บทที่ 208 – ล่าทาส (2)
หลังจากค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้ว มาเรียก็ดูจะสับสนมากๆ
เธอได้มองไปรอบๆห้องอย่างตื่นตัวเหมือนกับเด็กที่เพิ่งตื่นมาจากฝันร้าย
“อย่าบอกนะว่า… ฉันทำมันไปอีกแล้ว…?”
เธอได้หยุดจ้องไปที่เศษแก้วที่แตกละเอียดก่อนที่จะเริ่มสะอื้นออกมา
มันไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากตาของเธอ
แต่ว่ามาเรียก็ได้ร้องออกมาอย่างโศกเศร้าในอ้อมกอดของซอลจีฮู ในเวลาเดียวกันเธอก็ยังคงไม่ปล่อยมือซ้ายของเขาที่ถือไม้กางเขนเอาไว้
“คุณมาเรีย…”
ซอลจีฮูได้ลูบหลังเธอด้วยสีหน้าแปลกๆ
จู่ๆก็ชะกระตุก สงบลง แล้วตอนนี้ก็ร้องไห้
ในตอนแรกที่ได้ยินว่าเธอบ้าไปเขาก็ค่อนข้างจะสงสัยอยู่ แต่ว่าในตอนนี้เมื่อได้เห็นอะไรแปลกๆในหัวของเธอ เธอก็คงจะเกิดแผลใจขึ้นหลังจากต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตายในระหว่างสงครามก็ได้
ซอลจีฮููที่เข้าใจในสถานการณ์ของเธอผิดไปเอง ได้ยิ่งรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม
ไม่นานนักมาเรียก็หยุดร้องไห้ และเช็ดน้ำตาออกไป
แต่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวออกมา
“ขอโทษนะ… ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นพี่ชาย…”
“เกิดอะไรขึ้น? นี่คุณฝันร้ายงั้นหรอ?”
เมื่อได้เห็นถึงความกังวลของเขา มาเรียก็ค่อยๆส่ายหัวออกมา
“ฉันไม่รู้… บางทีฉันก็อาจจะกำลังฝัน… หรือไม่ก็เห็นภาพหลอน…”
‘พระเจ้า!’
ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา เธอหนักถึงขั้นนี้แล้วงั้นหรอ นี่มันไม่ตลกแล้ว
“ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว คุณมาเรียยืนขึ้น คุณต้องได้รับการรักษา…!”
“ไม่! ไม่ได้”
มาเรียได้สะดุ้งขึ้นมาก่อนจะบิดตัวขัดขืน ดวงตาซอลจีฮูได้เบิกกว้างขึ้นมา
“ทำไมกันล่ะ?”
“ฉะ ฉันได้ลองรับการรักษาแล้ว”
“มันไม่ได้ผลหรอ?”
“ไม่เลย สิ่งที่ฉันเจอในตอนนี้มันไม่ใช่ปัญหาที่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจ มันไม่ใช่สิ่งที่เวทย์รักษาจะแก้ไขได้”
มาเรียได้รีบพูดทั้งหมดนี้ออกมา บาดแผลทางจิตใจไม่อาจจะใช้เวทย์รักษาได้ ซอลจีฮูที่ก็รู้ถึงเรื่องนี้ได้เม้มปากออกมา
“ถ้างั้นเป็นที่โลกเราล่ะ?”
“ฉันก็ไปมาแล้ว ฉันได้พยายามลืมทุกอย่างและพักผ่อน แต่ว่ามันก็ไม่ได้แสดงสัญญาณว่าดีขึ้นเลย ในท้ายที่สุดแล้ว ฉัน…”
มาเรียไม่อาจจะพูดจนจบประโยคได้ เมื่อได้เห็นเด็กสาวผมบลอนด์กำลังสะอื้น ดวงตาซอลจีฮูก็หม่นหมองลง
เธอจะต้องเจออะไรมาบ้างกันนะ? แก้มที่เคยแดงเปล่งปลั่งของเธอในตอนนี้ได้ซีดตอบ
จริงๆแล้วนี่คือผลจากการที่เธอได้ใช้เวลาทุกวันไปกับการดื่มเหล้า แต่ว่าซอลจีฮูที่ไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยได้กอดมาเรียแน่นด้วยความเห็นใจ
“มันคงจะลำบากมากสินะครับ”
“…อื้อ!”
