ตอนที่ 31 - 3 อวดความรักกับแย่งคนรัก

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

เงาร่างของเหยียลี่ว์ฉีหายไปจากริมฝั่งแม่น้ำ เขาไปหาเรื่องจั้นซิน จั้นซินจะได้ไม่มีกำลังวังชาหาเรื่องเขา

 

 

เซียนอวี๋ชิ่งจัดหาที่พักให้เหยียลี่ว์สวินหรูเสร็จสิ้น เหลียวมองรอบด้านไร้คน เดินเข้าไปในป่าน้อยแห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำเพียงลำพัง

 

 

บางคนรอเขาอยู่ในป่าไม้ สวมหมวกสวมผ้าคลุมทั่วร่าง มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตา

 

 

เซียนอวี๋ชิ่งยืนอยู่ข้างหลังคนนี้ สีหน้าซับซ้อน

 

 

และด้วยเพราะคนตรงหน้าผู้นี้ เขาสูญเสียร่องรอยของเจ้านายระหว่างทางตามหาเจ้านาย จนกระทั่งคนนี้ติดต่อเขา เขาถึงรู้ว่าสัญลักษณ์ที่เจ้านายทิ้งไว้ตลอดทางถูกคนนี้ไล่ล่าทำลายแล้ว

 

 

ไม่เพียงเท่านี้ คนนี้ยังรู้ความลับบางส่วนของแหล่งอำนาจเจ้านายด้วย ยามคนนี้ใช้น้ำเสียงเฉื่อยเนือยเอ่ยถึงตำแหน่งพรรคของพวกเขา การกระจายกำลัง วาจาลับสัญญาณลับ การแบ่งกองกำลัง เขาดุจถูกอสนีบาตฟาดเปรี้ยง

 

 

อำนาจของเจ้านายหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ท่ามกลางทุกกลุ่มอำนาจท้องถิ่นที่ซับซ้อนดาษดื่นมาตลอด หลายปีมานี้ อำนาจของเจ้านายเติบโตด้วยความลึกลับและความมั่นคง ทำให้กลุ่มอำนาจท้องถิ่นไม่กล้าหมิ่นแคลน เอ่ยได้ว่าความลึกลับคือเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุดของอำนาจเจ้านาย บัดนี้ความลึกลับชั้นนี้ถูกกระชากออกดุจเสื้อคลุม เช่นนี้เท่ากับโค่นล้มเสาหลักที่ทั้งพรรคพึ่งพาอาศัย สิ่งที่ต้องเผชิญคือภัยพิบัติแห่งการทำลายล้าง

 

 

ชัดเจนยิ่งนัก อีกฝ่ายไม่เป็นมิตร ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกุมความลับสำคัญเยี่ยงนี้ของพรรค ก้าวต่อไปจักเป็นการกวาดล้างหรือกลืนกิน

 

 

ยามนั้นเขานึกว่าสิ้นชีพแน่แล้ว รอคอยความตายพลางคิดว่าจะส่งข่าวด่วนนี้ให้ท่านอย่างไร ทว่าสุดท้ายอีกฝ่ายเสนอเงื่อนไขที่เขานึกไม่ถึงเลยด้วยซ้ำให้เขา…

 

 

“พบกับเหยียลี่ว์ฉีแล้วหรือ” คนใต้ผ้าคลุมถาม

 

 

“ใช่” เขาตอบอย่างขมขื่น

 

 

“เขาสงสัยหรือไม่”

 

 

“น่าจะ…ไม่สงสัยกระมัง” เสียงเขาขมขื่นยิ่งกว่าเดิม

 

 

คนนั้นหัวเราะฮ่าๆ น้ำเสียงสดใส กลิ่นอายกำเริบเสิบสานรำไร

 

 

