พลันแว่วเสียงลมดุเดือด ไกลโพ้นขนาดนั้นยังคงแผดเสียงดังก้อง คนที่สกัดกั้นข้างหน้าเปล่งเสียงร้องอุทานด้วยความหวาดกลัว
“พวกเขายิงหน้าไม้ยักษ์แล้ว!”
“พวกเขาไม่ห่วงพวกเรา!”
“จะยิงพวกเราจนสิ้นชีพก่อน!”
“พวกเขาคิดจะใช้ชีวิตของพวกเราเป็นเบาะรอง…”
คนนับไม่ถ้วนเบียดเสียดเหยียบย่ำ หวังจะหนีไป ทว่าถูกกองทัพที่ทำตามกฎข้างหลังสุดไล่ให้ต้องไปข้างหน้า
นางยิ้มเยาะเล็กน้อย จั้นซินโหดเ**้ยมไร้เมตตาเพียงนี้ เพื่อจัดการพวกนาง ยอมกระทั่งสกัดกั้นด้วยคลื่นมนุษย์ จากนั้นยิงหน้าไม้ยักษ์ข้างหลังคลื่นมนุษย์
เขายอมให้องครักษ์มากขนาดนั้นของตนเองร่วมสิ้นชีพ
เสียงลมกระแทกกระทั้น บดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา เศษหญ้าเหินว่อนทั่วท้องฟ้าดุจฝนโปรยปราย แลไม่รู้ว่ากระบี่ของผู้ใดถูกเสียงลมกระตุ้น ความเร็วพลันเพิ่มขึ้น มุ่งสู่หน้าอกของนาง
นางไม่ร้องสักเสียงเดียว ไม่คิดจะเปล่งเสียงกรีดร้องกับเสียงร่ำไห้เลย หากนางไม่ทำให้เหยียลี่ว์ฉีเสียสมาธิ เขาอาจหนีไปได้
ทว่าเขาพลันหันหลัง ขณะหันมานั้นหอกเล่มหนึ่งแทงเข้าหัวไหล่เขา เขาไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ใช้กระบี่พุ่งขวาง ปัดกระบี่ที่ใกล้จะแทงเข้าหน้าอกนางออกไป
จากนั้นเขาโซเซ ค้ำกระบี่ยืนนิ่ง
รอบกายเป็นซากศพ สูงดุจกำแพง กระโจนขึ้นไปจะเผชิญกับหน้าไม้ลูกศรมืดฟ้ามัวดิน ส่วนเขาหมดแรงแล้ว
ยามนี้เสียงลมมาเยือน
หน้าไม้ยักษ์ลูกศรคลั่ง ดอกเดียวยิงทะลุร่างได้หลายสิบคน พอจะทำลายอวัยวะภายในสิบคนจนแหลกละเอียดโดยพลัน
ครู่สุดท้ายเขาเพียงหันหลังกอดนางไว้
ครู่สุดท้ายนางเพียงยกมือกอดเขาไว้
พริบตาหนึ่งนั้นนางคิดว่าจบสิ้นจนได้ หวังเหลือเกินว่าเจ้าจะรอดชีวิตไป บอกเขาว่าข้ารักเขา…
พริบตาหนึ่งนั้นเขาคิดว่าจบสิ้นจนได้ เสียดายว่าไม่อาจให้ท่านรอดชีวิตไป บอกนางว่า…
ลูกธนูหนักใกล้เข้ามา
ไกลออกไปพลันมีเสียงผิดปกติ
ทั้งที่เสียงหนึ่งนั้นไกลโพ้น ทว่าเขาพลันฟื้นคืนสติ เกิดเรี่ยวแรงไม่มีสิ้นสุดจากความว่างเปล่า มือสะบัดเพียงครั้งซากศพข้างหน้าทะยานขึ้น ร่วงซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า
เลือดเนื้อเหินว่อนทั่วท้องฟ้าดุจสายฝน
หัวลูกศรสีเขียวคล้ำขนาดใหญ่เท่ากำปั้นดอกหนึ่งลอยวนออกจากศพสุดท้าย เรี่ยวแรงที่เหลือยังไม่สิ้น กะพริบวูบดุจดวงตาปีศาจ สุดท้ายเข้าใกล้เขา
เขาทันได้เพียงกอดพี่สาวแน่นออกแรงแนบพื้นดิน เตรียมพร้อมถูกลูกธนูหนักกรีดผิวหนังหนึ่งชั้นบนหลัง
ทว่าพลันมีเงาดำกะพริบวูบ ร่างกระโจนกลางอากาศดุจมัจฉาแหวกว่าย ใช้สองมือคว้าหางลูกศรไว้
แรงเหวี่ยงของลูกธนูหนักขนาดใหญ่หวังหลุดพ้นมือนั้น พุ่งมาข้างหน้าทีละชุ่น คนนั้นยอมสิ้นใจไม่ยอมปล่อยมือ ฝ่ามือถูกเสียดสีจนเห็นเลือดเนื้อเลือนราง สุดท้ายขัดขวางอำนาจลูกศรไว้
เขาร่วงพื้นดัง พลั่ก โยนลูกศรทิ้งไปโดยพลัน กลิ้งเพียงครั้งลุกขึ้นกึ่งคุกเข่า เข่าข้างหนึ่งสัมผัสพื้น
“คำนับท่าน! ขอท่านได้โปรดอภัยที่เหล่าข้าน้อยช่วยเหลือชักช้า!”
