บทที่ 381 ก้าวหน้า

บทที่ 381 ก้าวหน้า

ตอนนี้เซียวเฟิงกำลังจัดการกับบอสตัวสุดท้ายของดันเจี้ยนดินแดนแห่งอสูรภูผาอยู่ ซึ่งเมื่อชายหนุ่มเข้าร่วมปาร์ตี้ คนของหลีเซียนหยุนได้กำจัดบอสตัวที่หนึ่งไปแล้ว ดังนั้นเลยไม่ต้องเริ่มจากบอสตัวแรก ความคืบหน้าจึงไปเร็วกว่าที่เขาคิด

วิธีการที่ใช้ก็เหมือนเดิมกับเมื่อครั้งที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในเมื่อครั้งนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบเพื่อให้สำเร็จดันเจี้ยนเป็นปาร์ตี้แรก มันจึงมีเวลาให้พวกเขาได้กำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดอย่างเหลือเฟือแล้วค่อยไปกำจัดบอสตัวที่สองและตัวสุดท้ายตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่มีมอนสเตอร์มาคอยกวนใจแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของบอสระดับเทพเจ้าเลเวล 35 ก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่ปาร์ตี้เล็ก ๆ จะสามารถรับมือได้อยู่ดี นักรบโล่จะสามารถป้องกันการโจมตีของบอสได้ก็ต่อเมื่อใช้สกิลป้องกันกับได้รับบัฟจากนักบวชเท่านั้น หากปราศจากสองสิ่งนี้แล้ว พวกเขาอาจจะถูกบอสฆ่าภายในพริบตาเลยก็ได้

ผู้ที่อยู่แนวหลังเองก็ประสบปัญหาคล้าย ๆ กัน นอกจากสกิลที่มีพลังโจมตีสูงจะสร้างความเสียหายได้นิดหน่อยแล้ว การโจมตีปกติของพวกเขาไม่สามารถเจาะทะลุพลังป้องกันของบอสได้เลย!

การจัดการกับบอสระดับเทพเจ้า หากไปเจอมันในป่า พวกเขาจำเป็นต้องใช้แผนการตะลุมบอนด้วยจำนวนคนที่มากกว่า อย่างสักหมื่นคน หรือไม่ก็สักแสนคนเพื่อความแน่ใจ

แต่สิ่งนั้นใช้ไม่ได้กับบอสตัวสุดท้ายที่อยู่ในดันเจี้ยนอสูรภูผาอย่าง ‘ยักษ์ปีศาจ’ ตนนี้ ร่างกายของมันสูงใหญ่ดั่งทิวเขา ต่อให้จะมีคนมากกว่านี้อีกสักเท่าตัว ท้ายสุดแล้วพวกเขาก็จะโดนมันเหยียบตายอย่างหลีกหนีไม่ได้

เหตุผลที่ทำให้จักรวรรดิกาลาดูสามารถเอาชนะยักษ์ปีศาจได้เมื่อครั้งก่อนนั้น ก็เพราะเซียวเฟิงที่สามารถลดพลังชีวิตมันลงไปได้มากถึง 90% ถึงแม้ว่าถ้อยวาจาแห่งเงาที่สามารถฟื้นฟูพลังชีวิตให้พันธมิตรและสร้างความเสียหายให้กับศัตรูจะดูไม่ได้รุนแรงมากนัก หากเป้าหมายเป็นผู้เล่นหรือมอนสเตอร์ ทว่าหากเป้าหมายเป็นบอสที่แข็งแกร่งแล้วล่ะก็ ความรุนแรงมันก็จะมากขึ้นไปด้วย

ดังนั้นแล้วสำหรับดันเจี้ยนที่กำหนดจำนวนสมาชิกในปาร์ตี้ การปรากฏตัวของบอสระดับเทพเจ้าจึงกลายเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่ผู้เล่นธรรมดาจะสามารถเอาชนะไปได้ เพราะแบบนี้ผู้เล่นทั่วไปจึงยอมแพ้กับบอสตนนี้ พวกเขาเพียงกำจัดบอสตัวที่หนึ่งและสองเพื่อเก็บเอาของที่มันดร็อปไปเท่านั้น