“ท่าทางซังกะตายเช่นนี้ของเจ้า คงรู้สึกว่าทรยศเขาแล้วกระมัง? แท้จริงแล้วเจ้าไม่ได้ทรยศเขาหรอก” ผ้าคลุมของคนนั้นสั่นไหว คล้ายยกมือขึ้นดื่มสุราอึกหนึ่ง กลิ่นสุราเจือจางอบอวลออกมา เอ่ยว่า “เจ้าดูสิ พรรคของพวกเจ้ายังอยู่ คนยังอยู่ อำนาจยังอยู่ นายท่านของพวกเจ้าได้รับการช่วยเหลือแล้วด้วย แม้พวกเราค้นพบข้อมูลทั้งหมดในพรรคของพวกเจ้า แต่ไม่ได้คิดทำร้ายพวกเจ้า พวกเราเพียงต้องการให้เจ้าให้ความร่วมมือกับพวกเราบางเวลาพอแล้ว”

 

 

“ขอเพียงไม่เป็นอันตรายต่อท่าน…” เขาเอ่ย

 

 

“ไม่เป็นอันตรายอยู่แล้ว” คนนั้นหัวเราะอีกครั้ง ดื่มสุราอึกหนึ่ง ท่าทางแสนสุขยิ่งนัก เอ่ยว่า “ไปเถิด ทำหน้าที่หัวหน้าผู้ดูแลพรรคลับของเจ้าให้ดี ให้เหยียลี่ว์ฉีเชื่อใจเจ้าตลอดเวลา จำไว้ อย่าลนลาน อย่าประหม่า มุ่งมั่นคิดว่าตัวเจ้าเองไม่ใช่คนทรยศ เช่นนี้จิ้งจอกเหยียลี่ว์ฉีตัวนี้ถึงจะไม่สงสัยเจ้า”

 

 

เซียนอวี๋ชิ่งก้มหน้า ครู่ใหญ่ พยักหน้าเล็กน้อย

 

 

“ได้”

 

 

เพื่อความอยู่รอดของพรรค เพื่ออนาคตของนายท่าน ยอมถอยอย่างไรย่อมได้ทั้งนั้น

 

 

“ฮ่าๆๆ ข้าเฝ้ารอคอยยิ่งนัก…” คนใต้ผ้าคลุมดื่มสุราอีกอึกหนึ่ง เอ่ยอย่างรื่นรมย์ว่า “ยุ่งยากเรื่องนี้ขอร้องเรื่องนั้นเพื่อนางทั้งวัน ข้าอยากตำหนินางเหลือเกิน ได้เจอเรื่องนี้ สมองนางต้องวุ่นวายแน่แท้ ฮ่าๆ ฮ่าๆ…”

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวมีท่าทางกระสับกระส่ายเล็กน้อย

 

 

นางยืมกล่องเครื่องสำอางของอินอู๋ซินมาแต่งหน้า จั้นซินที่เคยเห็นนางจะได้จำไม่ได้ พลางจ้องมองนอกประตูตลอดเวลา ซ้ำยังลูบคลำในอ้อมแขนบ่อยครั้ง ล้วงดอกไม้ไฟที่เจ็ดสังหารให้นางออกมาแล้วสอดกลับไป

 

 

ไม่รู้ทำไม มองเห็นกระบวนทัพของจั้นซินแล้ว นางเริ่มนึกถึงเหยียลี่ว์ฉี ทั้งที่เวลานี้จั้นซินกำลังคิดจัดการหลายคนที่นี่ แต่ยังระดมกำลังออกไป คงด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นสาเหตุที่ทำให้เขายิ่งต้องฆ่าให้ได้ นอกจากเหยียลี่ว์ฉียังมีใครอีก?

 

 

นางอยากแจ้งให้เจ็ดสังหารไปช่วยเหยียลี่ว์ฉี แต่เวลากระชั้นชิดเจ็ดสังหารจะรู้ว่าเหยียลี่ว์ฉีอยู่ไหนได้อย่างไร เห็นดอกไม้ไฟคงต้องพุ่งเข้าวังมา จากนั้นค่อยออกจากวังย้อนกลับไปช่วยคน จะช่วยทันได้อย่างไร

 

 

หรือนางจะไปเอง?

