[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 403 : สมบัติพุทธองค์!
“โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง..”
หลวงจีนสิงฉีนั่งขัดสมาธิ ฝ่ามือสองข้างปะกบเข้าหากัน พร้อมกับสวด – โอมมานีแปะหมี่ฮง ทั้งหกคำนี้ด้วยท่าทางสงบ และปราศจากความหวาดกลัว
แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจที่จะสังหารของหลิงหยุนได้ กระบี่มังกรขาวในมือของเขาพุ่งเข้าใส่คอหอยของหลวงจีนสิงฉีอย่างรวดเร็ว!
แต่ทันใดนั้นเอง.. จู่ๆลูกปะคำที่อยู่ในแหวนพื้นที่ของหลิงหยุน ก็พุ่งออกมาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ และเข้าไปสกัดปลายกระบี่ที่แหลมคมของหลิงหยุนไว้ได้ทันท่วงที!
ลูกปะคำที่พุ่งออกมานั้น ไม่มีประกายแสงเจิดจ้า หรือมีพลังพุทธะแต่อย่างใด เพราะหลังจากที่พุ่งออกมาจากแหวนพื้นที่แล้ว สีของมันก็ยังคงเป็นสีเทาธรรมดา อีกทั้งยังไม่มีปรากฏการณ์อื่นๆตามมาอีกด้วย!
ลูกปะคำนั่นเพียงแค่พุ่งออกมาสกัดปลายกระบี่ที่กำลังแทงเข้าลำคอของหลวงจีนสิงฉีเท่านั้น!
กระบี่มังกรขาวมีความแหลมคมเพียงใดนั้นย่อมเป็นที่รู้กันดี และยิ่งผนวกกับกำลังภายในที่แข็งแกร่งของหลิงหยุนแล้ว จึงแทบไม่ต้องพูดถึงประสิทธิภาพของมัน
แต่น่าแปลกที่ไม่ว่าหลิงหยุนจะออกแรงมากเพียงใด หรือแม้แต่เปลี่ยนทิศทางการโจมตี หลิงหยุนก็ไม่สามารถแทงทะลุลูกปะคำลูกนั้นไปได้!
“โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง”
คำสวดทั้งหกคำของหลวงจีนสิงฉีดูเหมือนจะมีพลังมหาศาล ผู้คนที่อยู่ในบ้านต่างก็รับรู้ได้ถึงพลังความเมตตา สีหน้าของหลวงจีนในยามนี้กลับกลายเป็นสงบเยือกเย็น และน่าศรัทธายิ่งนัก!
หลวงจีนสิงฉีสัมผัสได้ถึงพลังพุทธองค์ที่แข็งแกร่ง เขาจึงเปิดเปลือกตาขึ้นมอง แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดกับภาพที่อยู่ตรงหน้า!
“อมิตาพุทธ.. นี่มัน..”
ทันทีที่ได้เห็นลูกปะคำลอยอยู่ตรงหน้า สีหน้าแววตาของหลวงจีนสิงฉีก็เต็มไปด้วยความตกใจ จนถึงกับหยุดสวดมนต์ไป!
แต่ดูเหมือนคนที่ตกใจที่สุดจะเป็นหลิงหยุน! เขาได้แต่คิดว่า เหตุใดสมบัติที่เขานำขึ้นมาจากก้นหลุมยักษ์ จึงได้พุ่งออกจากแหวนพื้นที่เองได้?
คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์อาจไม่รู้ แต่หลิงหยุนนั้นรู้กระจ่างแจ้งแก่ใจดี เพราะสมบัติชิ้นนี้เขาได้มาจากวัดเล็กๆที่อยู่ในดวงตามังกร และลูกปะคำเม็ดนี้ ก็เป็นลูกปะคำที่อยู่ในมือของหลวงจีนกายเพชรผู้นั้น!