ปาร์ตี้ของหลีเซียนหยุนเองก็เช่นกัน หลังจากที่พวกเขาพยายามมาสองวันเต็ม พวกเขาก็ยังไม่สามารถกำจัดบอสเทพเจ้ายักษ์ปีศาจตนนี้ได้เสียที ไม่ว่าจะเป็นพลังโจมตีไม่พอหรือถึกไม่พอ ทุกอย่างกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ ขนาดต่อให้พวกเขาจะจัดปาร์ตี้ใหม่กับคนที่เคยเข้าร่วมเมื่อครั้งเปิดดันเจี้ยน ผลลัพธ์มันก็แทบจะไม่ต่างจากเดิม ปาร์ตี้ของพวกเขาได้พลังโจมตีเพิ่มขึ้นอีก 20% หากแต่ท้ายสุดก็ถูกบอสปัดกระจุยกระจายตายกันระนาวเช่นเดิม

เพราะแบบนี้หลีเซียนหยุนจึงคิดถึงเซียวเฟิงขึ้นมา ตอนนี้ทุกคนในปาร์ตี้ของเธอคือปาร์ตี้ที่เคยร่วมเปิดดันเจี้ยนนี้ยกเว้นเซียวเฟิง การที่พวกเธอทำไม่สำเร็จก็เพราะขาดเซียวเฟิง สิ่งนี้มันคิดออกได้ไม่ยากเลยหากพิจารณาดี ๆ

“จริง ๆ ด้วย… ความเสียหายหลักที่เกิดขึ้นมาจากเขาล้วน ๆ แต่เขาเป็นแค่นักบวชไม่ใช่หรือไง? ทำไมเขาถึงมีพลังโจมตีรุนแรงขนาดนั้นล่ะ? มีผู้เล่นที่แข็งแกร่งขนาดนี้ปรากฏตัวในเขตฮันกึลตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?”

ท่ามกลางความชุลมุนที่เหล่าผู้เล่นทุกคนต่างพากันวิ่งหนีสกิลหินถล่มของยักษ์ปีศาจ หลีเซียนหยุนก็หันไปมองหลอดพลังชีวิตของมันที่หายไปกว่า 50% แล้วไปด้วย จึงอดไม่ได้ที่เธอต้องหันกลับมามองเซียวเฟิงที่วิ่งอยู่ข้าง ๆ อีกครั้ง

เธอไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยว่า เหตุใดนักบวชคนนี้ถึงได้มีสกิลโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง พลังชีวิตของยักษ์ปีศาจก็หายไปมากกว่าครึ่งแล้ว!

“หือ?”

ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ร่างของเซียวเฟิงก็หยุดนิ่งไป เขาเกือบจะโดนหินที่ถล่มลงมาจากด้านบนกระแทกเข้าไปแล้วด้วย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”

หลีเซียนหยุนที่กำลังจ้องไปยังเซียวเฟิงอยู่อดไม่ได้ที่จะถาม เพราะเธอรู้ว่าเซียวเฟิงนั้นแข็งแกร่งไม่ว่าจะด้วยพลังหรือบุคลิกภาพ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จู่ ๆ เขาจะมายืนนิ่งเช่นนี้โดยที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้

“ฉันต้องหาที่ล็อกออฟตอนนี้เลย!” เซียวเฟิงพูดพลางขมวดคิ้วไปด้วย

“ฮะ? นายต้องล็อกออฟอีกแล้วเหรอ?” เธอชะงักไปเลย เพราะครั้งก่อนที่กำลังสู้กับบอสยักษ์ปีศาจอยู่ เซียวเฟิงก็ต้องล็อกออฟไประหว่างที่กำลังสู้แบบนี้ไม่มีผิด

“อย่าบอกนะว่ามีใครบางคนมาดึงกางเกงนายอีกแล้วน่ะ?” เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน เธอก็อดที่จะบ่นไม่ได้