 

 

ความคิดนี้เพิ่งจะแวบผ่าน นางได้ยินเสียงของอิงไป๋

 

 

“จั้นซินออกไปคราวนี้ คงไม่ได้ผลลัพธ์สักอย่าง”

 

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้ว กล่าวว่า “เจ้าแน่ใจหรือ?”

 

 

“ข้าดูโหงวเฮ้งได้” อิงไป๋เอ่ยอย่างเรียบง่าย ดื่มสุราอึกหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองหน้าผากเขา ลำแสงเลือนรางหลายส่วน เห็นแค่นัยน์ตายิ้มแย้มลึกล้ำของเขา ตั้งแต่เจอเขาจวบจนตอนนี้ ลำแสงไม่เคยชัดเจนเลย ต่อให้ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน เรือนของอินอู๋ซินยังค่อนข้างมัวสลัว นางแค่รู้สึกได้ว่าเขามีสีหน้าสุขุม คล้ายเรื่องราวหลากหลายไม่วนเวียนอยู่ในใจ

 

 

ไม่รู้ทำไม มองเห็นท่าทางแบบนั้นของเขา นางรู้สึกสบายใจอย่างไม่มีสาเหตุ บนร่างอิงไป๋คล้ายมีพลังหนึ่งซึ่งทำให้จิตใจสงบ แม้แต่ลมหายใจยังสยบบรรยากาศได้

 

 

นางสบายใจแล้ว แต่อิงไป๋เริ่มถามแล้ว

 

 

“เห็นเจ้ากระสับกระส่าย” เขาเอ่ยว่า “คนที่ห่วงใยหรือ?”

 

 

น้ำเสียงนี้ยังคงเรียบง่าย แต่นางรู้สึกทันทีว่าขนลุกนิดหน่อยตรงหลังคอ นางเหลียวมองรอบด้าน ไม่มีลมนะ

 

 

เหยียลี่ว์ฉีนับเป็นคนที่ห่วงใยหรือไม่?

 

 

คงนับมั้ง

 

 

คุ้มครองตลอดทางออกจากตี้เกอ สองคนเคยร่วมเผชิญความเป็นความตาย มอบความห่วงใยให้เขาเล็กน้อยเป็นสิ่งสมควร

 

 

จิ่งเหิงปัวยอมรับว่าตัวเองเป็นคนแยกแยะชัดเจน ตอนเหยียลี่ว์ฉีเป็นศัตรูกับนาง ท่าทางกับการตอบโต้ของนางไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ตอนเหยียลี่ว์ฉีมีบุญคุณต่อนางจริง นางไม่ถือสาตอบแทนบ้างนิดหน่อย

 

 

“เอ่ยไม่ได้ว่ากระสับกระส่าย” นางยักไหล่ กล่าวว่า “ทว่าค่อนข้างเป็นห่วงความปลอดภัยของคนผู้หนึ่งจริงๆ”

 

 

อิงไป๋ดื่มสุราอีกอึกหนึ่ง รวดเร็วกว่าเดิม

 

 

“หวังว่าเขาจะไม่เป็นไร” นางพึมพำ

 

 

อิงไป๋กระดกกระบอกสุรา ชี้ไปที่นาง เอ่ยว่า “มีเจ้าคอยเป็นห่วง เขาคงไม่เป็นไร”

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกขนลุกครั้งแล้วครั้งเล่าตรงหลังคอ นางเหลียวมองรอบด้าน ไม่มีลมเช่นเดิม อิงไป๋เก็บกระบอกสุราเดินออกไปแล้ว

 

 

จากนั้นเผยซูประสบหายนะแล้ว

 

 

อิงไป๋เริ่มเอ่ยว่าบนร่างเขาเหม็นสาบ ห้ามไม่ให้เขาอยู่ในห้อง ไล่เขาออกไปข้างนอก

 

 

