ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 221 มือซ้ายจูงหมีสยงเมา มือขวา...

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

แสงอันโชติช่วงที่พันรอบเสาหิน สั่นพะเยิบพะยาบอยู่ในอากาศ กลายสภาพเป็นแถบแสงจำนวนมาก ถูกพายุนิมิตทมิฬดึงรั้ง ฉุดลากจนตรงแหน่ว

พลังดึงรั้งรัดแน่น ลากเสาหินขึ้นมาพรวดพราดจากทะเลทราย

ชั่วเสี้ยววินาทีที่เสาหินถูกดึงออกมาจากทะเลทรายโดยสมบูรณ์นั้น มีพลังอันไพศาลแผ่กระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างฉับพลัน

ด้วยพลังทำลายล้างซัดสาดโหมกระหน่ำ พายุนิมิตทมิฬที่กวาดทำลายโดยรอบตามอำเภอใจ จึงถูกกำจัดจนสูญสิ้นทันที!

ผงทรายในอากาศ ถูกบดละเอียดเป็นละอองฝุ่น พัดกระจายออกไปไกลทั้งสิ้น

ถ้าหากมองจากสวรรค์ชั้นเก้าลงมา จะเห็นได้ว่าในทะเลทรายใหญ่ที่ถูกพายุนิมิตทมิฬปกคลุมอำพรางอยู่ พลันปรากฏพื้นที่ว่างแปลงหนึ่งออกมา

ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาบริเวณที่เสาหินแต่เดิมตั้งอยู่ ถูกกวาดล้างแทบจะหลุบเรียบลงไปข้างล่างจนเกิดพื้นที่ว่างออกมาแปลงหนึ่ง กลายเป็นหลุมทรายขนาดใหญ่ที่ยุบลงไป

เสาหินต้นนั้นลอยแคว้งอยู่กลางอากาศ เวลานี้แสงสว่างโชติช่วงทุกสายที่ยื่นขยายออกไป ได้หวนกลับคืนทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เสาหินที่ซ่อนเร้นลำแสงเอาไว้เท่านั้น

แสงสว่างบนพื้นผิวเสาหินค่อยๆ สลายไป ในสายตาฝูงชนเห็นบริเวณด้านที่แตกแต่เดิม ถูกเติมเต็มอย่างฉับพลัน

เสาหินทั้งต้นหล่อรวมเป็นหนึ่ง เปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่

หลังจากมองดูเสาหินมหึมาตรงหน้าแล้ว ก็บิดลำคอที่แข็งทื่ออยู่บ้างอีกครั้ง หันมองท้องฟ้าโดยรอบซึ่งเปลี่ยนเป็นแจ่มใสฉับพลัน ในที่สุดฝูงชนก็ฟื้นคืนสติกลับมา ส่งเสียงโห่ร้องดีใจออกมาพร้อมเพรียง

การเคลื่อนไหวของ ‘ผู้อาวุโสหลี่’ และ ‘เหยาซาน’ ช้าลงกึ่งหนึ่ง ทว่าก็เผยเห็นสีหน้าท่าทางตื่นตระหนกระคนดีใจทันที ร่วมกับขบวนฝูงชนด้วยเช่นกัน

เพียงแต่ยามพวกเขาสองคนประสานสายตากัน ในแววตาล้วนเป็นพยับเมฆและความกลัดกลุ้มอันเฉื่อยชา

เหยาซานตัวจริงสูดหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง สงบอารมณ์ภายในใจตน เคลื่อนไหวปราณจิตราส่งกระแสจิตกล่าวกับสหาย ‘อย่าได้บุ่มบ่ามไป ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยันว่าเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นของเขาสามารถใช้การได้หรือไม่’

เหยาซานตัวปลอมที่อยู่ข้างๆ ตอบ ‘ข้าเข้าใจ’

