ยามฟ้าใกล้ค่ำ พระราชวังแว่วเสียงดังเอะอะอีกครั้ง คราวนี้คล้ายแว่วมาจากทางประตูวัง อิงไป๋ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ฟังอยู่ระลอกหนึ่ง เอ่ยว่า “เห็นรูปร่างทัพนี้ เป็นไปได้ว่ากองทัพที่ออกนอกวังกลับมาแล้ว”
ในใจจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ…กองทัพที่ออกนอกวังกลับมาแล้ว ขณะนี้เป็นเวลาที่วุ่นวายที่สุด ถ้าอยากรู้ว่าสถานการณ์อีกฝ่ายเป็นอย่างไร เหยียลี่ว์ฉีถูกพวกเขาจับไปหรือเปล่า ตอนนี้นับเป็นโอกาสสังเกตการณ์
นางมองผู้ชายสองคนข้างกาย เผยซูทำหน้าบึ้งตึง อิงไป๋ดื่มเหล้าสบายอารมณ์ ทั้งสองคนไม่ใช่คนคุยง่าย คงไม่ยอมให้นางเสี่ยงอันตรายไปตรวจสอบ
คุยด้วยไม่ได้ก็ไม่ต้องคุย พี่อยากทำอะไรก็ทำ
เรือนร่างนางกะพริบวูบ หายไปจากตำแหน่งเดิม
“นี่ๆๆ! จิ่งเหิงปัวเจ้าจะวิ่งไปที่ใด!” เผยซูสาวเท้ากระโจนพรวดพราด เอื้อมมือคว้าได้เพียงอากาศ
กระบอกสุราใบหนึ่งขวางมือเขาไว้
“ไม่ต้องตามไป” อิงไป๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือย
“ไม่ตามไปจะรู้ได้อย่างไรว่านางพลันวิ่งไปที่ใดแล้ว? แต่ไหนแต่ไรมาสตรีนางนี้ก็ไม่เคยเชื่อฟัง!” เผยซูคิ้วตั้ง สีหน้าราวกับสามีที่ตำหนิภรรยา
กระบอกสุราของอิงไป๋ผลักใบหน้าของเขาออกไปอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“นางไปหาคนที่นางห่วงใย เหตุใดต้องมากความ?”
“อิงไป๋” เผยซูหยุดมือ ชะโงกหน้าเข้ามา พินิจสีหน้าบนใบหน้าของเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดว่า “เหตุใดวาจานี้ของเจ้าฟังคล้ายรู้สึกหึงหวง เจ้าคงไม่ได้ถูกใจจิ่งเหิงปัวด้วยกระมัง? นี่ๆๆ มาก่อนได้ก่อนนะ เจ้ากล้าแย่งคนรัก ระวังข้าไม่เกรงใจนะ…”
พลั่ก กระบอกสุราของอิงไป๋กระแทกใบหน้าของเขาจนแบนราบ…
เผยซูรีบถอย อุดเลือดกำเดาที่ไหลรินไว้ น้ำเสียงตวาดว่า “พากันรังแกข้ายามพิษยังไม่หาย รอให้ข้าหายดีแล้ว พวกเจ้าแต่ละคนจะได้เห็นดีกัน…”
อิงไป๋เก็บกระบอกสุรากลับอย่างสงบนิ่ง ไม่รีบไม่ร้อน จัดชายแขนเสื้อ
“ก่อนเจ้างัดอิฐก้อนหนึ่งนั้น” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “กำแพงเมืองสร้างถึงสามพันลี้ อิฐกำแพงหนาถึงสามจั้ง เจ้างัดอิฐชั่วชีวิต หากขุดโพรงได้สักแห่ง ข้ายอมใช้แซ่ตามเจ้า”
เขายกกระบอกสุรา ขึ้นหลังคาชมทิวทัศน์แล้ว แลไม่รู้ว่ามองทิวทัศน์หรือมองคน
อินอู๋ซินเข้ามาห้ามเลือดให้เผยซู เผยซูลูบศีรษะด้วยความงุนงง
“กำแพงเมืองอะไร? อิฐกำแพงอะไร? โพรงอะไร? เหตุใดฟังไม่เข้าใจ? เจ้าผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือ?”