ยามกินข้าวอิงไป๋ยกอาหารที่อินอู๋ซินแบ่งไว้ให้เผยซูโดยเฉพาะให้เฟยเฟยกินก่อนแล้ว

 

 

เผยซูคว่ำโต๊ะ ผลลัพธ์น้ำแกงกระเซ็นเลอะหน้าอกเขาเอง อินอู๋ซินหาอาภรณ์มาเปลี่ยนให้เขา ยามเปลี่ยนอาภรณ์ม่านพลันถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง หน้าอกเทาที่ยังไม่ฟื้นคืนของเผยซูผุดเผยกลางแววตาอินอู๋ซิน

 

 

เผยซูเดือดดาลหวังตัดสินชี้เป็นชี้ตายกับอิงไป๋ ทว่าถูกอินอู๋ซินที่มีน้ำตาคลอเบ้ารั้งไว้ รื้อค้นทุกแห่งหายาที่ช่วยเขาขับพิษได้ ซ้ำยังสิ้นเปลืองกำลังถอนพิษให้เขา เผยซูได้แต่เริ่มปลอบโยนโฉมสะคราญที่กลัดกลุ้มกังวล ปลอบโยนจนหน้าดำคร่ำเครียด เส้นโลหิตบนหน้าผากเต้นตุบๆ

 

 

สับสนอลหม่านทั้งวัน จิ่งเหิงปัวยกขาไขว่ห้างรับชมความสนุกสนาน แทะเม็ดแตงพลางคุยกับเฟยเฟยว่า “หยกขาวแกนทองคำฟังแล้วไพเราะเพียงนั้น ทว่าพบกันแล้วเป็นคู่ต่อสู้โดยกำเนิด จิ๊จ๊ะ เหตุใดข้ารู้สึกคล้ายว่าทั้งรักทั้งแค้น?”

 

 

เฟยเฟยกะพริบดวงตากลมโตอย่างเชื่องช้า แลไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

 

 

จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองสัตว์ประหลาดน้อยแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าเจ้าตัวนี้ประจบประแจงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? แม้แต่วาจาของนางมันยังฟังบ้างไม่ฟังบ้างไม่ใช่เหรอ? อิงไป๋เอ่ยอย่างไรมันทำอย่างนั้น หรือว่าเกิดความรักข้ามสายพันธุ์ได้ด้วย?

 

 

เจ้าหมาโง่ที่น่าสงสารถูกทิ้งแล้ว

 

 

จั้นซินคล้ายไม่อยู่ในวัง ทว่ายังคงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของลานบ้านนี้อย่างใกล้ชิด อย่างไรเสียหลายคนไม่คิดจะออกไปอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรต้องรอให้จั้นซินออกหน้าถึงมีโอกาสแย่งพิมพ์เขียวของเขา

 

 

หลายคนเตรียมปรึกษาหารือแผนปฏิบัติการขั้นต่อไป พลันได้ยินข้างนอกแว่วเสียงดังเอะอะเลือนราง เสียงไม่ดัง ไม่คล้ายเสียงเคลื่อนไหวยามจั้นซินกลับวัง จากนั้นได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “ตำหนักชุ่ยหวาเกิดเพลิงไหม้!”

 

 

อินอู๋ซินกระซิบว่า “ตำหนักชุ่ยหวาเป็นตำหนักบรรทมพระชายาหยางคนโปรดของจั้นซิน อยู่ดีๆ จะเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างไร?”

 

 

โชคดีที่เพลิงนั้นคล้ายไม่มาก ทุกคนไม่เห็นไฟไหม้ที่สว่างไสวทั่วท้องฟ้ากับควันไฟที่ฟุ้งกระจาย ทางนั้นวุ่นวายระลอกหนึ่ง ไม่นานจึงฟื้นคืนความเงียบสงบ

 

 

ท่าทางคล้ายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันในวัง แต่จิ่งเหิงปัวรู้สึกผิดปกติ เวลานี้ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรก็ประหลาดทั้งนั้น