“วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่าที่แท้การได้ลูบคลำบุรุษยังมันกว่าสตรีเสียอีก!”
“เหอะๆ เจ้าเคยเห็นบุรุษงดงามหยาดเยิ้มเช่นนี้ด้วยหรือ”
“ก็นั่นนะสิ ข้าดูแล้วไม่น่าจะเป็นบุรุษ ถอดกางเกงดูสิจะได้รู้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี!”
พวกเขาหัวร่ออย่างลามก มือเท้าฉีกกระชากเสื้อและกางเกงของหยวนเจ๋อ
โจวอวี่กับเหล่าเจอกูอยู่ใกล้ที่สุด ย่อมเห็นสภาพเช่นนี้เต็มตา แต่โจวอวี่กำลังพันตูกับพวกทหารจนปลีกตัวไม่ได้ ได้แต่ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ ส่วนเหล่าเจอกูไม่มีเจตนาจะช่วยใครอยู่แล้ว คิดแต่จะสู้พลางหาทางหลบหนี
อีกด้านหนึ่ง ชิวเยี่ยไป๋ก็ตกอยู่ในความยุ่งยาก แทบจะมิได้สังเกตเรื่องที่เกิดขึ้นกับหยวนเจ๋อเลย
เหมยซูพลังฝีมือสู้ชิวเยี่ยไป๋ไม่ได้ เจ้าเยียนหนูที่สูงใหญ่ปานยักษ์ปักหลั่นก็มิใช่คู่ประมือของชิวเยี่ยไป๋
แต่ยามพวกเขาพัวพันกับชิวเยี่ยไป๋กลับพิสดารอย่างยิ่ง
เหมยซูนั่งบนบ่าของเยียนหนู เยียนหนูแบกเหมยซูไว้สองมือกุมดาบใหญ่กวัดแกว่งแล้วฟันฉับๆ เป็นวงกว้าง แม้จะมิใช่กระบวนท่ายอดเยี่ยมแต่อย่างใด แต่พละกำลังของเขามหาศาล ทุกดาบที่ฟันลงรุนแรงจนโลหะขาดหินกระจาย พื้นดินถูกเขาฟันจนเป็นรอยแตกร้าวหลายแห่ง พลังมหาศาลที่มีมาแต่กำเนิดบวกกับร่างที่สูงใหญ่เป็นแรงคุกคามอย่างหนัก ทำเอาชิวเยี่ยไป๋อดประหลาดใจมิได้
อันวิถีวิชาบู๊ แม้จะเน้นที่การจู่โจมด้วยกระบวนท่า แต่พลังที่รุนแรงสามารถทำลายกระบวนท่าทั้งหมด จอมพลังผู้น่ากลัวเช่นเยียนหนูผู้นี้ต่อให้ชิวเยี่ยไป๋อาศัยกำลังภายในชูกระบี่เข้าปะทะ ยังคงรู้สึกเจ็บที่ง่ามมือ
และต่อให้นางต้านทานพลังของเยียนหนูไว้ แต่กระบี่อ่อนในมือก็มิใช่อาวุธที่ใช้สำหรับปะทะตรงๆ และยิ่งมิใช่กระบี่วิเศษแต่อย่างใด ขณะที่นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าดาบใหญ่ในมือของเยียนหนูทำจากเหล็กเย็นพันปีที่หายาก ดาบเล่มนี้หนักอย่างน้อยร้อยชั่ง เยียนหนูกลับถือเหมือนถือกระบองอันหนึ่ง กวัดแกว่งจนแหวกอากาศอื้ออึง
ถ้ามีเพียงเยียนหนูคนเดียวแม้จะยุ่งยากอยู่บ้าง ชิวเยี่ยไป๋จะจัดการกับเจ้าตัวโตแต่ไร้สมองก็มิใช่เรื่องยากลำบาก
แต่ที่ยุ่งยากที่สุดยังคงเป็นเหมยซูที่นั่งบนบ่าเยียนหนู!
