จ้าวเหวินจื้อในตอนนี้ก็กำลังคุยเรื่องนี้กับจ้าวเหวินเทาอยู่เหมือนกัน

“นายอยากมาสร้างบ้านที่ตงเหลียง?” จ้าวเหวินเทามองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “ทะเลาะกันเหรอ?”

จ้าวเหวินจื้อส่ายหน้า เขายิ้มด้วยความขมขื่น “ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่เรื่องนี้ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องแยกบ้านอยู่ดี”

จ้าวเหวินเทาไม่ได้ไล่ถามเรื่องราวทั้งหมด และไม่ได้มีความจำเป็นด้วย ต้นไม้เมื่อเติบใหญ่ก็ต้องแตกกิ่งก้านสาขา นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น

เขากล่าว “ฉันเห็นด้วยที่จะแยกบ้านมาใช้ชีวิตเอง ไม่ว่าจะทะเลาะกันหรือไม่ได้ทะเลาะกัน นี่ก็เหมือนกับการกินข้าวหม้อรวมนั่นแหละ อยู่ด้วยกันไม่ได้น่าสนใจอะไร ใช้ชีวิตเองยังจะดีกว่า เป็นอิสระแล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรด้วย”

จ้าวเหวินจื้อเข้าใจนิสัยของจ้าวเหวินเทา คิดอยากจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น เขาไม่เคยสนใจสายตาของคนอื่นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ใช้ชีวิตได้แบบใจถึงมาก

อันที่จริงเขารู้สึกอิจฉาจ้าวเหวินเทามาก ดูสิว่าใครแยกบ้านไปแล้วจะมั่นใจได้ขนาดนี้?

ก็มีแต่จ้าวเหวินเทานี่แหละ บอกว่าจะแยกบ้านก็แยกเลย บอกว่าจะย้ายออกมาก็ย้ายเลย ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของคนในหมู่บ้านที่เอามานินทาว่าเขาเป็นลูกเนรคุณ เขาไม่ได้มีความกล้าหาญแบบนี้ และมักจะห่วงหน้าพะวงหลังอยู่เสมอ

แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ใครจะกล้าพูดว่าจ้าวเหวินเทาเนรคุณ? เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นเย่ฉูฉู่เอาของดี ๆ ไปให้คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวรับประทาน

นอกจากนี้คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวก็ขึ้นชื่อเรื่องปกป้องลูก ๆ ขณะที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะได้รับของจากจ้าวเหวินเทาหรือเย่ฉูฉู่ หรือว่าจะไม่ได้รับของอะไรจากลูกชายและลูกสะใภ้คนอื่น ๆ พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่เคยออกไปป่าวประกาศกับคนข้างนอกว่าลูกชายลูกสาวเป็นคนเนรคุณ มากสุดก็แค่บ่นเรื่องที่ใช้ชีวิตแบบขาดแคลนเงิน

“ที่สำคัญคือกลัวว่าพ่อกับแม่จะรู้สึกไม่ดีนี่แหละ” จ้าวเหวินจื้อกล่าว “คนอื่นน่ะไม่เป็นไรหรอก”

พ่อและแม่ของเขาแตกต่างจากคุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าว พ่อของเขายังดี แต่แม่ของเขานี่สิ คิดแต่ว่าจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ แบบนี้ถึงจะมีชีวิตที่ดี

“มีอะไรให้รู้สึกไม่ดี นายเองก็ไม่ได้วิ่งออกไปแตะขอบฟ้าสักหน่อย แต่ก็ยังอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน มีอะไรแค่เรียกก็ไปหาได้แล้ว ไม่เห็นต้องไปเบียดอยู่ด้วยกันเพื่อให้ดูเป็นลูกกตัญญูเลย” จ้าวเหวินเทาคีบกับข้าวใส่ปาก พลางกล่าว “ถ้านายมาอยู่เป็นเพื่อนฉัน พวกเราก็จะได้มาร่วมมือกันไง ฉันวางแผนไว้ว่าจะซื้อที่อีกหน่อย ไว้ปลูกไม้ผล แล้วก็ย้ายกระต่ายออกไปด้วย ตอนนี้กระต่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ฤดูหนาวยังดีหน่อย แต่ฤดูร้อนกลิ่นจะแรงมาก ถ้ายังเลี้ยงในบ้านคงได้เป็นการรมควันภรรยาฉันแน่”

จ้าวเหวินจื้อรู้สึกสนใจขึ้นมา เอ่ยถามว่า “นายจะปลูกไม้ผลเหรอ? ผลไม้ได้ราคาขนาดนั้น?”