คำพูดแม้จะเอื้อนเอ่ยเช่นนี้ แต่ในน้ำเสียงเจือกัดฟันแค่นเสียงอย่างปิดไม่มิดอยู่หลายส่วน

เสาหินร่วงลงมาช้าๆ อาหู่เห็นเช่นนั้น เร่งรีบขึ้นมาข้างหน้าเตรียมรับไว้

เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่งจะเอ่ยประโยคหนึ่ง “ข้าเอง” ทว่ามือของอาหู่ยื่นออกไปแล้วพอดี

ใครจะรู้ฝ่ามือเพิ่งจะรองส่วนปลายเสาหินไว้ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงฉับพลัน รู้สึกเพียงว่ามีพลังไร้ที่สิ้นสุดกดอยู่บนฝ่ามือ จนข้อมือแทบหลุด!

มองเพียงแค่รูปลักษณ์ของเสาหินนั่น แม้ว่าขนาดจะใหญ่มหึมา กระนั้นอาหู่ก็เป็นจอมยุทธ์ปรมาจารย์ขั้นฝ่านภา ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดแล้ว แขนทั้งสองข้างของเขาสั่นเทิ้ม ปราณจิตราระเบิดพลังทั้งปวง กำลังกายมีแค่เพียงหมื่นจวินเสียเมื่อไร

ทว่าบัดนี้ครั้นเอามือรองเสาหินต้นนั้น กลับรู้สึกว่ารับน้ำหนักไม่ไหวโดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงรีบปล่อยมือถอยออกไป

เยี่ยนจ้าวเกออยู่ข้างๆ ยื่นมือออกมา รองไว้ใต้เสาหินด้วยเช่นกัน

ภาพฉากที่ทำให้ลูกตาอาหู่แทบจะถลนออกจากเบ้าปรากฏขึ้น เสาหินที่พลังทั่วร่างตนปะทุล้วนหมดทางพยุง นึกไม่ถึงว่าเยี่ยนจ้าวเกอใช้เพียงมือเดียวรองเอาไว้โดยไม่รู้สึกหนัก

หนำซ้ำท่าทางของเยี่ยนจ้าวเกอ ยังเห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายอย่างยิ่งยวด

คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้ว ก็ตกอกตกใจเช่นเดียวกัน

ถึงแม้ว่าอาหู่มักจะถูกผู้คนสบประมาททั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา เนื่องจากฐานะและการแสดงออกยามปกติ

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอให้ความสนใจโลกภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงทุกอย่างข้างกายเขา ชายหนุ่มเข้าไปอยู่ในสายตาของบุคคลที่มีความตั้งใจ ดังนั้นโลกภายนอกจึงรู้จักอาหู่มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน

ร่างสูงใหญ่ที่มักจะแสดงตนเป็นบ่าวติดตามรับใช้อยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอเสมอ ก็ยังคงเป็นยอดฝีมือสุดยอดท่ามกลางจอมยุทธ์ปรมาจารย์คนหนึ่ง

ถึงขั้นที่ผู้คนมากมายทึกทักเอาเอง ว่าเขากับเยี่ยนจ้าวเกอ ผู้หนึ่งนายผู้หนึ่งบ่าวนี้ แท้จริงแล้วผู้ใดแข็งแกร่งผู้ใดอ่อนด้อย

ตอนที่อาหู่เอามือรองยกเสาหินเมื่อครู่ ปราณจิตราทั่วร่างของเขาระเบิดปะทุ พละกำลังอันทรงพลังนั่น ทำให้ทุกผู้ทุกคนต่างตกตะลึงต่อสิ่งนั้น

ยามปกติอาหู่ไม่ปรากฏรัศมีแสงเหนือศีรษะให้เห็น ทว่าตอนปลดปล่อยพลังเมื่อครู่นี้ รัศมีแสงพรั่งพรูเฉิดฉาย มุ่งตรงทะลุฟ้า คาดไม่ถึงว่าเป็นลำแสงแท้จริงทั้งสิ้น ประกาศให้ทราบถ้วนทั่วถึงพลังฝึกปรือขั้นฝ่านภาของเขา

