ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 222 พายุก่อตัวขึ้นอีกหน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เมื่อเห็นเสาหินมหึมาต้นนั้นที่เยี่ยนจ้าวเกอเอามือรองยกปรากฏอยู่เบื้องหน้า กลุ่มคนของจวินลั่วล้วนอดที่จะมีใบหน้าตะลึงงันไม่ได้ เนิ่นนานไม่คืนสติ

จวินลั่วมองดูเยี่ยนจ้าวเกอ สาวน้อยที่แต่เดิมฝีปากปราดเปรียว บัดนี้คาดไม่ถึงว่าตะกุกตะกักอยู่บ้าง “ศะ… ศิษย์พี่เยี่ยน นะ… นี่มันของอะไรรึ?”

ใบหน้าเยี่ยนจ้าวเกอแสดงสีหน้าอารมณ์ไม่รู้ไม่ชี้ “ข้าเข้าไปมหาทะเลทรายแดนตะวันตกครั้งนี้ เดิมทีก็มีงานที่ได้รับคำสั่งมาต้องจัดการ สำรวจซากโบราณสถานแห่งหนึ่ง”

“ส่วนของสิ่งนี้น่ะหรือ…เป็นวัตถุในซากโบราณสถานชิ้นหนึ่ง ค่อนข้างมีมูลค่า จึงต้องคิดหาวิธีนำกลับสำนัก”

จวินลั่วมองดูวัตถุมหึมาที่เยี่ยนจ้าวเกอรองไว้บนฝ่ามือ อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “หากต้องนำกลับเขากว่างเฉิงไปตลอดทางเช่นนี้ ก็อาจจะเกิน…เอิ่ม อาจจะโออ่าอลังการเกินไปหน่อย…”

เยี่ยนจ้าวเกอเลิกหางคิ้วขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงค่อยๆ โน้มน้าว “ลั่วลั่วเจ้าไม่ใช่ล้วนใฝ่หาอาภรณ์งามแฉล้มม้าสง่า ชีวิตระหกระเหินตามอำเภอใจมาโดยตลอดหรอกหรือ? นี่ไงเล่า ชีวิตคนอันโดดเด่นไม่จำเป็นต้องอธิบาย”

ดวงหน้าน้อยๆ ของจวินลั่วย่นกลายเป็นซาลาเปา กระซิบกระซาบเสียงเบาว่า “ที่อยู่คิดเสมอ ไม่ใช่อย่างเช่นตรงหน้านี้นี่”

ชายหนุ่มหัวร่อ ไม่ได้กล่าวตอบ

ในใจเขาก็ถอนใจตลอดเวลาเช่นกัน กลุ่มจวินลั่วหลายๆ คนที่นี่ ยังเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นหนึ่งเท่านั้นเอง คาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่า ภายในช่วงเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่งหลังจากนี้ ตนเองล้วนต้องเผชิญปัญหาคล้ายๆ กันกับของคนอื่น

ซึ่งที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอหน่ายใจอยู่บ้างก็คือ นี่ไม่ใช่ความตั้งใจแต่เดิมของเขาแต่อย่างใด

เพียงแต่แม้ว่าหลอมกลายสภาพเสาหินขั้นต้นแล้ว แต่ตอนนี้ ยังคงจำกัดอยู่แค่การดึงมันขึ้นจากสถานที่เดิมเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอรู้กระจ่างชัดถึงความเป็นมาของเสาหินนี้ ซึ่งคือเสาระเบียงทางเดินของวังเทพในอดีตต้นหนึ่งที่แตกหัก ตกลงมาบนโลกหล้านี้นั่นเอง

ทว่าหลังจากเสาระเบียงทางเดินวังเทพต้นนี้แตกหัก ในนั้นเกิดความเป็นเปลี่ยนแปลงอื่นใดอีกหรือไม่ เปลี่ยนแปลงอย่างไร เยี่ยนจ้าวเกอยังคงจำต้องศึกษาคิดทบทวนอย่างละเอียด

ผลที่บังเกิดก็คือ ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอยังสิ้นหนทางควบคุมเสาหินมหึมาต้นนี้อย่างคล่องแคล่ว ทำได้เพียงปล่อยมันให้ใหญ่มหึมาเลยตามเลยเช่นนี้

แสงสว่างไสวที่ขับไล่มังกรทมิฬพิฆาตกระจายหายไปก่อนหน้านี้ หลังจากฉายวาบขึ้นฉับพลัน บัดนี้หายไปไม่ปรากฏอีก

ถึงขั้นกระทั่งริ้วแสงพื้นผิวเสาหินล้วนค่อยๆ สลัวดับไป ไม่ส่องประกายอีก

นอกจากการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักอันแปลกประหลาดผิดปกติแล้ว ดูๆ ไปทั้งมวลคล้ายกับล้วนปกติอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนยากจะปักใจเชื่อว่า เมื่อสักครู่เป็นเสาหินต้นนี้ที่สั่นคลอนฟ้าดินโดยรอบ