…
เงาร่างจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบมาสู่จุดสูงสุดของพระราชวังแล้ว
ข้างหลังไม่มีคนไล่ตามมา อิงไป๋เผยซูน่าจะรู้ความสามารถของนาง ความสามารถอย่างอื่นไม่มี ความสามารถวิ่งหนีหนึ่งเดียวในโลกหล้า
เหนือหลังคาตำหนักสูงพอจะก้มมองทั้งพระราชวัง มองเห็นแสงไฟดุจเชือกคดเคี้ยววกวนสู่ใจกลางพระราชวัง ที่นั่นน่าจะเป็นตำหนักบรรทมของจั้นซิน
ตะเกียงวังตอนกลางคืนสว่างไสวเหมือนตอนกลางวัน มองจากระยะไกล องครักษ์ที่กลับมาเหล่านั้นคล้ายค่อนข้างเซื่องซึม คนมากมายได้รับบาดเจ็บ ฝีเท้ากะเผลก
จิ่งเหิงปัวเริ่มหมดห่วง…ดูท่าการออกจากวังล้อมปราบครั้งนี้ของจั้นซินคงทำไม่สำเร็จ
แม้ไม่อาจแน่ใจในความปลอดภัยของเหยียลี่ว์ฉีที่เขาล้อมปราบ แต่ไม่ว่าอย่างไรนับเป็นข่าวดี
นางกำลังจะลงจากหลังคา ฝูงชนกลุ่มนั้นพลันเกิดความวุ่นวายระลอกหนึ่ง มองเห็นรำไรว่าเงาคนสายหนึ่งเฉียดออกจากหลังภูเขาจําลองลูกหนึ่งดังฟิ้วดุจนกยักษ์ แสงเหน็บหนาวไกลโพ้นกะพริบวูบ มุ่งสู่ตรงกลางฝูงชน
ตรงกลางฝูงชน นั่นคือจั้นซิน
ฝูงชนเกรียวกราว มองเห็นรำไรว่าจั้นซินรีบถอย แสงกระบี่นั้นมุ่งตรงสู่หน้าผากเขา เขายกมือหวังขวางไว้โดยสำนึก ยกมือขึ้นครึ่งหนึ่งแล้วพลันวางลง เกลือกกลิ้งบนพื้นโดยไม่ห่วงฐานะ มือสังหารนั้นคล้ายรู้สึกตัวเร็วยิ่งกว่าเขา แสงกระบี่ปานธารหลากฉวยโอกาสคำรามลงมา แผ่คลุมทั่วร่างเขา
องครักษ์นับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมา ล้มลงบนพื้นเป็นกลุ่มก้อน ไอกระบี่กับแสงโลหิตร่วมกระเซ็น กระบี่ยาวของคนผู้นั้นสะบั้นลงมาปานอสนีบาต ได้ยินเสียงร้องโหยหวนนับมิถ้วนรำไร จั้นซินกลิ้งลงจากกลางฝูงชนที่คล้ายเล่นกายกรรมต่อตัว กุมท้องส่วนล่างไว้คล้ายยังได้รับบาดเจ็บ
ยามนี้เสียงผิวปากเร่งด่วนดังต่อเนื่อง คลื่นมนุษย์มากกว่าเดิมพุ่งมาปานสายธาร พลกล้าตายพุ่งมาขวางหน้าจั้นซินอย่างแน่นหนา มือสังหารนั้นแทงจั้นซินอีกครั้งไม่ได้แล้ว ดูท่ามือสังหารนั้นคล้ายไม่คิดเอาชีวิตเขาเช่นกัน เรือนร่างถอยหลัง เฉียดขึ้นอย่างสง่างาม