มาเรียได้หยักหน้าโดยที่ยังผิงหน้าอกของเขาราวกับว่าเธอได้รอเวลานี้มาตลอด
“ฉันได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดเข้าร่วมสงคราม…”
‘นายบอกว่านายจะปกป้องฉัน ไอ้สารเลว’
“ผู้บัญชาการกองทัพน่ากลัวมาก…”
‘นายมันคือไอ้บ้าที่ตัวห่านั่นถามหาใช่ไหม? เชี้ยเอ้ย ฉันไม่คิดว่ามันจะมาฉันกระทันหันแบบนั้น!’
“แต่… แต่ว่าฉันได้พยายามเต็มที่ที่จะช่วยพี่…”
‘อาร์ติแฟคของฉานนน!’
“ฉันต้องลำบากมาก แต่ว่าไม่มีใครช่วยฉันเลย….!”
‘ช่างแม่งให้หมดเลย หากว่านายตื่นแล้ว ไม่ใช่ว่าอย่างน้อยนายก็ควรมาหาฉันหรอกหรอ? ไอ้เวร นายยังเป็นมนุษย์อยู่ไหม? นายมันไอ้สารเลวตัวจริงเลย!’
ภายในใจของมาเรียกำลังสบถออกมาอย่างเต็มที่
แน่นอนว่าซอลจีฮูที่อ่านใจเธอไม่ได้ก็ยังคงลูบหลังเธอด้วยความเห็นใจเธอต่อไป
“อืม อืม คุณทำได้ดีมากคุณมาเรีย ผมควรจะมาหาคุณให้เร็วกว่านี้….”
“ก็เออสิ ไอ้เวรเอ้ย”
มาเรียได้พูดสิ่งที่คิดออกมา จากนั้นก็รีบเงียบไป
“…ว่าไงนะครับ?”
“มะ ไม่มีอะไร จู่ๆพี่ชายก็ดูเหมือนกับผู้บัญชาการกองทัพ…”
เธอได้ปิดปากและยิ้มแห้งๆออกมา จากนั้นเธอก็มองมาที่อาร์ติแฟคไม้กางเขนด้วยตาเป็นประกาย
“แล้วนั่นคืออะไรหรอ?”
“อ่อ ผมเอามันมาให้คุณ”
‘เยี่ยมเลย! นี่มันเป็นอย่างที่คิดไว้’
มาเรียได้กำหมัดแน่น การอดกลั้นความโกรธ และการแสดงออกของเธอมันดูเหมือนกับว่าเธอกำลังมีปัญหาอยู่
“ผมได้ยินมาว่าคุณมาเรียได้จัดการโจมตีใส่ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์อย่างรุนแรง ถึงขนาดใช้พิธีกรรมอัญเชิญโยเนียร์เลยนะ”
“ไปได้ยินมาจากไหนกัน? น่าอายจริงๆเลย”
“อาย? ผมคิดว่ามันน่าทึ่งมาก! นี่อย่าปฏิเสธเลยนะ นี่มันเป็นของคุณนะ คุณมาเรีย”
“ไม่… ฉันรับมันไม่ได้… ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย…”
ร่างกายของเธอได้กระทำอย่างซื่อตรงต่างไปจากปากของเธอ
“ฟู่ววว…”
หลังจากได้รับเอาอาร์ติแฟคมาแล้ว เธอก็ได้ถอนหายใจยาวออกมา
ซอลจีฮูได้มองดูหญิงสาวกำลังยิ้มโล่งใจด้วยสีหน้าหวั่นใจ
เมื่อตะกี้นี้เธอทำหน้าเหมือนกับจะตายได้อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเลือดได้กลับมาที่หน้าซีดๆของเธอ และแก้มของเธอที่ตอบก็กลายเป็นอวบอิ่มและอมชมพูขึ้นมาอีกครั้ง
ริมฝีปากของเธอก็กลับมาเป็นสีปกติ และม่านตาของมาเรียก็ไม่ได้พร่ามัวอีกต่อไป สายตาที่นิ่งสงบของเธอได้จ้องมาที่ซอลจีฮู
นี่เธอรู้สึกซาบซึ้งกับอาร์ติแฟคงั้นหรอ? ไม่เลย
‘ไม่เลยสักนิด!’
นี่มันเป็นการขาดทุนชัดๆ
เมื่อคำนึงถึงปัญหาทั้งหมดที่เธอต้องป่านมา และเกือบจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว…
มาเรียก็ตัวสั่นขึ้นมา
ตอนนี้เหลือแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะต้องทำ นั่นก็คืออย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้อีก
โชคดีที่เธอก็มีข้ออ้างดีๆแล้ว มาเรียได้อ้าปากพูดออกมา
“แต่ว่า… ทำไมพี่ชายถึงมาล่ะ…? เพื่อให้เจ้านี่…?”