หลิงหยุนใช้กระบี่ในมือโจมตีไปที่หลวงจีนสิงฉีอีกครั้งด้วยความโมโห..
ชัวะ.. ชัวะ.. ชัวะ..! แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะกระบี่ของเขาล้วนถูกลูกปะคำสะกัดกั้นไว้ได้ทุกครั้ง!
ลูกปะคำเม็ดน้ำก็เริ่มเปล่งพลังพุทธะออกมา และค่อยๆสลายแรงสังหารที่รุนแรงในจิตใจของหลิงหยุนลงทีละน้อย!
หลวงจีนสิงฉีไม่ได้สนใจกระบี่ของหลิงหยุนที่ฟาดฟันลงมาแม้แต่น้อย เพราะหลังจากที่เขาหายตกใจและตกตะลึงแล้ว เขาก็รีบลุกจากท่านั่งขัดสมาธิมาเป็นคุกเข่า พร้อมกับก้มศรีษะจนหน้าผากจรดพื้น เพื่อสักการะลูกปะคำที่ลอยอยู่กลางอากาศเม็ดนั้น
หลวงจีนสิงฉีทำการโขกศรีษะลงพื้นถึงเก้าครั้ง จากนั้นก็ยกฝ่ามือทั้งสองข้างประกบกันพร้อมกับขอร้องหลิงหยุนว่า
“ประสก.. ได้โปรดเก็บกระบี่ของเจ้าก่อน อาตมามีคำพูดบางอย่างอยากจะพูดกับเจ้า..”
หลิงหยุนเองก็รู้เช่นเดียวกันว่า เขาไม่สามารถสังหารหลวงจีนรูปนี้ได้ จึงได้แต่เก็บกระบี่มังกรขาวเข้าไปในแหวนพื้นที่ ทันทีที่เก็บกระบี่ ลูกปะคำก็ลอยกลับเข้าไปหาหลิงหยุน และหายเข้าไปในแหวนพื้นที่อีกครั้ง
“น่าแปลก.. ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้..”
หลิงหยนได้แต่นึกประหลาดใจ พร้อมกับกำลังคิดว่าเขาคงจะต้องเอาลูกปะคำนี้ไปทิ้งที่ใหนสักแห่งแล้ว
‘หลวงจีนที่มรณภาพในท่านั่งรูปนั้น ดูเหมือนจะเก่งกาจและแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่แน่ว่าต่อให้ข้าฝึกถึงขั้นที่สูงกว่านี้ ก็ใช่ว่าจะรับมือกับลูกปะคำที่เขาทิ้งไว้ข้างหลังได้ ดูท่าสมบัติชิ้นนี้คงจะอยู่กับข้าไม่ได้แล้ว!’
สมบัติต่อให้ล้ำค่าเพียงใด หากหลิงหยุนไม่สามารถใช้งานได้ เขาก็พร้อมที่จะทิ้งมันไปได้ทันที!
“เจ้าพูดมา!”
หลิงหยุนจัดการเก็บกระบี่โลหิตแดนใต้อีกด้าม พร้อมกับยืนเอามือไขว้หลังอยู่ต่อหน้าหลวงจีนสีฉิงที่กำลังพูดด้วยน้ำเสียงที่เบามาก
“ประสกไม่ใช่คนของนิกายมาร! ไม่เพียงแค่ไม่ใช่เลย..! แต่ยังมีชะตาต้องกับพุทธองค์..” หลวงจีนสิงฉีพูดเพียงแค่นั้น
หลิงหยุนตกใจกลัวจนต้องรีบพูดขึ้นมาว่า “นี่หลวงจีนเฒ่า.. ท่านไม่ต้องอ้างเรื่องนี้เลย ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องอ้างเรื่องชะตาต้องกับพุทธองค์อะไรนี่เลย!”
ตลกสิ้นดี.. รอบกายของเขามีสาวงามรายล้อมอยู่มากมายที่เขายังไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วย แต่หลวงจีนเฒ่านี่กลับบอกว่าเขามีชะต้องกับพุทธองค์..