เขานั่งบนบ่าเยียนหนูราวกับเยียนหนูมีอีกหัวที่ชาญฉลาดมองเห็นรอบทิศ ฟังเสียงทุกทาง ลงมือสอดคล้องกับเยียนหนูอย่างเข้ากันจนชิวเยี่ยไป๋ตกใจ จังหวะที่ประสานกันได้เหมาะเจาะเช่นนี้มิใช่ฝึกกันในวันสองวันเด็ดขาด เหมยซูประสบความสำเร็จในการฝึกเยียนหนูจนเหมือนกับเขามีอีกร่างหนึ่ง
และเหมยซูนี่แหละที่คอยบงการเยียนหนูในการรับกระบวนท่า จนต่อสู้ได้เสมอกับชิวเยี่ยไป๋ที่ทะลวงด่านความเป็นตายและเป็นยอดฝีมือที่ประสบการณ์โชกโชน
ชิวเยี่ยไป๋คิดจะโจมตีเหมยซูให้หล่นลงมาก่อน แต่ยามอยู่ห่างกันเหมยซูมีเยียนหนูคอยปกป้อง ยามประชิดตัวเขาเองก็มีกระบี่สั้นคู่หนึ่งอยู่ในมือ และกระบี่สั้นคมกริบนั่นหั่นเหล็กได้ดุจดินโคลน ที่สำคัญที่สุดคือประกายสีทองที่คมดาบ ตอนแรกชิวเยี่ยไป๋มิรู้ความร้ายกาจของกระบี่สั้น จึงใช้กระบี่อ่อนในมือเข้าปะทะ ผลคือกระบี่อ่อนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับมิถ้วน
“น่าชังจริง!” ชิวเยี่ยไป๋เห็นเศษกระบี่อ่อนที่แตกละเอียด ก็นึกด่าในใจอย่างอดมิได้ เบี่ยงศีรษะออก หลบดาบใหญ่ที่เยียนหนูฟันลงมา
ด้วยพลังฝีมือของเยียนหนูย่อมมิอาจเร่งพลังดาบทำร้ายตนได้ แต่ดาบใหญ่ทำจากเหล็กเย็นพันปีบวกกับพลังที่ฟาดลงยังคงทำเอานางแสบแก้ม!
ชิวเยี่ยไป๋ลูบแก้มดูก็พบว่ามีรอยเลือดเล็กๆ แววตาจึงหม่นลง
เยียนหนูก็สวมเกราะไหมทองเช่นกัน ยามที่เขาต้านนางไม่ไหวก็พาลใช้ร่างกายต้านนางเสียเลย ส่วนเหมยซูที่มีร่างกายเหมือนคนทั่วไปย่อมทานพลังกระบี่ของนางมิได้เป็นธรรมดา แต่เจ้าทาสเยียนหนูที่ตัวโตเหมือนหมีควายกลับตั้งชื่อเหมือนสตรีนี้ แม้จะรับพลังกระบี่ของนาง แต่ด้วยกล้ามเนื้อทั้งตัวที่หนักหลายร้อยชั่ง เขาจึงยังคงทนทานไว้ได้
นางไม่เคยประสบกับวิธีการต่อสู้ในลักษณะนี้ จึงสู้กับพวกเหมยซูจนเสมอกันชั่วขณะ
แต่พลังฝีมือและประสบการณ์การต่อสู้ของนางเหนือกว่าพวกเหมยซูมิใช่น้อย ถ้าสู้กันหลายร้อยกระบวนท่า นางเชื่อว่าจะสามารถสยบเหมยซูกับเยียนหนูได้ แต่ก็เชื่อว่าพวกเหมยซูก็ตระหนักดีในจุดอ่อนของพวกเขาเอง ดังนั้นจึงพยายามพัวพันให้เรี่ยวแรงของนางทอนลง หรือไม่ก็คงมีกระบวนท่าอื่นตามหลัง!