กระนั้นมหาปรมาจารย์ขั้นฝ่านภาผู้หนึ่งเช่นนี้ ใช้มือรองเสาหินอย่างเต็มกำลังแล้วก็ยังประคองไว้ไม่ได้ ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับใช้มือรองไว้ด้วยมือข้างเดียวสบายๆ ทำให้ทุกคนหวาดหวั่นพรั่นพรึงโดยแท้

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูอาหู่ที่รับการจู่โจมหนักหน่วง มุมปากกระตุกแผ่วเบา

“เสาหินนี้พิเศษอย่างมาก ท่วงทำนองพลังที่แฝงอยู่ในนั้นเร้นลับลึกซึ้งอย่างยิ่งยวด ไม่เพียงแค่เจ้าเท่านั้น มหาปรมาจารย์จำนวนมากล้วนยกไม่ขึ้น”

“ที่ข้ายกขึ้นมาได้ นั่นเป็นเพราะข้าหลอมเสาต้นนี้ในขั้นต้นแล้ว หลอมรวมเจตจำนงหมัดวรยุทธ์ของข้าเองเข้าสู่ภายในนั้น ฉะนั้นสำหรับเจ้าหนักกว่าขุนเขา สำหรับข้าแล้ว กลับเบายิ่งกว่าฟางข้าวเสียอีก”

ผู้คนข้างๆ เข้าใจในฉับพลัน อาหู่ลูบๆ ท้ายทอยของตน อ้าปากยิ้มร่า “คุณชาย ที่ท่านหลอมเสาหินนี้ได้ เดิมก็คือความสามารถอย่างไรเล่า”

คนอื่นได้ยินเช่นนั้น ก็ทยอยผงกศีรษะตามๆ กัน

หากเป็นเวลาอื่น ถูกผู้คนมุงดูด้วยสายตาชื่นชมเลื่อมใสเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอคงจะเบิกบานใจอย่างถึงที่สุด

แต่ตอนนี้ แม้อารมณ์ที่ปรากฏจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ทว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกในใจซับซ้อนยิ่ง หัวร่อไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูเสาหินที่อยู่บนมือ อดกลั้นต่อปฏิกิริยากลอกตาอย่างหนัก

เขาใช้มือรองสิ่งใหญ่โตขนาดนี้สิ่งหนึ่ง กลับสง่าผ่าเผยอย่างแท้จริง เปี่ยมล้นไปด้วยแรงปะทะทางสายตา น่าหวั่นไหวยิ่งยวด

…ถึงกระนั้น หากต้องรองถือเสาต้นนี้เช่นนี้ ตลอดทางตั้งแต่วายุพิภพกลับไปยังเขากว่างเฉิง ณ นภาพิภพละก็ เขาก็ไม่แน่ว่าจะทำให้คนเบิกบานใจนักแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชายหนุ่มยังไม่มีหนทางส่งต่อให้แก่คนอื่น

เนื่องด้วยความพิเศษเฉพาะของเสาต้นนี้ ใช้รถลาก ใช้สัตว์บรรทุก ใช้คนจำนวนมากมายก เกรงว่าล้วนยากจะสำเร็จ

แต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับยังสิ้นวิธีทำให้มันย่อขนาดลงเสียอย่างนั้น

กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากสถานการณ์เกิดไม่แปรเปลี่ยน เยี่ยนจ้าวเกอจำเป็นต้องยกสิ่งมหึมาสิ่งนี้ด้วยตนเองแต่ผู้เดียวไปตลอดจนกลับเขากว่างเฉิง

หนำซ้ำเดินทางกลับไป หากขี่สัตว์ อย่าได้พูดถึงสัตว์วิเศษอื่นๆ แค่พ่านพ่านก็จะถูกทับจนคว่ำลงด้วยเช่นกัน