เยี่ยนจ้าวเกอเคยจินตนาการ ยามเมื่อมีศัตรูยั่วยุ เพียงนำเสาหินทุบคู่ต่อสู้สิ้นชีพ สำหรับตอนนี้นั้น เว้นเสียแต่คู่ต่อสู้จะอยู่ด้านใต้ฝ่ามือตนพอดี ไม่เช่นนั้นก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น

จะยกเสาหินขึ้นกวัดแกว่งกวาดล้าง ไม่ต้องพิจารณาเป็นการชั่วคราวแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอเคยทดลองมาก่อน ตอนนี้เสาหินทำได้เพียงคงสภาพตั้งตรงไว้เท่านั้น

หากเสาหินลาดเอียง เยี่ยนจ้าวเกอก็จะเร่งสั่นไหวอย่างรุนแรงภายในฝ่ามือทันที ขณะสั่นไหว เสาหินก็จะเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมาฉับพลัน

ถึงยามนั้นทุกครั้ง ตนเองก็จะรู้สึกถึงความรู้สึกอาหู่ตอนแรกเช่นกัน เสาหินเหมือนกับหนักอย่างไร้ที่สิ้นสุด ตนเองรองไว้บนมือ ชั่วเสี้ยวขณะข้อมือราวกับจะเคลื่อนหลุดกระทั่งถึงขั้นแตกหักอย่างไรอย่างนั้น

เพียงแต่เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้อย่างเลือนราง ว่าการเชื่อมต่อระหว่างตนกับเสาหินนั่นแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ ตามเคลื่อนผ่านของกาลเวลา

ภาพปรากฏการณ์ที่ปรากฏวาบเบื้องหน้า ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ น้ำหนักของเสาหินนั่นก็เบาลงเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าน้ำหนักจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เยี่ยนจ้าวเกอเริ่มค่อยๆ ยึดกุมเคล็ดวิธีในนั้น คล่องแคล่วผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือขนาดเสาหินไม่อาจเปลี่ยนเป็นเล็ก ถึงขั้นที่เยี่ยนจ้าวเกอต้องใช้มือรองสิ่งของใหญ่ยักษ์เช่นนี้โอ้อวดเรียกความสนใจตลอดเวลา

ในป่าเขาลึกก็แล้วไป อย่างน้อยมีที่กำบัง ในทะเลทรายกว้างใหญ่ แม้จะมีเนินทรายเป็นลอนคลื่น ไม่ได้มองปราดเดียวก็แลเห็นหมดสิ้นอย่างแท้จริง ทว่าหากตนเองยกเสาหินมหึมายาวกว่ายี่สิบหมี่ตลอดเวลา ก็ยังคงสะดุดตาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

“สภาพสังคมวายุพิภพกับมหาทะเลทรายแดนตะวันตก ช่างไม่ยุติธรรมเสียนี่กระไร” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางตนเอง “ช่างเหมือนกับขีดเขียนลายเส้นอักษร ‘มาตีข้า’ ไว้บนหน้าอย่างไรอย่างนั้น…”

แลเห็นเยี่ยนจ้าวเกอกับจวินลั่วสนทนาลึกกันอย่างชื่นมื่น หนำซ้ำน้ำเสียงของทั้งสองล้วนตามแต่ใจ บนใบหน้าน้องพี่ตระกูลเหลียนปรากฏแววริษยา

เหลียนเฉิงที่อายุน้อยกว่า ดูไปแล้วเจ็บออดแอดไร้ชีวา ในแววตาเปี่ยมล้นด้วยความอิจฉาและใฝ่หา

ในอีกด้านหนึ่ง ยังมีน้องตระกูลเหลียนผู้หนึ่ง เหลียนอิ๋ง ความกระสับกระส่ายและความอึมครึมก็เคลื่อนไหวอยู่ส่วนลึกในแววตา

เขาทอดมองไปในสายตาของจวินลั่วเหมือนกับเหลียนเฉิง ต่างก็มีความหลงใหลลึกซึ้ง เพียงแต่ในแววตาตาของหลินอิ๋งแฝงความบ้าระห่ำและความสุดขั้วไว้มากกว่า

ยามเมื่อเส้นสายตาของเขาย้ายผ่านร่างเยี่ยนจ้าวเกอ เปลือกตาก็ลู่ลงตามจิตสำนึก ไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็นแสงไสวที่ทอประกายอยู่ในนั้น

หลังจากมวลชนเก็บกวาดจุดสนับสนุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาเดินทางเดิมอีกหน สืบเท้าสู่ภายในพายุนิมิตทมิฬนอกเขตทำลายล้าง บุกป่าฝ่าดงยากลำเข็ญ เดินมุ่งไปนอกมหาทะเลทรายแดนตะวันตก

หลังจากถึงจุดสนับสนุนแล้ว ความรู้สึกในใจของ ‘ผู้อาวุโสหลี่’ พลันดีขึ้น “หมากเปล่าที่วางไว้กระบวนหนึ่งก่อนหน้า บัดนี้กลับถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลลัพธ์แล้ว”

‘เหยาซาน’ ข้างกายเขายังคงมีท่าทีวิตกจริต รู้สึกขัดเคืองต่อการคว้าน้ำเหลวในเตรียมการวางแผนก่อนหน้านี้