“ใช่ แล้วก็ไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย” เซียวเฟิงพยักหน้าด้วยความจริงจัง มันทำเอาหลีเซียนหยุนพูดอะไรไม่ออกไปเลย

“เอ่อ…นายช่วยทนไว้อีกสักหน่อยไม่ได้เหรอ? บอสมันเหลือพลังชีวิตแค่ครึ่งเดียวแล้วนะ เดี๋ยวฉันจ่ายค่ารักษาพยาบาลทวารหนักให้นายก็ได้หลังจากนี้” หลีเซียนหยุนพยายามโน้มน้าวหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง

“ไปไกล ๆ เลยไป!”

สีหน้าของเซียวเฟิงดูมืดมนขึ้นมาทันที เขาไม่พูดต่อให้ยืดยาวแล้วหันซ้ายขวาเพื่อหาที่วิ่งออกให้ไกลจากปาร์ตี้ หลังจากที่รู้สึกได้ว่าตนเองอยู่นอกระยะตรวจจับของบอสแล้ว เขาก็หามุมสงบ ๆ ก่อนจะล็อกออฟไปจริง ๆ

เมื่อลืมตาขึ้นมา ชายหนุ่มก็รีบถอดหมวกเล่นเกมออกและมองสิ่งที่เกิดขึ้นบนเตียงของตน เพียงเท่านั้นมันก็ทำเอาเขาแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธทันที

“เยี่ยม…เยี่ยมจริง ๆ นี่พวกเธอกล้าลงมือทำถึงขนาดนี้แล้วเหรอ? ละทิ้งชีวิตสงบสุขแล้วเลือกที่จะก่ออาชญากรรมกันแบบนี้ กินยาไม่พอกันหรือไง?”

เซียวเฟิงพูดด้วยความเคืองแค้น ภาพที่อยู่บนเตียงของเขาตอนนี้ จะเรียกว่าอุดมไปด้วยความมีชีวิตชีวาก็ได้ ไม่เพียงแค่นั้น มันยังอุดมไปด้วยสิ่งสวย ๆ งาม ๆ อีกด้วย

เพราะเขาหาที่สำหรับล็อกออฟนานไปหน่อย สภาพของเขาตอนนี้จึงไม่เหลือเสื้อผ้าบนตัวเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เขานอนเปลือยอยู่บนเตียงโดยในส่วนที่ไม่ควรเปิดเผยก็กำลังเปิดเผยต่อหน้าสายตาชาวโลกอย่างไม่สามารถปกปิดใด ๆ ได้อีก

ผ้าห่มของเขาถูกดึงลงไปกองอยู่กับพื้นโดยที่สิ่งที่อยู่บนเตียงแทนก็คือ หลิวเฉียงเหว่ย เฉียนโตวโตว และซือเยี่ยจิ๋ง โชคยังดีที่เตียงของห้องนอนหลักนี้ใหญ่ เพราะงั้นการที่มีคนอยู่บนเตียงถึงสี่คนจึงไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอึดอัดแต่อย่างใด

ใบหน้าของทั้งสามสาวเต็มไปด้วยความเขินอาย ชุดของพวกเธอเองก็ยุ่งเหยิงไม่น้อยไปกว่ากันเลย พวกเธอค่อย ๆ คลานเข้าหาเซียวเฟิงที่อยู่กลางเตียงราวกับว่ามีจุดประสงค์ที่จะทำอะไรบางอย่าง

“เหวอ!!”