แต่หลวงจีนสิงฉีได้แต่ยิ้มพร้อมตอบกลับมาว่า “ประสก.. เจ้าสามารถใช้กระบี่มารนี่สังหารข้าได้ แต่เหตุใดเจ้าจึงเลือกที่จะใช้กระบี่อีกเล่มแทนล่ะ?”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า หลวงจีน.. ยังไงก็เป็นหลวงจีนอยู่วันยันค่ำ พูดจาน่าเบื่อหน่าย! จะสังหารใครสักคน จะต้องสนใจทำไมว่าใช้กระบี่เล่มใหนสังหาร?
หลวงจีนสิงฉีเห็นหลิงหยุนนิ่งไม่ตอบ จึงได้แต่ยิ้มและพูดต่อ “ข้าขอถามประสก.. เจ้าได้ลูกประคำนั่นมาจากที่ใด?”
หลิงหยุนได้แต่ตอบส่งๆไป “ตามถนน.. ข้าเห็นเข้า นึกสนุกก็เลยเก็บขึ้นมาดู แต่ตอนนี้กำลังคิดว่าหมดสนุกแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะโยนมันทิ้งไป!”
หลวงจีนสิงฉีรู้ว่าหลิงหยุนตั้งใจตอบส่งๆไปเท่านั้นเอง จึงไม่ใส่ใจกับคำพูดของเขานัก จึงได้แต่ตอบกลับไปว่า
“เช่นนั้นก็แล้วแต่ประสกเถิด.. อยากจะเก็บไว้ หรืออยากจะโยนทิ้งไปก็ตามใจ แต่อาตมาอยากจะบอกกับเจ้าว่า.. ลูกประคำนี่เป็นสมบัติล้ำค่าสูงสุดของพุทธศาสนา – เรียกว่าโพธิ!”
“โพธิ?!” สมองของหลิงหยุนทำงานอย่างหนัก เขาพยายามค้นหาข้อมูลจากความทรงจำมหาศาลของตนเอง แต่ก็ไม่พบคำนี้ในความทรงจำของเขาเลย
และดูเหมือนตอนที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น เขาเองก็ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเช่นกัน
หลวงจีนสิงฉีมองหลิงหยุนด้วยความเมตตาเต็มเปี่ยมพร้อมกับอธิบายต่อว่า
“โพธิในที่นี้ไม่ใช่ต้นไม้ แต่คือจิตที่ว่างเปล่าปราศจากกิเลส – ประสก.. เจ้าได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าอย่างโพธิ หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีชะตาต้องกับพุทธองค์แล้ว จะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร? เจ้าอย่าได้หลอกตัวเองอีกเลย!”
“จะเป็นสมบัติล้ำค่าของใครก็ช่างเถอะ! พรุ่งนี้ข้าจะโยนมันทิ้งไป!” หลิงหยุนโต้ด้วยความดื้อรั้น
แม้หลิงหยุนจะฝึกตน แต่เขาก็ฝึกตามแนวทางเต๋า และไม่ใช่ว่าเขาจะเดินตามแนวทางเต๋าทั้งหมด จะเรียกว่ามีเต๋าเพียงครึ่งเดียวก็ได้!
การฝึกฝนของเขานั้นเป็นไปตามแนวทางของเขาเอง เป็นการฝึกเพื่อที่จะทำให้ตัวเขาอยู่ยงคงกะพัน แต่จะไม่ข้องเกี่ยวใดๆกับพุทธองค์ทั้งสิ้น
“โอ้.. ดูเหมือนว่าประสกจะไม่ต้องการโพธิจริงๆ ถ้าเช่นนั้นอาตมาขอถามเรื่องพู่กันและสมุดจักรพรรดิที่อยู่กับเจ้าก็แล้วกัน?” ใบหน้าและรอยยิ้มของหลวงจีนดูลึกลับและเป็นปริศนาขณะที่ถามหลิงหยุน
หลิงหยุนตกใจ แต่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ พร้อมกับคิดว่าหลวงจีนเฒ่ารูปนี้ไม่ธรรมดาเลย ตอนนี้พู่กันจักรพรรดิอยู่ที่หว่างคิ้วของเขา ส่วนสมุดจักรพรรดิก็อยู่ที่จุดตันเถียน เรื่องนี้.. หลวงจีนรูปนี้รู้ได้อย่างไรกัน?!