เหยียลี่ว์ฉีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา หว่างคิ้วเขาโลหิตไหล หัวไหล่ถูกหอกปัก ไอดุร้ายเพิ่มขึ้นสามส่วน
คนนั้นก้มหน้า ไม่กล้าเงยขึ้นแม้แต่น้อย
เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้สนใจเขา ลุกขึ้นประคองเหยียลี่ว์สวินหรู สองคนพี่น้องยังคงมีท่าทางเฉกเช่นปกติ คล้ายเมื่อครู่ไม่ได้ผ่านช่วงเวลาความเป็นความตาย
ข้างหน้าปรากฏคนชุดดำจำนวนมากกำลังโจมตีผู้ล้อมโจมตีเขาเมื่อครู่ สนามรบค่อยๆ เปลี่ยนแปลง เขาเห็นรูปร่างอาภรณ์ รู้ว่าคนของตนเองมาถึงแล้ว
“เซียนอวี๋ชิ่ง เหตุใดเพิ่งมาเอาป่านนี้?”
บุรุษนามเซียนอวี๋ชิ่งที่คุกเข่าอยู่สะท้านเล็กน้อย รีบเอ่ยว่า “หลังเหล่าข้าน้อยสืบเสาะมาถึงแคว้นเซียง พลันสูญเสียร่องรอยของท่านอย่างน่าพิศวง ค้นหาหลายแห่งถึงค้นพบร่องรอยของท่าน…”
เหยียลี่ว์ฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ซักถาม เหล่าคนชุดดำยังขยับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปกป้องเขาไว้ตรงกลาง พอยอดฝีมือกลุ่มนี้เข้าร่วม การฝ่าวงล้อมจึงไม่มีอุปสรรคใดอีกแล้ว ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เหยียลี่ว์ฉีกับเหยียลี่ว์สวินหรูพักผ่อนพันแผลอยู่ข้างล่างเชิงเขาแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากทุ่งหวงเยี่ยห้าลี้แล้ว
เหยียลี่ว์ฉีสอบถามลูกน้องอีกครั้งหนึ่ง ทว่าไม่ได้ยินข่าวที่มีประโยชน์ใดตั้งแต่ต้นจนจบ สัญลักษณ์ที่เขาติดต่อกับลูกน้องเป็นสัญลักษณ์เฉพาะที่คนในพรรคนี้ของเขาเท่านั้นที่เข้าใจ บัดนี้ดูท่าทางถูกผู้อื่นล่วงรู้แล้ว
นี่เป็นเรื่องร้ายแรงยิ่งนัก หมายความว่านับแต่นี้พรรคของเขาอยู่ท่ามกลางอันตราย อาจถูกผู้อื่นวางแผนทำลายได้ทุกเวลา
ทว่าตามรายงานของเซียนอวี๋ชิ่ง ตำแหน่งพรรคทุกแห่งไม่ได้เกิดความผิดปกติแม้แต่น้อย
เหยียลี่ว์ฉีมองดูลูกน้องที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีคนนี้ของตนเอง นี่คือสหายติดตามที่เขารับไว้ตั้งแต่เยาว์วัย หลายปีที่ผ่านมาเขาเป็นราชครูไร้อำนาจผู้นั้นที่ตี้เกอ ความคิดครึ่งหนึ่งใช้รับมือตระกูลกับกงอิ้น ความคิดอีกครึ่งหนึ่งใช้จัดการอำนาจที่ซ่อนอยู่ไกลโพ้นนั้นของตนเอง เผื่อว่าวันหนึ่งวันใดแตกหักกับตระกูล หลังพ้นจากตี้เกอแล้ว สวินหรูจะได้มีที่พักพิง
หลายปีมานี้ เรื่องราวส่วนใหญ่ในพรรคมอบให้เซียนอวี๋ชิ่ง บางครั้งบัดนี้ แม้แต่ลูกน้องร่วมเป็นร่วมตายคนนี้ยังเชื่อใจไม่ได้แล้วหรือ?
เซียนอวี๋ชิ่งก้มหน้าอย่างเคารพนบนอบตั้งแต่ต้นจนจบ ดูท่าทางไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะเล็กน้อย เบนสายตาออก เอ่ยกับเหยียลี่ว์สวินหรูว่า “จั้นซินทําเกินไปแล้ว หากให้เขารบกวนไม่ยอมเลิกรา ไม่สู้จัดการเสียที่นี่ดีกว่า”
“ดีแล้ว” เหยียลี่ว์สวินหรูเห็นด้วย เอ่ยว่า “ปิดทางถอยเพื่อคว้าชัยชนะ อีกทั้งยามนี้จั้นซินคงไม่ยอมถอดใจ ค้นหาเจ้าทุกหนทุกแห่ง ไม่สู้เจ้าไปซ่อนที่รังของเขา เอ่ยกันว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด เขาคงนึกไม่ถึงเป็นแน่”
เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม โยนหินให้กระดอนบนผิวน้ำ ครุ่นคิดวาจาที่ตนเองยังเอ่ยไม่สิ้นในพริบตาหนึ่งนั้น
บอกนาง…
บอกนางว่าอะไร?