“เอ่อ ผมมาชวนคุณมาเรียไปร่วมปฏิบัติการกับคาเพเดี่ยม…”
เป็นอย่างที่เธอคิดเลย มาเรียได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างโศกเศร้า
“โอ้ไม่ ฉันก็อยากนะ แต่ว่าร่างกายของฉัน…”
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา
“ใช่แล้ว ผมคิดว่ามันคงช่วยไม่ได้ ผมจะบังคับลากคนที่บาดเจ็บไปกัผม…”
เขาได้ยอมถอยอย่างไม่น่าเชื่อเลย
‘ใช่แล้ว หากว่าเขาไม่ทำแบบนี้ เขาก็คงเป็นมนุษย์ที่ไม่มีมโนธรรมแล้วล่ะ! ไม่สิ เขามันปีศาจ!’
มาเรียได้ตัดสินใจทึ่จะตอกตะปูปิดฝาโลงทันที
“ใช่แล้ว ต่อให้ฉันตายฉันก็ไม่คิดว่าจะไป หากว่าพี่ชายต้องการนักบวชจริงๆล่ะก็ ฉันก็จะแนะนำให้ ฉันรู้จักคนดีๆอยู่นะ พี่ชายเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากๆ เพราะงั้นฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องตอบตกลงในทันทีแน่ๆ”
เธอไม่ได้โกหก เธอจะแนะนำนักบวชคนหนึ่งให้กับเขาจริงๆ
เมื่อเธอได้คิดเรื่องที่ว่านักบวชจะต้องทุกข์ทรมานกับชะตากรรมแบบเดียวกับเธอแล้ว เธอก็รู้สึกดีขึ้นเป็นพันเท่า
“ผมไม่รู้สิ”
ยังไงก็ตามการตอบรับจากซอลจีฮูค่อนข้างจะน้อย
“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะครับ แต่ว่า… มันเป็นการเสียเปล่าที่จะแบ่งของให้กับคนที่เราไม่ได้รู้จัก…”
เขาได้พึมพำออกมาราวกับกำลังพูดกับตัวเอง แต่ว่าหูของมาเรียไม่ได้ฟังผิดไป
‘มันเป็นการเสียเปล่าที่จะแบ่งของให้กับคนที่เราไม่ได้รู้จัก’
หูเธอได้ผึ่งขึ้นมา
‘ไม่!’
เธอได้สะบัดความคิดนี้ออกไป เธอจะไม่ยอมหลงกลอีกแล้ว
แต่ว่า… เธอก็ได้ถามออกไปเพื่อเป็นมารยาท
“ทำไมล่ะ? มีอะไรอีกแล้วหรอ?”
“นี่มันเป็นปฏิบัติการที่ดีจริงๆ… คุณมาเรียคิดว่าคนๆนั้นจะตอบตกลงไหมหากว่าผมมอบเงินให้เขาล่วงหน้าเป็นจำนวนมากเพื่อแลกกับการที่เขาจะไม่แบ่งของที่ได้ไป?”
“ฉันก็ไม่รู้สิ แต่ว่าคนปกติแล้วจะไม่ยอมรับในข้อเสนอแบบนี้… พี่ชายคิดจะจ่ายมากขนาดไหนกันล่ะ? ลองบอกฉันหน่อย ฉันจะได้ส่งข้อความไปให้เธอได้”
ซอลจีฮูได้หยิบเอากระเป๋าออกมา
‘ฮึ่ม ฉันพนันได้เลยว่ามันคงไม่มากนัก…’
มาจนถึงจุดนี้แล้วมาเรียไม่ได้มีความต้องการที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการเลยสักนิด เธอถามไปแค่เพราะความสงสัยเท่านั้นเอง เธอมั่นใจมากว่าเธอจะไม่ขยับแม้แต่นิดต่อให้เขาจะเอาเหรียญเงินออกมาเป็นร้อยเหรียญก็ตาม
แต่ว่านั่นมันก็จนกระทั่งซอลจีฮูเอาไข่วางลงบนโต๊ะเท่านั้น
เมื่อมาเรียได้เห็นไข่สีเหลืองทอง ดวงตาของเธอก็เกือบจะถลนออกมาจากเบ้า
ซอลจีฮูได้ใช้นิ้วชี้ไปที่ไข่ทองคำเปล่งประกาย
“นี่มันพอไหม?”