ท่ามกลางแสงไฟเรือนร่างเขาเพรียวบาง ท่าทางถอนร่างคล้ายปลายตวัดที่งดงามอ่อนช้อยของนักเขียนพู่กันจีนผู้โด่งดัง จิ่งเหิงปัวเห็นเรือนร่างนั้นแล้วดวงตาสว่างวูบ โบกมือกลางอากาศย้ายหินสองก้อนกระแทกกันทันที
เสียงหินสองก้อนชนกันไม่ดังมาก แต่มือสังหารนั้นเงยหน้าทันทีคล้ายได้ยินแล้ว จิ่งเหิงปัวโบกมืออยู่ไกลโพ้น บอกใบ้ว่าทางนี้ จากนั้นเรือนร่างกะพริบวูบออกจากหลังคา นางกลัวว่ามือสังหารจะเฉียดผ่านมาโดยตรง พาพลไล่ล่าเฉียดผ่านมาด้วย
มือสังหารคล้ายมากประสบการณ์ ไม่ได้เข้ามาโดยตรง จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงคนไปทางตะวันตก น่าจะถูกล่อไปแล้ว ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เงาคนสายหนึ่งเฉียดผ่านเหนือศีรษะนาง
“จุ๊! จุ๊!” นางโบกมือ
เงาคนเฉียดผ่านอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางความมืดมิดโครงร่างคุ้นเคย กลิ่นหอมลึกลับเจือจางพุ่งปะทะใบหน้า นางรู้สึกยินดีจากใจจริง
ทว่าเขาไม่ได้หยุดยั้งฝีเท้าระยะเหมาะสมเบื้องหน้านาง ลื่นไถลมาถึงตรงหน้านางแทน นางกำลังยิ้มแย้มเงยหน้าหวังทักทาย เขากางแขนสองข้างออกแล้ว กอดนางไว้ในครั้งเดียว
จิ่งเหิงปัวลืมเรื่องที่อยากกล่าวทันที
นางอ้าปากค้าง ท้ายเสียงที่ใกล้จะออกจากปากรดบนผมเขา
เหยียลี่ว์ฉีเป็นอะไรไป? คนคนหนึ่งที่อิสระร่าเริงขนาดนั้น ไม่เคยชอบใช้แรงเกินไป ซ้ำยังไม่ชอบท่าทางรีบร้อนทุกอย่าง เขามักจะยิ้มแย้มสบายอารมณ์ ทำเลวไม่ละอายเลยแม้แต่น้อย ทำดีไม่นับว่าเป็นความดีความชอบ ตอนคบค้าสมาคมกับนางยิ่งรักนวลสงวนตัว แม้หยอกล้อเป็นนัยบ้าง แต่ไม่ทำให้รู้สึกฝืนใจเด็ดขาด สิ่งนี้เป็นแหล่งนิสัยกับความหยิ่งผยองของเขาอย่างแท้จริง แต่วันนี้…
ลมหายใจของเขาพัดผ่านหลังคอนาง ร้อนผ่าว สองแขนที่โอบเอวนางไว้แข็งแรงอบอุ่นมีพลัง กระทั่งแลคล้ายออกแรงมากเกินไป ท่าทางไม่คล้ายหื่นกามแต่คล้ายทะนุถนอม เรือนร่างโน้มลงบนไหล่นางเล็กน้อย ปลายนิ้วล้อมเป็นวงกลมสมบูรณ์ คล้ายอยากกักขังนางไว้ ซ้ำยังคล้ายเคยเกือบนึกว่าไม่อาจได้สัมผัสอีกแล้วชั่วนิรันดร์ บัดนี้ได้ครอบครองอีกครั้ง อดจะอยากกอดสักหน่อยไม่ได้ พิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วยังไม่ได้สูญเสียไป