‘ผู้อาวุโสหลี่’ ส่ายศีรษะเล็กน้อย ปราณจิตราส่งกระแสจิตเอ่ย ‘จงเตรียมพร้อมลงมือตลอดเวลา ข้าได้ส่งข่าวออกไปแล้ว’

จอมยุทธ์ที่ปลอมกายเป็นรูปลักษณ์ของซานเหยา แม้ว่าการควบคุมสีหน้าท่าทางจะเป็นที่น่าพอใจ ไม่เผยร่องรอยและพิรุธแม้แต่น้อย

กระนั้นในดวงตาทั้งสองของเขา ก็มีแสงสีสันอันฮึกเหิมเปล่งวาบปรากฏชัดแจ่ม

‘ยังมีโอกาส?’ ซานเหยาตัวปลอมเอ่ยถามทันควันอย่างอดรนทนไม่ไหว

ซานเหยาที่ปลอมกายเป็นรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสหลี่ ยิ้มกล่าว ‘มีเด็กน้อยที่น่าสนใจผู้หนึ่ง ใช้ชีวิตอยู่ในความคิดของตน ไม่สนใจอื่นใด มองสถานการณ์ไม่กระจ่างชัด ไม่เข้าใจความหนักเบา’

‘เรื่องราวมากมาย ขอเพียงพลิกแพลงใช้อย่างเหมาะสม ยึดกุมจังหวะโอกาสไว้ เรื่องเล็กน้อยที่แต่เดิมไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก บางที่อาจจะเปลี่ยนเป็นมีมูลค่าขึ้นเป็นพิเศษก็เป็นได้’

‘ผู้อาวุโสหลี่’ พลางอมยิ้ม พลางลูบเครายาวของตน นี่เป็นความเคยชินเฉพาะตัวของผู้อาวุโสหลี่ที่แท้จริง ซึ่งถูกเขาลอกเลียนอย่างคล้ายคลึง

เขาส่งกระแสจิตกล่าว ‘ไม่นานนัก มังกรทมิฬพิฆาตก็จะมาอีกครั้งหนึ่ง!’

‘ถึงแม้ว่าจะทำให้คนของพวกเรามีโอกาสถูกเปิดโปงถึงที่สุด แต่ขอเพียงแค่เวลาส่วนมากรออยู่ภายในมหาทะเลทรายแดนตะวันตก สำนักเขากว่างเฉิงก็ยากยิ่งจะปล่อยพวกเราเลยตามเลยเช่นกัน’

‘แต่ถ้าประสบความสำเร็จ ผลลัพธ์ก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง แม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะเป็นเพียงแค่จอมยุทธ์ปรมาจารย์คนหนึ่ง กระนั้นเขาก็แตกต่างจากคนรอบกาย หากสามารถบั่นสังหารมันได้ สำหรับการฝดจมตีเขากว่างเฉิงแล้ว ถึงขนาดที่ยิ่งกว่าสูญเสียจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์จำนวนหนึ่งไปเสียีอก’

‘ผู้อาวุโสหลี่’ กล่าวต่อเนื่องไม่เว้นวรรค ความฮึกเหิมส่วนที่เหลือของ ‘เหยาซาน’ กลับยังมีความลังเลใจอยู่บ้าง ‘เขากลอุบายเยอะเกินไป จะไม่…’

‘ผู้อาวุโสหลี่’ มองเขาปราดหนึ่ง ‘เขาถอนดึงเสาหินต้นนั้นขึ้นมาก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินคาดแล้ว แต่ข้าเชื่อว่าตัวเขาเองก็ต้องใช้กำลังวังชาไปไม่น้อยแน่ นอกจากนั้น จิตระแวดระวังของผู้คนก่อนประสบความสำเร็จ ไม่บรรลุเป้าหมาย กับจิตระแวดระวังของผู้คนที่บรรลุเป้าหมาย ปณิธานเป็นจริงสมดังหวัง ย่อมต่างกัน’

‘แม้จะไม่รู้ได้ว่าเขาใช้เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั่นได้หรือไม่ แต่หวังว่ามังกรทมิฬพิฆาตครั้งที่สองนี้จะเกิดผล’

ขณะเฝ้าปกปักษ์ไปพลาง เส้นสายตาของ ‘ผู้อาวุโสหลี่’ พลางมองไปยังอีกฟาก ที่ตรงนั้น สายตาของเหลียนอิ๋งตกอยู่บนร่างจวินลั่วแต่แรกเริ่มมา ค่อยๆ ปรากฏแววบ้าคลั่งออกมาหลายส่วนชัดเจน

บนใบหน้า ‘ผู้อาวุโสหลี่’ เผยเห็นรอยยิ้มอ่อนๆ

ในเวลานี้เอง เสียงหวีดแผดก้องของพายุบริเวณใกล้ออกไปเปลี่ยนเป็นดังขึ้น มังกรทมิฬพิฆาตอันน่าครั่นคร้ามปรากฏออกมาอีกครั้ง!

………….