เห็นการเคลื่อนไหวของชิวเยี่ยไป๋แล้วริมฝีปากของเหมยซูก็โค้งขึ้น หัวร่อกล่าวว่า “เย่ไป๋ เจ้าจะดึงดันไปทำไม ข้าบอกแล้วว่าข้ามิใช่ชาวยุทธจักร ย่อมไม่มีทางเคารพกฎเกณฑ์อะไรของยุทธจักร แต่ย่อมรู้จักทะนุถนอมบุปผาอยู่”
ขณะเหมยซูพูดจาแววตายังคงนุ่มนวล ถ้ามิใช่น้ำเสียงเย้ยหยันยังดูเหมือนกำลังวิตกแทนตัวนางเองด้วยซ้ำ
แต่ชิวเยี่ยไป๋รู้ดีว่าเขากำลังพูดอะไร แม้นางจะรู้ว่าเหมยซูต้องสังเกตพบศักดิ์ฐานะยุทธจักรของนางแน่ แต่นางชังที่สุดคือการข่มขู่นางซ้ำซากเช่นนี้
ดวงตาที่หรี่ลงของชิวเยี่ยไป๋เหมือนมีเพลิงโทสะวูบหนึ่ง “ใครจะตายใครจะอยู่ยังมิรู้ เผลอๆ คนที่น่าสงสารคือเหมยซู เจ้าป้อแป้อ่อนแอจนต้องนั่งบนบ่าคนอื่นถึงจะสู้รบกับข้าได้”
ชิวเยี่ยไป๋แค่นเสียงเหอะ แล้วจิกเท้าโผหลบราวแมลงปอแตะน้ำ เตะใส่ทหารนายหนึ่งด้วยวิชาเท้าไร้เงา ฟันฝ่ามือใส่และชิงดาบในมือ
ดาบกระบี่ของพวกทหารทางการล้วนจัดทำโดยราชสำนัก เดิมทีคุณภาพสู้ดาบกระบี่ของชาวยุทธจักรไม่ได้ ทหารที่เขาพามาคราวนี้ล้วนเป็นทหารกองหู่เวยของแม่ทัพจรยุทธ์ ดาบกระบี่ในมือยิ่งเทียบไม่ได้กับทหารรักษาชายแดน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้ปะทะกับดาบยาวเหล็กเย็นพันปีในมือของเยียนหนู
และเขากำลังคิดอยู่ว่าจะหยุดจากการพัวพันของอีกฝ่ายอย่างไร นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเปิดโอกาสให้รวดเร็วขนาดนี้
เขาพลันสะบัดมือ เยียนหนูแบกเขากระโดดขึ้น กระโดดออกจากวงของการต่อสู้ ขณะเดียวกันพวกทหารก็ฉวยโอกาสล้อมชิวเยี่ยไป๋ไว้อย่างแน่นหนา
ดวงตาเรียวยาวของเหมยซูหรี่ลงมองดูการชิงดาบกระบี่ของชิวเยี่ยไป๋ ท่าร่างอ่อนช้อยคล่องแคล่วเห็นพลิกไปมาในหมู่ผู้คนราวกับนกกระเรียนเหินบินและมังกรคะนองน้ำ ยกมือถึงที่ใดที่นั้นดาบร่วงลง ชายเสื้อสะบัดพลิ้วราวติดปีก กวาดเอาพวกทหารที่ฝีมือต่ำต้อยราบคาบลงอย่างรวดเร็ว
เขามิได้หวังว่าพวกกระสอบใส่หญ้าพวกนี้จะกักชิวเยี่ยไป๋ไว้ได้อยู่แล้ว และรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองกับเยียนหนูก็แค่ได้เปรียบด้านอาวุธ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นของไม่มีชีวิต ชิวเยี่ยไป๋ต่างหากที่เปี่ยมด้วยไหวพริบและปัญญา อีกทั้งพลังฝีมือสูงล้ำและคลุกคลีในยุทธจักรอย่างโชกโชน นี่จึงเป็นตัวตัดสินการต่อสู้
ดังนั้นการพยายามถ่วงเวลารอให้พวกงี่เง่าทำให้ชิวเยี่ยไป๋พลังถดถอย ไม่ต้องรอให้หมดแรงก็ได้ ขอเพียงชิวเยี่ยไป๋เพลี่ยงพล้ำเล็กน้อย เขาก็จะสามารถจับตัวเจ้าคนงามที่เหมือนนกเหยี่ยวไห่ตงชิง[1]สีขาวตัวนี้
ใช่แล้ว นกเหยี่ยวไห่ตงชิง ครั้งแรกที่ประมือกับชิวเยี่ยไป๋ในบ้านตระกูลเหมย เขาก็มีความรู้สึกเช่นนี้ บัดนี้เห็นท่วงท่าโดดเด่นรุนแรงที่นางแสดงออกยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า…ปลาเกล็ดทองหรือจะกักไว้ในบ่อได้!
นกเหยี่ยวไห่ตงชิงเป็นสัตว์ปีกซึ่งคนที่ผู้ใหญ่ในแดนหมอกฝนของเจียงหนานไม่เคยพบมาก่อน จนกระทั่งฤดูหนาวปีหนึ่งเขาติดตามคารวานพ่อค้าขึ้นเมืองหลวง จึงได้มีโอกาสเห็นนกชนิดนี้ในสวนเหยี่ยวของวังหลวง…ซึ่งเป็นนกศักดิ์สิทธิ์โบราณที่หัวหน้าเผ่าซู่เซิ่นทางเหนือสุดเคารพบูชา