ลองใคร่ครวญเสียหน่อย ข้างกายมีสัตว์พาหนะที่ก้าวร้าวแข็งขันเช่นพ่านพ่านนี้ตามอยู่ด้วย ก็ก่อกวนความสนใจผู้คนอยู่แล้ว นอกนั้นยังยกหามเสาหินหนาใหญ่ที่ความยาวเหนือกว่ายี่สิบหมี่อีกต้นหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ภาพนั้น ช่างงามงดยิ่ง ทำให้ผู้คนใจไม่แข็งพอที่จะมอง…

แท้จริงแล้ว แม้ว่ายกหามสิ่งของใหญ่ยักษ์ขนาดนี้สิ่งหนึ่งจะดูโง่เขลาอยู่บ้าง ทว่าก็ยังคงโดดเด่นดึงดูดความสนใจพอสมควรเช่นกัน

มุมปากเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกเกร็ง ตนเองชอบแสดงตัวโดดเด่น โอ้อวดเรียกความสนใจอยู่พอควร หากแต่ข้อแรกคือพฤติกรรมนี้มาจากความปรารถนาของตน เป็นสิ่งที่สามารถควบคุมได้

ตอนที่อยากจะโดดเด่นก็โดดเด่น ตอนที่อยากจะถ่อมตนก็ถ่อมตน นี่ถึงจะเป็นการดำรงชีวิต

ถ้าหากเป็นการถูกบังคับให้ต้องทำตัวโดดเด่น ไปให้คนอื่นมุงดู เช่นนั้นก็อาจจะทำให้คนไม่สบายใจอยู่บ้างนัก

‘ของเล่นนี่…’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดด้วยเจตนาที่ไม่ดีอยู่บ้าง ‘…เอามาทุบคนก็ไม่เลว’

ขณะหาความสุขท่ามกลางความขื่นขมไปพลาง เยี่ยนจ้าวเกอลอบถอนใจในใจไปพลาง บนใบหน้าไม่ปรากฏสีหน้าใดแม้แต่น้อย

มือข้างหนึ่งของเขารองยกเสาหินไว้ มืออีกข้างหนึ่งลูบไล้ไปบนลวดลายพื้นผิวเสาหิน แสดงท่าทางที่กำลังตั้งใจศึกษาคิดทบทวนอยู่ออกมา…

เยี่ยนจ้าวเกอจัดการเสาหิน พร้อมกล่าวกับกลุ่มของอาหู่ไปพลาง “เป้าหมายบรรลุ พายุนิมิตทมิฬอีกไม่นานจะบังเกิดขึ้น พวกเราออกจากที่นี่เถอะ”

ไกลออกไป พายุที่ถูกไล่กระจายออกไป ได้ซัดกระหน่ำมาทางนี้อีกหนแล้ว

ฝูงชนเร่งรีบตามติดหลังกายเยี่ยนจ้าวเกอ ย้อนกลับไปยังเส้นทางที่เดินทางมา

ความรู้สึกในใจของ ‘ผู้อาวุโสหลี่’ และ ‘เหยาซาน’ ล้มเหลวอย่างถึงที่สุด ทว่าภาพลักษณ์ภายนอกยังคงต้องกล้ำกลืนฝืนยิ้ม เดินตามฝีเท้าเยี่ยนจ้าวเกอให้ทัน

พายุก่อตัวขึ้นอีกครา ทำให้เส้นทางกลับของฝูงชนแปรเปลี่ยนเป็นยากลำบากขึ้นมาด้วยเช่นกัน แม้ผ่านหนทางลำบากยาวไกล ทว่าในที่สุดก็กลับถึงจุดสนับสนุนแห่งนั้นที่ตั้งขึ้นก่อนหน้า

จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงหลายคน กับกลุ่มจวินลั่วทั้งสามกำลังคอยท่าอยู่ที่นั่น

………..