บางทีอาจจะเพราะการที่จู่ ๆ เซียวเฟิงก็ออฟไลน์เกมออกมา มันเลยทำให้หลิวเฉียงเหว่ยตกใจจนล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปกับเตียง และมันก็ทำให้เสื้อเชิ้ตตัวเก่งของเธอหลุดรุ่ยจนเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวสวยและชั้นในลายลูกไม้ขาวสะอาดที่อยู่ท่อนบนชัดเจน ผิวที่นุ่มละเอียดเหมือนปุยนุ่มเคียงคู่มากับความละมุนตายามที่ได้จ้องมอง และเอวบางเองก็ดูจะไร้ซึ่งไขมันส่วนเกินใด ๆ เลยทั้งสิ้น

“รีบ ๆ ใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปให้ไวเลย!” เซียวเฟิงพูดด้วยความโกรธที่ไม่คลายลง เขาลุกขึ้นมานั่งแล้วหันไปมองรอบ ๆ เพื่อหากางเกงในของตน เขาไม่รู้เลยว่าทั้งสามสาวถอดมันแล้วโยนไปไว้ที่ไหน

“อย่ากลัวเชียว…”

เฉียนโตวโตวหันไปกระซิบกับหลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋งเพื่อปลุกความกล้า

เธอเป็นฝ่ายเปิดฉากคลานเข้าไปหาก่อนอย่างรวดเร็วและกดหัวไหล่ทั้งสองข้างของเซียวเฟิงเพื่อบังคับให้เขาลงไปนอนใหม่ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเพิ่งจะลุกขึ้นมานั่ง หญิงสาวลุกขึ้นไปนั่งทับช่วงเอวของเขาไว้เพื่อกันไม่ให้เซียวเฟิงลุกขึ้นมาได้อีก

“คิดจะทำอะไรของเธอ?” เขาละสายตาจากการมองหากางเกงในของตนแล้วกลับมาจ้องเฉียนโตวโตวที่ขึ้นมานั่งขณะกล่าวถาม

ท่ามกลางทั้งสามสาว เฉียนโตวโตวเป็นคนที่เปิดเผยมากที่สุด ถึงแม้ว่าเธอจะเด็กที่สุดในบรรดาทั้งสามคนก็ตาม ขนาดยังไม่บรรลุสิบแปดปีบริบูรณ์ยังกล้ามากขนาดนี้…

กางเกงขาสั้นตัวเก่งของเธอถูกถอดออกไปแล้ว เหลือเพียงชั้นในสีฟ้าตัวสวยที่อยู่เบื้องล่างเท่านั้น มันทำให้เรียวขางามของสาววัยขบเผาะถูกเปิดเผยให้เห็นโดยไม่มีอะไรขวางกั้น ส่วนที่ท่อนบนนั้นยังมีเสื้อยืดสีเหลืองตัวเดิมที่เคยใส่อยู่แต่คอเสื้อของมันถูกดึงให้กว้างจนเผยให้เห็นไหล่เนียนไร้ที่ติของเธอ

การเผชิญหน้ากับแววตาของเซียวเฟิง เฉียนโตวโตวไม่ได้หลีกเลี่ยงหรือหลบตาแต่อย่างใด กลับกันเธอกลับเลือกที่จะกดไหล่ของเซียวเฟิงให้หนักขึ้นด้วยมือเรียวบางของเธอไปด้วย

“พี่เซียว พี่ไปนอนกับจืออี้มาแล้วใช่ไหม?” เด็กสาวจ้องมองและกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัยสุด ๆ

“อาจจะใช่มั้ง” ขณะที่ถูกจ้องมองโดยเฉียนโตวโตวตั้งแต่หัวจรดเท้า เซียวเฟิงก็ตอบกลับไปลวก ๆ เขารู้สึกได้เลยว่าตนเองไม่สามารถอยู่เหนือเฉียนโตวโตวในสถานการณ์เช่นนี้ได้เลย

“ทำไมพี่ถึงเลือกไปนอนกับเธอแทนที่จะเป็นพวกเรา?” เฉียนโตวโตวถามอีกครั้ง

“หา? ฉันไปนอนกับจืออี้แล้วจะทำไมน่ะ?” เซียวเฟิงถามด้วยความสงสัย

“ก็มันไม่ได้ไง! พวกเราอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแท้ ๆ! ทำไมพวกเราถึงกลายเป็นตัวสำรองได้ล่ะ!” ความกล้าของเฉียนโตวโตวเพิ่มขึ้นสูงกว่าเดิมมาอีกขั้นหนึ่งเมื่อได้ยินดังนั้น ขนาดที่หลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋งยังต้องตกใจและเลิกที่จะหวั่นเกรงเซียวเฟิงตามไปด้วย