ความคิดยามใกล้ตายเป็นจริงที่สุด ทว่านอกจากครู่หนึ่งนั้น เขาไม่สนใจไยดีว่านางรู้หรือไม่
ก้อนหินเฉียดผิวน้ำเวียนวนลอยออกไป กระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นอิ่มเอิบลูกหนึ่ง แผ่ขยายเวียนว่ายไร้สิ้นสุด
คล้ายจิตใจที่ถูกก่อกวนแล้วไม่อาจสงบนิ่งได้อีกเหล่านั้น
เขาพลันได้ยินสวินหรูเอ่ยเรื่อยเฉื่อยอยู่ข้างกายเขาว่า “ครู่นั้นก่อนหน้านี้ ข้าเสียใจว่าเจ้ารอดชีวิตไปไม่ได้ พวกเราสิ้นชีพกันหมดแล้ว ผู้ใดจะไปบอกเขาว่าข้าคิดถึงเขาเล่า…”
มือของเหยียลี่ว์ฉีชะงัก เอียงศีรษะยิ้มแย้ม
“ท่านพี่”
“บัดนี้ท่านเป็นอิสระแล้ว หากท่านคิดถึงคนผู้นั้นจริง ข้าจะส่งท่านไปหาเขา ข้าไม่เชื่อว่าท่านพี่สวินหรูของข้า สังหารคนได้ กระทำเรื่องชั่วร้ายได้ ทนกับความใจดำของตระกูลเหยียลี่ว์ได้ ทว่าจัดการบุรุษผู้หนึ่งไม่ได้”
“บุรุษ…” นางหัวเราะเหอะๆ เสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าเห็นเขาปราดแรก เกือบนึกว่าเขาเป็นสตรี”
เขาหัวเราะเล็กน้อย รู้สึกว่าบางครั้งสายตาของพี่สาวประหลาดนัก
สวินหรูยามเยาว์วัยเคยหนีออกจากจวนครั้งหนึ่ง ได้พบเจอบุรษผู้หนึ่ง นับแต่นั้นความรักสลักฝังลึก ไม่ว่ากี่ปีรักเดียวไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทว่าผ่านมานานหลายปี นางปิดปากเงียบไม่ยอมบอกว่าเขาคือผู้ใด คนนั้นซ่อนอยู่ท่ามกลางหมอกควันตลอดเวลา เพียงดำรงอยู่กลางนัยน์ตามัวสลัวของนาง
อาจด้วยเพราะหลังผ่านความเป็นความตายอารมณ์หวั่นไหว นางพลันสนใจจะเอ่ยถึงเขา
“ไม่ต้องส่งข้าไปหาเขา ชาตินี้ข้ากับเขาไร้วาสนา” นางเอ่ยว่า “เขาคือคนบนสวรรค์ คนนอกแดนมนุษย์ เข้าใกล้ธุลีทั่วร่างโลหิตทั่วร่างของเจ้ากับข้าไม่ได้หรอก”
เขาเพียงหัวเราะเล็กน้อย
“หากเขารังเกียจท่าน ข้าจะกระทืบเขาให้จมฝุ่นธุลี เช่นนั้นก็มิใช่สกปรกเช่นเดียวกันแล้วหรอกกหรือ?”
เหยียลี่ว์สวินหรูหัวเราะฮ่าๆ
“สมกับเป็นน้องชายข้า ควรบ้าระห่ำเช่นนี้!” นางพลันลุกขึ้น หันหน้าหาทางเหนือ กวัดแกว่งกำปั้นรุนแรง
“ตาเฒ่า รอข้านะ! สักวันข้าจะยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า!”
“เจ้ากล้าไม่เอาข้า ข้าจะนอนกับลูกศิษย์ล้ำค่าฝูงนั้นของเจ้า อวดความรักต่อหน้าเจ้าทุกวัน ยั่วให้เจ้าโมโหสิ้นชีพ!”
เหยียลี่ว์ฉีพยักหน้าเห็นด้วย จ้องมองน้ำในแม่น้ำที่กระเพื่อมเล็กน้อย
ท่ามกลางสายน้ำ คล้ายปรากฏใบหน้างดงามหยาดเยิ้มดุจบุปผาเลือนราง ยิ้มแย้มรำไร
เขายื่นนิ้วออกไปกวนน้ำแผ่วเบา น้ำในแม่น้ำกระเพื่อม ใบหน้านั้นกระจายแล้วรวมกันอีกครั้ง หน้าตาไม่เปลี่ยนแปลง คล้ายความรู้สึกเหล่านั้นที่พักค้างกลางหัวใจ สะบัดออกไปไม่ได้
จิ่งเหิงปัว
ข้ายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าตั้งนานแล้ว
ทว่ายามใดเล่า เจ้าจะมองเห็นข้า?
…