จ้าวเหวินเทายิ้ม “ตอนนี้ขายอะไรก็ได้ราคาทั้งนั้นแหละ ทำก่อนถึงจะดี ว่าไง อยากมาทำด้วยกันไหม?”

จ้าวเหวินจื้อก็ยิ้มตอบ “ถึงแม้ว่าในหมู่บ้านจะพูดมาตลอดว่านายเป็นคนฟุ่มเฟือย แต่ฉันรู้ว่านายเป็นคนที่มีอนาคตที่สุดในหมู่บ้านแล้ว!”

จ้าวเหวินเทาพูดเคล้ารอยยิ้ม “คนที่มีอนาคตมากที่สุดไม่ใช่ฉันแน่ ๆ แต่คนที่เป็นหนี้มากที่สุดคือฉันแน่นอน”

จ้าวเหวินจื้อหัวเราะ “นายยังคิดจะใช้เรื่องข้างนอกมาหลอกฉันอีก?”

“หลอกใครหลอกได้แต่หลอกนายไม่ได้น่ะสิ อดอยากจริง ๆ นะ” จ้าวเหวินเทากล่าว

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ด้านนอกก็เกิดเสียงดังขึ้น

“จ้าวเสี่ยวลิ่ว งานเลี้ยงฉลองครบหนึ่งเดือนของลูกชายนายทำไมถึงไม่มาบอกกันสักคำเลย?” เลขายกมือไพล่หลัง เดินเข้ามา ด้านหลังของเขายังมีฝ่ายบัญชีและหัวหน้าด้วย

“เลขา คุณมาแล้วเหรอ!” จ้าวเหวินเทารีบลุกขึ้นไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “คุณงานยุ่งขนาดนั้น เรื่องเล็ก ๆ ของผมจะกล้าไปรบกวนเลขาได้ยังไงกัน?”

ตัวคนหนึ่งเดินไปประจบประแจง ทำเอาฝ่ายบัญชีและหัวหน้าถึงกับกลอกตา ทักษะการประจบประแจงของเจ้าเด็กคนนี้เป็นความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบสุด ๆ

เลขาได้ยินกลับยิ้มหน้าบาน ทั้งยังด่าทั้งรอยยิ้มว่า “เจ้าเด็กบ้านี่คารมดีนะ”

เลขามาแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านและคุณพ่อจ้าวรวมถึงคนอื่น ๆ ก็เข้ามาทักทาย

เลขาโบกมือ “วันนี้ไม่ได้มีธุระอะไร ฉันก็เลยจะมาดื่มเหล้าในงานฉลองครบเดือนของลูกชายจ้าวเสี่ยวลิ่วสักหน่อย!”

ทุกคนต่างก็อดมองจ้าวเหวินเทาด้วยความอิจฉาไม่ได้ งานฉลองครบหนึ่งเดือนของลูกชาย เลขาถึงกับมาที่นี่ด้วยตัวเอง เจ้าหมอนี่ไปทำอะไรไว้เนี่ย?

คุณพ่อจ้าวและคุณพ่อเย่ก็รู้สึกได้หน้าเช่นกัน จึงให้จ้าวเหวินเทาต้อนรับให้ดี

จ้าวเหวินเทาเดินนำเลขามาที่โต๊ะ ทั้งยังนั่งคุยเป็นเพื่อนด้วยตัวเอง “เลขา คุณมาที่นี่มีอะไรแนะนำไหมครับ?”

เลขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายอยากให้ติดตั้งไฟฟ้าไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ก็ลงเสาไฟแล้ว ต้องเดินสายไฟแล้วก็ซื้อหลอดไฟด้วย ของพวกนี้ต้องออกเงินเองนะ!”

จ้าวเหวินเทาถึงกับตบหน้าผาก เขายุ่งจนลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย

“เลขาพูดมาเลย ต้องจ่ายเท่าไร?” จ้าวเหวินเทาเอ่ยถาม

เลขามองบ้านของจ้าวเหวินเทาพลางกล่าว “บ้านของนายจะติดไฟทุกห้องหรือว่าจะติดไว้แค่ห้องเดียวล่ะ?”

“ก็ต้องติดทุกห้องอยู่แล้ว” จ้าวเหวินเทากล่าว “ประตูนอกบ้านก็ต้องติดไว้หนึ่งจุดด้วย ตอนค่ำเวลาเข้าห้องน้ำจะได้สว่าง”

เยี่ยมเลย จ้าวเสี่ยวลิ่วคนนี้เริ่มฟุ่มเฟือยอีกแล้ว!

มีคนกำลังหูผึ่งตั้งใจฟังพวกเขาที่กำลังคุยกัน

เลขากลอกตาใส่เขา “นายอย่าคิดแค่ว่าติดหลอดไฟแล้วจ่ายเงิน หลอดไฟถ้าสว่างก็ต้องใช้เงินนะ แถมยังต้องจ่ายตามตัวอักษรไฟฟ้าด้วยนะ!”

ความหมายของตัวอักษรไฟฟ้าก็คือจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ เลขาไม่เคยใช้ไฟฟ้ามาก่อน จึงไม่เข้าใจว่าควรจะพูดอย่างไร จึงพูดไปตามความเข้าใจของตัวเอง

“ผมรู้” จ้าวเหวินเทาย่อมทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาวิ่งออกไปข้างนอกนานขนาดนี้ เรื่องนี้ถ้ายังไม่รู้อีกก็โง่เต็มที

“งั้นก็ดี นายก็นับดูหน่อยนะ ต้องการสายไฟเท่าไหร่ หลอดไฟกี่ดวง แล้วก็ต้องซื้อมิเตอร์ไฟฟ้าด้วยนะ ถึงเวลานั้นคนของสำนักงานการไฟฟ้าจะมาติดตั้งให้นาย” เลขาพูดจบ ก็หันไปพูดกับคนอื่น ๆ “พวกเธอฟังนะ เตรียมตัวให้พร้อม สายไฟ หลอดไฟ มิเตอร์ไฟฟ้า อย่าให้ถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่มาแล้วพวกเธอไม่มีอะไรสักอย่าง ปล่อยให้พวกเขาต้องรอล่ะ!”

ทุกคนต่างก็ถกประเด็นนี้ขึ้นมา

“เลขา จะติดตั้งไฟเมื่อไรล่ะครับ?” จ้าวเหวินเทาถาม

“อีกไม่กี่วันก็เดินสายไฟเข้ามาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหม้อแปลงไฟฟ้าคงติดตั้งนานแล้ว” อันที่จริงเลขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่จะให้เขาพูดว่าไม่เข้าใจก็ไม่ได้

หัวหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนจำไว้นะ หลอดไฟนั่นมีทั้งเล็กและใหญ่ ขนาดใหญ่ก็จะสว่างหน่อย แต่ก็เปลืองไฟเหมือนกัน ส่วนขนาดเล็กอาจจะไม่ค่อยสว่าง แต่ประหยัดไฟ ถึงเวลานั้นตอนที่พวกเธอซื้อก็ดูให้ดี ๆ แล้วกัน”

“หา ของแบบนี้มีขนาดด้วยเหรอ?”