“แล้วเธออยากจะเป็นเหมือนกับจืออี้หรือไง?” คราวนี้เซียวเฟิงถามด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป

“ใช่แล้ว!” อีกครั้งหนึ่งที่เฉียนโตวโตวตอบอย่างไม่ลังเลซึ่งหลิวเฉียงเหว่ยก็แอบพยักหน้าน้อย ๆ ด้วย

“แต่พวกเธอเป็นแค่คนธรรมดาเองนะ แถมพวกเธอเองก็ยังเป็นสาวพรหมจรรย์กันอยู่ด้วย…พวกเธอทนฉันไม่ไหวหรอกน่า”

เซียวเฟิงไม่ได้พูดเล่น ๆ นั่นเพราะนี่เป็นเรื่องจริง ร่างกายของเขามันแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ราวกับร่างของตนเป็นเหล็กกล้า ต่อให้เขาจะพยายามควบคุมมันแล้ว ร่างกายของผู้หญิงธรรมดาทั่ว ๆ ไปก็ไม่มีทางทนเขาได้หรอก

“แต่พวกเรามีกันตั้งสามคน! เพราะงั้นต้องทนได้อยู่แล้ว!” เฉียนโตวโตวยังไม่ยอมแพ้

“คิดดี ๆ ก่อน” เซียวเฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ชายหนุ่มรู้ดีอยู่แล้วถึงเหตุผลที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเขาที่ทำอะไรลงไปเพื่อเป็นการปกป้องจืออี้ มันเลยทำให้คนเหล่านี้ไม่สบายใจ

“คิดดีแล้ว!” เฉียนโตวโตวตอบอย่างไม่ลังเลใด ๆ ทั้งสิ้น

หลิวเฉียงเหว่ยก็พยักหน้าตามอีกครั้ง ซือเยี่ยจิ๋งที่มองไปยังเซียวเฟิงได้แต่กัดริมฝีปากล่างของตนเองไว้เบา ๆ ถึงอย่างนั้นเธอก็แสดงให้เห็นว่าตนเองยินยอมแต่ก็ซ่อนด้วยความซับซ้อนอยู่ภายในแววตา

นั่นเพราะก่อนหน้านี้หลิวเฉียงเหว่ยเคยบอกสิ่งสำคัญเอาไว้กับเธอ นั่นคือ ตัวตนของเซียวเฟิงเมื่อห้าปีที่แล้วก่อนที่เขาจะหลบจากโลกเบื้องหน้า

คนคนนี้คือไอดอลของซือเยี่ยจิ๋ง…ออลเรเลีย!

“รอฉันครึ่งชั่วโมง ฉันจะกลับไปฆ่าบอสก่อน มันเหลือพลังชีวิตแค่ครึ่งเดียวแล้ว” เซียวเฟิงพูดแล้วยื่นมือไปหมายจะหยิบหมวกเล่นเกมของตน

“ไม่ได้! พี่คิดจะหาทางหนีอีกแล้ว! จิ๋งจิ๋ง พี่หลิว! ช่วยฉันจับเขากดลงไปหน่อย!” เฉียนโตวโตวปฏิเสธ เธอคิดรวดเร็วประดุจศรที่ถูกยิงออกจากคันธนูนั่นเพราะเธอกลัวว่าหากปล่อยเวลาให้เลื่อนลอยไป เธอจะมีความกล้าเช่นนี้หลงเหลืออีกหรือเปล่า?

หลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋งเองก็เช่นกัน คนหนึ่งขยับขึ้นไปจับมือเซียวเฟิงกดเอาไว้ ส่วนอีกคนก็จับหมวกเล่นเกมของเขาโยนไปไกล ๆ มือด้วย

“โอเค ดูเหมือนว่าถ้าไม่สั่งสอนบทเรียนให้พวกเธอซะบ้าง มันคงจะไม่ได้สินะ ถ้างั้นฉันจะเริ่มจากเธอก่อนเลยก็แล้วกัน”

เซียวเฟิงพยักหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นเขาก็พลิกตัวกลับอย่างรวดเร็ว สลับตำแหน่งรุกรับโดยไม่ให้เป้าหมายทันตั้งตัว เพียงพริบตาเดียว เฉียนโตวโตวก็ถูกจับกดลงไปอยู่เบื้องล่างเขาแล้ว เสื้อยืดลายเป็ดสีเหลืองของเด็กสาวถูกถอดออกเผยให้เห็นเรือนร่างของสาวสวยวัยรุ่นอย่างชัดเจน

“เหวอ!! พี่เซียว…ชะ…ช่วยอ่อนโยนกับฉันด้วยนะ…”

เมื่อรู้ตัวแล้วว่าตนเองกำลังจะโดนอะไร เฉียนโตวโตวก็ดูจะวิตกขึ้นมาทันที อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนหรืออะไรทั้งสิ้น มีเพียงหลับตาลงช้า ๆ เพื่อยอมรับเท่านั้น

ด้วยความโกรธที่ยังคงหนักแน่นอยู่ในใจเซียวเฟิง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะอ่อนโยนกับเธอ เขาฉีกกระชากเสื้อผ้าของสาวน้อยเบื้องล่างออกอย่างไม่ใยดี ทำเอาเฉียนโตวโตวรู้สึกได้ถึงความขมขื่นและเจ็บปวดรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

นี่มันเป็นการต่อสู้โรมรันพันตูที่รุนแรงในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนเกินไป เพราะเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น คู่ต่อสู้รายแรกก็หมดสภาพไป เหลือทิ้งไว้เพียงลูกพลัมสีแดงเล็ก ๆ ไว้บนผ้าปูที่นอนเท่านั้นที่เป็นหลักฐานว่าใครชนะ

“ใครจะเป็นคนต่อไปดีล่ะ?”

หลังจากที่ดันร่างของเฉียนโตวโตวที่นอนหมดแรงออกไปด้านข้างแล้ว เซียวเฟิงก็หันกลับไปมองหลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋งที่ตอนนี้หน้าของพวกเธอแดงจนลามไปถึงหูแล้ว แววตาของทั้งสองสาวดูเขินอายขณะถูกถาม

เฉียนโตวโตวหมดสภาพไปแล้ว เธอเหนื่อยมาก ๆ ระดับที่ดวงตาที่งดงามของเจ้าตัวยังลืมตื่นได้เพียงครึ่งดวง ภาพที่เห็นเองก็คลุมเครือไปหมด หากไม่ฟังดี ๆ ล่ะก็ เสียงลมหายใจของเธอก็แทบจะไม่ได้ยินแล้ว

ภาพการต่อสู้อันร้อนแรงก่อนหน้านี้ ทั้งหลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋งต่างก็เป็นพยานให้ได้เพราะพวกเธอนั่งดูอยู่ในระยะประชิด เสียงของการครวญครางจากการกระทำที่ไร้ซึ่งความเหน็ดเหนื่อยของฝ่ายหนึ่งมันประจักษ์ชัดเจน หัวใจของพวกเธอแทบจะกระโดดออกมาผ่านทางลำคอด้วยความกังวล ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

แต่ถึงอย่างงั้นสิ่งที่พวกเธอคิดก็แสดงออกผ่านทางใบหน้าที่แดงก่ำกับดวงตาที่ชุ่มชื้นนั้นหมดแล้ว พวกเธอไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ต่างคนต่างก็จับขาของตนเองไว้แน่น

“อ๊ะ!!”

ไร้ซึ่งคำตอบ ท้ายสุดเซียวเฟิงก็ขี้เกียจจะรอ เขายื่นมือไปคว้าเอาหลิวเฉียงเหว่ยที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้ามาแล้วกดร่างนั้นลงไปกับเตียงโดยไม่สนใจเสียงร้องอุทานนั้น จากนั้นการต่อสู้ที่ดุเดือดก็ดำเนินขึ้นอีกครั้ง…