังมหาศาล โดยมากจะนำมาเป็นฐานของแผ่นศิลาจารึก สามารถพบเห็นได้ตามวัดวาอารามต่างๆ กล่าวกันว่าหากได้สัมผัสจะนำพาโชคลาภมาให้