“มีสิ หลอดไฟ ฉันรู้ เห็นบอกว่าสิบห้าองศาคือขนาดเล็กที่สุด”

“ไม่ใช่ ฉันได้ยินมาว่าสิบองศาต่างหากล่ะที่เล็กที่สุด”

“แล้วจะดูยังไง? อย่าให้คนอื่นมาหลอกเราได้นะ”

ทุกคนต่างก็พูดคุยกัน เลขาได้ยินก็ถอนหายใจ “เฮ้อ จริง ๆ เลย ไม่รู้อะไรสักอย่าง”

ฝ่ายบัญชี “แล้วก็ หลอดไฟนั่นแตกง่ายมากนะ ตอนที่พวกเธอซื้อก็ต้องระวังหน่อย แตกง่ายกว่ากระจกเสียอีก”

“หา เปราะบางขนาดนั้น จะติดไว้ทำอะไรเนี่ย”

“แถมยังต้องจ่ายเงินอีก จะติดตั้งไฟไปเพื่ออะไร กินก็ไม่ได้ดื่มก็ไม่ได้”

มีคนกระซิบ

เลขาได้ยินก็รู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมา “ไม่อยากติดตั้งไฟก็ไม่ต้องติดตั้ง ใครบังคับเธอไม่ทราบ พวกเธออยากจะคลำอยู่ในความมืดก็ไม่มีใครว่าหรอก ทำอย่างกับฉันไปขอร้องให้พวกเธอติดงั้นแหละ”

แม้ว่าการติดตั้งไฟฟ้าจะเป็นสิ่งที่จ้าวเหวินเทาเสนอความคิดขึ้นมา แต่ตอนนี้เลขายิ่งรู้สึกว่าการติดตั้งไฟเป็นเรื่องที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

โดยเฉพาะเลขาจากหมู่บ้านรอบ ๆ ก็มาขอให้เขาช่วยสอนให้ เขาเองก็ได้หน้าอย่างมากเลย

คนนั้นถึงกับไม่พูดอะไรไปชั่วขณะเลยด้วย

เลขาและอีกสองคนนั่งดื่มเหล้าไปสามสี่จอก พูดคุยครู่หนึ่งก็กลับไป

ทุกคนรับประทานและดื่มจนอิ่มหนำก็ทยอยกลับไป คุณแม่จ้าวและคุณแม่เย่รอเก็บกวาดและล้างทำความสะอาด ส่วนจ้าวเหวินเทาก็เริ่มวัดความยาวของสายไฟที่จะใช้ ไฉไฉก็ปีนขึ้นปีนลงเพื่อช่วย ทั้งยังดูเหมือนว่ากำลังสนุกสนานเลยด้วย

“ภรรยา คุณว่าพวกเราควรติดตั้งหลอดไฟกี่องศาดี?” จ้าวเหวินเทาถาม

เฮ่อซงจือและพี่สะใภ้สี่จ้าวอุ้มลูกกลับไปแล้ว เสี่ยวไป๋หยางยังนอนหลับอยู่ เย่ฉูฉู่กำลังกวาดบ้าน เมื่อได้ยินจึงพูดว่า “แล้วแต่คุณเลย หรือไม่ก็ถามพี่สาวใหญ่กับพี่สาวห้าดูก็ได้”

พี่สาวห้าจ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยี่สิบห้าองศาก็สว่างมากเลยนะ อันที่จริงสิบห้าองศาก็ไม่เลว”

พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว “ใช้สิบห้าองศาเถอะ แบบนั้นช่วยประหยัดไฟได้ เธอใช้ไฟเยอะ ปริมาณไฟที่ใช้ในหนึ่งเดือนคงไม่ใช่น้อย ๆ!”

คุณแม่จ้าวกล่าว “นั่นสิ นี่ยังมีมิเตอร์ไฟฟ้า สายไฟฟ้าอีก ใช้เงินเยอะมาก ต้องใช้เงินเท่าไหร่? อะไรประหยัดได้ก็ประหยัดเถอะ”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ขนาดเลขามาร่วมงานเลี้ยงด้วยแบบนี้ เหวินเทานี่ไม่ธรรมดาเลย

บ้านของเหวินเทาใกล้จะสว่างเหนือบ้านคนอื่นแล้วค่ะ

ไหหม่า(海馬)