จู่ๆม่านตาทั้งสองข้างของหลิงหยุนก็ปรากฏเป็นสีขาวดำขึ้นมาวูบหนึ่ง มันเป็นแววตาสังหาร – หลิงหยุนกำลังคิดในใจว่า ในเมื่อโพธิสะกัดกั้นเฉพาะเขาไม่ให้สังหารหลวงจีนรูปนี้ เขาก็จะให้เหล่ากุ่ยกับตู้กู่โม่เป็นผู้สังหารแทน!
เพราะกระบี่มังกรขาวสามารถเปิดเผยให้ผู้คนรู้ได้ กระบี่โลหิตแดนใต้ก็เช่นกัน อีกทั้งแหวนพื้นที่ น้ำเต้าวิเศษ น้ำลายมังกร และของล้ำค่าอื่นๆล้วนเปิดเผยได้ทั้งสิ้น เว้นแต่สมุดและพู่กันจักรพรรดิเท่านั้น ที่ไม่สามารถเปิดเผยให้ใครรู้ได้!
เพราะทุกวันนี้ ใครๆต่างก็ต้องการครอบครอง และเป็นเจ้าของสองสิ่งนี้ อีกทั้งความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในเวลานี้ก็ยังต่ำเกินไป หากข่าวนี้แพร่สะพรัดออกไป ชีวิตของเขาคงต้องกลายเป็นเป้าหมายของทุกคนแน่!
“เจ้าพูดเรื่องอะไรข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน..”
แววตาสังหารของหลิงหยุนปรากฏขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วก็ดับไป และโชคดีที่หลวงจีนสิงฉีไม่เห็น! แต่ถึงจะเห็น หลิงหยุนก็ไม่ได้หวั่นแม้แต่น้อย..
“หลิงหยุน.. เจ้ามาที่นี่ด้วยความสิ้นหวัง พร้อมด้วยภารกิจมากมายที่เจ้าเองก็ไม่อาจละทิ้งได้..”
หลวงจีนสิงฉีพูดจาแปลกประหลาดอีกราวสี่ห้าประโยค หลิงหยุนฟังดูแล้วไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ก็น่าแปลกที่คำพูดเหล่านั้นกับกระทบจิตใจหลิงหยุนอย่ารุนแรง
โลกใบนี้ช่างลึกลับและเป็นปริศนา หลิงหยุนได้แต่ลังเลสงสัย!
“ทุกชีวิต.. ล้วนว่างเปล่า มันเป็นเช่นนั้น! ฮ่า.. ฮ่า..”
เสียงพูดของหลวงจีนสิงฉีค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ และหลังจากสิ้นเสียงหัวเราะ ร่างของเขาก็นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว และไม่มีเสียงใดๆอีกเลย..
“หลวงจีน.. ท่าน!” หลิงหยุนฟังด้วยความงงงวย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไร หลวงจีนสิงฉีก็นั่งนิ่งไม่ไหวติงแล้ว
หลวงจีนสิงฉีได้ดับขันธ์ของตัวเอง และมรณภาพไปในท่านั่งที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่สงบ!
“นี่..”