‘อะ ไอ้เวรนี่!?’
ดวงตามาเรียได้เริ่มหมุนวน
มันไม่ใช่เงิน
ไม่ว่าเธอจะขยี้ตากี่ครั้ง เธอก็ยังเห็นไข่ มันคือทอง ทองคำ!
แถมยังมีขนาดใหญ่อีกด้วย มันเทียบเท่ากับสองเหรียญทองได้เลย
เธอคิดว่าเธอได้ควบคุมใจเอาไว้แล้ว แต่ว่า… น้ำลายก็ได้ไหลออกมาจากปากที่อ้ากว้างของเธอ
“อึก”
มาเรียได้รีบเช็ดน้ำลายออกไป และพูดขึ้นมา
“พะ พี่ชาย นี่พี่บ้าไปแล้วหรอ? จ่ายล่วงหน้าด้วยทองคำเนี้ยนะ?”
“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าเธอจะไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆจากปฏิบัติการนี้ นี่คือเงื่อนไข”
ซ่าาาาห์!
ภายในใจของมาเรียกำลังคำนวนอย่างรวดเร็วด้วยความคิดวัตถุนิยมของเธอ มีเหตุผลง่ายๆที่ทำให้มาเรียได้กลายมาเป็นหนึ่งในคนบ้าทั้งหก
เงิน
มันก็เพราะว่าเธอคลั่งไปกับเรื่องของเงินตรา
เธอได้คำนวณทุกๆอย่างในโลกนี้ด้วยเงินตรา
ผู้คน? ชื่อเสียง?
ช่างแม่งสิ
มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เธอสนก็คือมันจะได้กำไรหรือไม่เท่านั้นเอง
“…ฟุดฟิดๆ”
อย่างในตอนนี้มาเรียกำลังสูดดมกลิ่นของทองคำด้วยจมูกของเธอ เธอไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่รุนแรงแบบนี้มาก่อนเลย
อึก มาเรียได้กลืนน้ำลาย และมองไปที่ซอลจีฮูด้วยสีหน้าซับซ้อน
‘เชี้ยยยย….’
มาเรียได้กัดริมฝีปากของตัวเอง
‘นี่มันรู้สึกเหมือนกับหุ้นตกลงกำลัง…’
หุ้นตกลง
มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อว่าหุ้นที่ดิ่งลงจะพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน้อยมันก็ในความเห็นของมาเรีย
[คนโง่ที่คิดว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่บนพื้น… จะได้มองดูอยู่ที่ชั้นใต้ดิน]
เมื่อนึกถึงคำพูดของหนังที่เธอเคยดูมา มาเรียก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆ
นี่มันคือสถานการณ์ที่มาเรียกำลังอยู่ชัดๆ
เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว มันไม่เคยมีอะไรดีเลยเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซอลจีฮู
ในเขตพื้นที่เป็นกลาง เธอต้องออกมาก่อนหลังจากที่ใช้เครื่องเซ่นของเธอไปแล้ว
ที่หมู่บ้านแรมแมน เธอก็ได้เจอกับประสบการณ์เฉียดตาย และต้องยอมทิ้งอาร์ติแฟคชิ้นสำคัญไปเป็นเครื่องเซ่น
ในสงครามเธอคิดว่าเธอจะตายไปแล้วจริงๆ และได้ใช้อาร์ติแฟคที่เธอใช้เงินเก็บทั้งหมดซื้อมาไปเป็นเครื่องเซ่น
หากว่าเธอยังคงตกลงไปมากกว่านี้อีก มันก็คงจะเป็นนรกจริงๆแล้วล่ะ
แต่ว่าหากจะบอกว่าเธอไม่ลังเลเลยก็ไม่ใช่
‘มันไม่ใช่ว่าเขาไร้ฝีมือ…’
เธอสามารถจะบอกได้ง่ายๆเลยจากการที่เขามอบเหรียญทองกับอาร์ติแฟคมาได้ง่ายๆ เขาไม่ได้กำลังโอ้เอียด แต่ว่าเขามีความสามารถที่จะรับมือกับรายจ่ายขนาดนี้ได้จริงๆ
เมื่อคิดแบบนี้ความโลภของเธอก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
‘วะ เวลาไม่อาจจะย้อนกลับไปได้…?’