ไม่รู้ทำไม จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าครู่หนึ่งนี้ไม่เจือด้วยความคลุมเครือ แต่รู้สึกดีใจ
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
นางยกมือขึ้น ไม่ได้คิดจะกอดตอบ แค่คิดจะตบไหล่ของเจ้าคนนี้ ถามว่าหลายวันนี้ที่แยกกันเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม บนร่างเขามีกลิ่นคาวเลือด น่าจะผ่านการต่อสู้มากมาย
แต่มือของนางไม่ทันได้สัมผัสสักส่วนของเหยียลี่ว์ฉี
หินก้อนหนึ่งลอยมา กระแทกมือนางแล้วเฉียดผ่านไหล่ของเหยียลี่ว์ฉี คำรามมุ่งสู่หว่างคิ้วเหยียลี่ว์ฉี เหยียลี่ว์ฉีเอียงศีรษะหลบหลีก ปล่อยนางไปโดยธรรมชาติ
จิ่งเหิงปัวนวดเอว เหยียลี่ว์ฉีออกแรงไม่น้อยเลย
พอหันหน้ามอง อิงไป๋ออกมาจากห้องแล้ว เผยซูตามมาข้างหลัง เผยซูถลึงตามองนางด้วยหน้าตาบิดเบี้ยว เอ่ยด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “เมื่อครู่เจ้ากำลังทำอะไร?”
“อารมณ์บ่จอย กอดกันโหน่ย!” คำตอบของจิ่งเหิงปัวเย่อหยิ่งก้าวร้าวยิ่งกว่าเขา เผยซูพลันสำลัก ถลึงตามองนาง น่าจะกำลังคิดว่าเหตุใดสตรีนี้ถึงหน้าไม่อายขนาดนี้?
แต่จิ่งเหิงปัวมองอิงไป๋โดยสำนึกแวบเดียว อิงไป๋กำลังดื่มสุรา กระบอกสุราที่กระดกขึ้นบดบังใบหน้าของเขาไว้
เพียงแต่หินก้อนนั้น…เหมือนว่าเขายิงออกมา
คล้ายรู้สึกถึงสายตาสืบเสาะของนาง เขาวางกระบอกสุราลง เอ่ยว่า “ที่นี่อาจมีองครักษ์เข้ามาได้ทุกเวลา อย่าได้มัวอ้อยอิ่งไม่ยอมจากไป กลับเรือนแล้วค่อยว่ากัน”
จิ่งเหิงปัวร้องอ้อ อิงไป๋หันหลังเข้าห้องแล้ว เหยียลี่ว์ฉีหรี่ตามองเงาด้านหลังของเขาตลอดเวลา พลันเอ่ยว่า “อิงไป๋?”
“ใช่แล้ว” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “เขาถูกปลดจากตำแหน่งสมุหราชองครักษ์ ตามมาหาเผยซูแล้ว เจ้ารู้จักเขาไม่ใช่หรือ?”