หลิงหยุนจ้องมองร่างของหลวงจีนสิงฉีพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่นานจนไม่รู้ว่าล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา
ในเมื่อโพธิไม่ยอมให้สังหารหลวงจีนสิงฉี หลิงหยุนก็ตั้งใจที่จะไว้ชีวิตของเขาอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนหลวงจีนจะรู้เรื่องราวทุกอย่างดี เพราะหลังจากที่เกิดจิตสังหารขึ้นในใจหลิงหยุนวูบหนึ่งนั้น หลวงจีนสิงฉีไม่ต้องการให้เขาเป็นผู้ลงมือ จึงได้จัดการดับขันธ์ตัวเองและมรณภาพด้วยความเต็มใจ!
“ขอบคุณท่านมาก!” หลังจากผ่านพ้นไปนานชั่วระยะหนึ่ง หลิงหยุนก็ผละจากร่างที่นิ่งเงียบของหลวงจีนสิงฉี และตรงเข้าหาซันเทียนเปียว
“ซันเทียนเปียว.. ถึงคราวของเจ้าแล้ว..”
หลิงหยุนมองซันเทียนเปียวที่กำลังนั่งอยู่ที่พื้นพร้อมกับยิ้มด้วยแววตาสนุกสนาน
เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็รวมตัวกันเพื่อไม่ให้ซันเทียนเปียวหลบหนี
“หลิงหยุน.. เจ้าทำอะไรกับหลวงจีนเฒ่านั่น? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับลูกปะคำนั่น?” ตู้กู่โม่อดรนทนไม่ไหว ในที่สุดก็ร้องถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อครู่ทั้งหลิงหยุนและหลวงจีนสิงฉีต่างก็พูดคุยกันผ่านกระแสจิต จึงไม่มีใครได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
“ข้าคุยกับหลวงจีนเรื่องของชีวิต..” หลิงหยุนตอบไปเรื่อยเปื่อย
ตู้กู่โม่ถึงกับเกาศรีษะอย่างงุนงงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าคุยกับหลวงจีนเรื่องชีวิต แล้วเขาตายได้ยังไงกัน?”
หลิงหยุนไม่ต้องการพูดถึงเรื่องของหลวงจีนสิงฉีอีก เขาพูดเพียงว่า “ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีจิตใจเป็นของตัวเอง เขาตัดสินใจเช่นนั้น เจ้าจะให้ข้าทำยังไง?”
จากนั้นหลิงหยุนก็ไม่เสียเวลาพูดกับตู้กู่โม่อีก เขาถือกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้ในมือพร้อมกับหมุนข้อมือและชี้ไปทางซันเทียนเปียว
“ซันเทียนเปียว.. ข้าเพิ่งพูดว่าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ เจ้ายังจำได้ไม๊?!”
แววตาของหลิงหยุนเย็นยะเยือกไม่ต่างจากกระบี่ในมือที่เย็นราวกับน้ำแข็ง
ซันเทียนเปียวรู้ดีว่าหลิงหยุนไม่ต่างจากฆาตกร จะเรียกว่าราชันแห่งมารก็คงจะไม่เกินไป!
“หลิงหยุน ในคืนวันเชงเม้ง เจ้า..”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบาแต่ชัดเจน “ใช่แล้ว.. คนของเจ้าถูกข้าสังหารตายหมด รวมทั้งเมียที่แสนจองหองกับลูกชายที่ชั่วช้าของเจ้าด้วย ยอดฝีมือทั้งสี่คน ข้าก็เป็นคนฆ่าตายกับมือ ถ้าเจ้าต้องการจะล้างแค้นให้กับพวกเขา ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว เข้ามาจัดการล้างแค้นให้กับพวกเขาได้เลย”
“เพราะไม่ว่าจะยังไงเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี!” หลิงหยุนพูดเสียงดังฟังชัด
เป็นเพราะการบีบบังคับของซันเทียนเปียว ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงไม่มีทางเลือก และต้องยอมตัวเป็นศิษย์ของสำนักจิ้งซิน และเรื่องนี้ได้ทำลายความอดทนของหลิงหยุนไปแล้วจนหมดสิ้น!