ภายในหัวของเธอกำลังบอกว่าไม่ แต่ว่าร่างกายของเธอกำลังตะโกนออกมาว่า ‘หุ้นซอลจีฮูได้ตกลงมาพอแล้ว! มันถึงเวลาที่จะพุ่งกระฉูดแล้ว!’
ในแง่ของชื่อเสียงแล้ว อนาคตของสินค้าตรงหน้าเธอนี้สามารถจะคาดหวังได้อย่างไร้ขีดสุด การซื้อมันมาในตอนที่ยังราคาถูกจะเป็นวิธีที่ทำให้ได้กำไรสูงสุด มันจะไม่มีเวลาไหนที่ดีไปกว่านี้แล้ว
‘…ใช่แล้วล่ะ’
นายฆ่าฉันไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วงั้นนายจะทำมันอีกได้ยังไงกันล่ะ? มันถึงเวลาบอกลาความขมขื่นแล้ว มาเรียได้พึมพำกับตัวเอง กล้ำกลืนน้ำตาและตัดสินใจออกมา
จากนั้นเธอก็พูดขึ้นอย่างหนักแน่น
“เธออาจจะไม่ตกลง”
“หรอครับ?”
“ต่อให้เสนอเป็นทองคำ นักบวชก็ยังคิดว่ามันไม่ดีที่จะตอบรับข้อเสนอของพี่ชายก็เพราะว่าศักดิ์ศรีของพวกเขา”
โกหกแหละ หากได้เห็นไข่ทองคำนี่ นักบวชหน้าไหนๆก็ทำได้กระทั่งคุกเข่าเห่าออกมาด้วยซ้ำไป
“เอาเถอะนะ คงไม่มีทางเลือกแล้วสินะ ยังไงก็ขอบคุณนะ พักผ่อนเถอะครับคุณมาเรีย”
เมื่อซอลจีฮูได้หันหลังไปอย่างเสียใจ…
“ก็ช่วยไม่ได้นะ ฉันจะไปเอง”
มาเรียได้รีบหยุดเขาเอาไว้
“หืม? แต่ว่าคุณ-“
“ฉันก็แค่เหนื่อยเท่านั้นเอง หน้าต่างสถานะบอกฉันว่าฉันปกติดี พี่ชายก็คงไม่สงสัยในตัวฉันใช่ไหมล่ะ?”
“แต่ว่าพักสักหน่อยจะไม่ดีกว่าหรอ…?”
“ในเมื่อฉันได้พักมาหลายเดือนแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ฉันจะต้องหาวิธีอื่นแก้มันแล้ว ใครจะรู้ล่ะ? บางทีการออกไปข้างนอกก็อาจจะดีก็ได้ ช่วงนี้ฉันก็รู้สึกอุดอู้อยู่เหมือนกัน การได้สูดอากาศบริสุทธิ์อาจจะทำให้ฉันดีขึ้นก็ได้”
มาเรียได้พล่ามออกมาไม่หยุด
“จริงหรอ? คุณจะไม่เป็นไรนะ?”
“แน่นอนสิ! ฉันยิ่งกว่าสบายดีซะอีก”
ยังไงก็ตามเธอก็ยังดูเหมือนมีร่องรอยของความสงสัยและกังวลอยู่ เธอได้มองไปที่ไข่ทองคำ และพูดออกมา
“พี่ชาย~ ถ้าแบบนี้ ฉัน-“
“ไม่”
ยังไงก็ตามซอลจีฮูได้ปฏิเสธออกมา
“ในตอนนี้ ผมก็จะไม่ตอบว่าตกลงต่อให้เป็นคุณมาเรียก็ตาม แน่นอนว่าหากคุณมาเรียอยากจะได้เงื่อนไขก่อนหน้านี้ก็ได้เช่นกัน มันคือตัวเลือกของคุณ… แต่ว่าโดยส่วนตัวแล้วผมไม่คิดว่าคุณควรจะทำแบบนั้น”
เมื่อดูจากท่าทีจริงจังของเขา มันดูเหมือนกับว่าเขาจะไม่ยอมรับเงื่อนไขอื่นอีก
“จะ จริงหรอ?”
“ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงทองคำกันนะ ไม่ใช่เงิน… ไม่ต้องห่วงหรอก ทั้งคุณคาซุกิ กับเจ้าหญิงเทเรซ่าต่างก็ได้รับข้อเสนอด้วยเงื่อนไขเดียวกัน”
‘อะไรนะ?’