“อิงไป๋ลุ่มหลงสุรานารี ไม่เคยเข้าเฝ้าประชุมขุนนาง ซ้ำยังไม่สานสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่ผู้ใด บรรดาขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักเคยได้ยินเพียงนามไม่เคยได้เห็นหน้าตา” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “ยามอยู่ตี้เกอข้ากับเขาอยู่คนละฝั่ง เจอกันน้อยนัก เพียงเคยเห็นห่างไกลสองครั้ง”
นัยน์ตาเขาสะท้อนแววใคร่ครวญ จิ่งเหิงปัวหันหน้ามองตาเขา ยิ้มแย้มกล่าวว่า “อะไร? มีสิ่งใดผิดปกติหรือ”
เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองเงาด้านหลังของอิงไป๋แล้วพลันหัวเราะ เอ่ยว่า “จะมีสิ่งใดผิดปกติได้? ทางข้าได้รับข่าวสาร หลังออกนอกนครหลวงอิงไป๋มาทางนี้จริง รู้จักสาวงามรู้ใจเจ็ดแปดนางที่แคว้นเซียง ได้ยินข่าวเผยซูพลันควบม้ารีบมาเผ่าจั๋นอวี่ คำนวณจากเวลากับเส้นทาง เป็นเขานั่นล่ะ”
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจยาว
ข้างนอกมีเสียงฝีเท้าสับสนปนเปกะทันหัน คล้ายขันทีกลุ่มใหญ่เข้าสู่ลานบ้านของอินอู๋ซิน จากนั้นรีบร้อนออกไปอย่างรวดเร็ว จิ่งเหิงปัวกลับมายังลานบ้านของอินอู๋ซิน พบว่าอินอู๋ซินมีสีหน้าดูไม่ได้เลย
“จั้นซินรอไม่ไหวแล้ว” พอเห็นนางอินอู๋ซินพลันเอ่ยว่า “เขาพลันให้คนแจ้งข่าวข้า เอ่ยว่าประเดี๋ยวจะมาเยี่ยมข้า”
จิ่งเหิงปัวหันหลังมองเหยียลี่ว์ฉีทันที จั้นซินรอไม่ถึงสามวันจะมาฟังคำตอบของอินอู๋ซิน น่าจะเป็นผลลัพธ์จากการลอบสังหารเมื่อครู่ของเขา
เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มลึกลับ
“กระบี่หนึ่งนั้นเมื่อครู่ของข้า ทำร้ายแก่นลูกหลานของเขา” เขาแนบข้างหูนางกระซิบว่า “ข้าไม่ได้คิดสังหารเขาเลย ปล่อยเขาไว้ยังมีประโยชน์ ข้าเพียงคิดสร้างปัญหาให้เขานิดหน่อย สิ่งที่จั้นซินให้ความสำคัญที่สุดคือทายาท หากทางนี้ของเขาเกิดปัญหา จักฉุดรั้งกำลังวังชามากหลายแน่แท้ ซ้ำยังน่าจะไม่สร้างปัญหาให้ข้าอีกแล้ว”
“ยามเริ่มชั่วร้ายบุรุษโหดเ**้ยมเสียยิ่งกว่าสตรี” จิ่งเหิงปัวเบะปาก
สองคนแนบหูเอ่ยวาจา กระซิบกระซาบ ดูคล้ายท่าทางค่อนข้างสนิทสนม อินอู๋ซินมีสายตาระยิบระยับ คล้ายหมดห่วงเล็กน้อย อิงไป๋ยืนพิงกำแพง ดื่มสุราหลายอึก คล้ายความคิดเพียงอยู่ในสุรา คร้านจะมองชายหญิงคู่นั้น เผยซูมีสีหน้ามืดครึ้มจนคล้ายจะกลายเป็นฝนตกลงมา พลันหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง เข้าไปใกล้อิงไป๋เอ่ยว่า “เจ้าว่ากำแพงเมืองแข็งแกร่งที่สร้างถึงสามพันลี้ หนาถึงสามจั้งนั้น ยามนี้รื้ออิฐทิ้งไปแล้วกี่ก้อน?”
อิงไป๋วางกระบอกสุรา มองเขาอย่างเฉื่อยเนือยปราดเดียว ใต้แสงดาราสายตาเหน็บหนาว เผยซูรู้สึกถึงเจตนาร้าย เตรียมพร้อมถอยหลังก้าวหนึ่ง หรี่ตาเล็กน้อย
พริบตาเดียวไอสังหารปะทะกัน คล้ายมีเสียงดังกังวาน
จากนั้นท่าทางของอิงไป๋ฟื้นคืนความเกียจคร้านเช่นนั้นอีกครั้ง เก็บกระบอกสุราไป
“รื้อมากกว่านี้มีประโยชน์อันใด?” เขาเอ่ยว่า “ไม่นานคงจะกระแทกเท้า”