นักธนูจอมเย็นชากับเจ้าหญิงจอมละเอียดอ่อน
เมื่อได้ยินแบบนี้ เธอก็กลายเป็นมั่นใจขึ้นมา
มันจะต้องมีเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองคนเข้าร่วมปฏิบัติการแน่ๆ ไม่เช่นนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็คงจะไม่เข้าร่วมในเมื่อคนหนึ่งต้องยุ่งกับการตั้งทีม และอีกคนต้องรับมือกับสภาพการเงินของอาณาจักร
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นก็ได้”
“ขอบคุณที่เข้าใจกันนะครับ ยังไงก็ตาม เดี๋ยวผมจะบอกถึงแผนแล้วก็เงื่อนไขโดยละเอียด”
“ได้เลย แต่ว่าก่อนหน้านั้น….”
ทันใดนั้นมาเรียก็เข้ามาเกาะซอลจีฮู เธอได้แอบคล้องแขนเขา และพูดขึ้นนิ่งๆ
“พี่ชายยย ฉันหิวอะ”
“โอ้ ถ้างั้นเราก็ออกไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหม?”
มาเรียได้เงยหน้ามองซอลจีฮู ก่อนจะหยักหน้าออกมา
“อื้อๆ! ซื้อของอร่อยๆให้ฉันเยอะๆเลยนะ!”
“ได้เลย แต่ว่าอย่าเกาะผมแบบนี้สิ…”
“อ๊าาา~ มันก็เพราะฉันเหนื่อยนี่นา~”
เมื่อได้ข้ามเส้นมาแล้วจะไม่ย้อนกลับไป
นี่คือกฏเหล็กของมาเรีย
และเพราะงั้นมาเรียจึงเกาะซอลจีฮูเหมือนกับปลิง
***
ปฏิบัติการได้เริ่มเป็นรูปร่างมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาได้นักบวชมา พวกเขาได้ทำส่วนที่ยากที่สุดสำเร็จไปแล้ว และในตอนนี้เหลือก็แค่ขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น
จางมัลดงได้อวยพรให้เขาโชคดี จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ภูเขาหินยักษ์พร้อมกับสองพี่น้องยี่
หลังจากตรวจดูของที่จำเป็นสำหรับปฏิบัติการแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ไปที่คอกม้า แม้ว่าจุดหมายของพวกเขาจะเป็นเขตพรมแดน แต่ว่าการหารถม้าก็ไม่ได้ยากเกินไปเพราะที่นั่นอยู่ใกล้กับฝั่งสหพันธรัฐมากกว่า
ด้วยการเพิ่มเงินพิเศษไปหน่อย ซอลจีฮูก็สามารถจะเซ็นต์สัญญารถม้าที่ใช้เดินทางไปเขตพรมแดนได้สองคัน
ในสุดท้ายเขาก็ได้ซื้อชุดหอกกับเกราะธรรมดามาโดยคิดว่าจะใช้มันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขารู้ว่าเขาจะสามารถซื้ออุปกรณ์ที่ดีขึ้นได้เมื่อเขาได้เจอกับมรดก เพราะงั้นเขาไม่อยากที่จะใช้จ่ายไปโดยไม่จำเป็น
วันเวลาได้ผ่านไป และวันเดินทางก็ได้มาถึง
ประตูทางใต้ของฮารามาร์คนั้นเงื่อนสงบ บางทีอาจจะเพราะว่ามันยังเช้าอยู่
“อ๊า เขามาแล้ว”
“ซอลลล!”
คาซุกิกับเทเรซ่าได้มาถึงแล้ว และกำลังคุยกันอยู่ มาเรียก็มาได้ตรงเวลาเช่นกัน
แปดคน เป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงห้าคน และระดับ 4 สามคน
นี่เป็นทีมที่น่าเกรงขามที่มีระดับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.6
หลังจากกล่าวทักทายกันสั้นๆแล้ว ซอลจีฮูก็ได้มองไปรอบๆด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ เขารู้สึกเหมือนกับว่าเมื่อวานเขายังมาที่ฮารามาร์คโดยไม่มีอะไรเลยนอกจากกระเป๋า แต่ว่าในตอนนี้เขากำลังนำทีมปฏิบัติการที่มีความสามารถสูงแบบนี้
เมื่อทุกๆคนได้มาถึง พวกเขาก็ได้แบ่งกันเป็นสองกลุ่ม กลุ่มล่ะสีคน และแยกกันไปขึ้นรถม้า
นักธนูสองคนคาซุกินกับมาแชล จิโอเนียได้แยกออกมาจากกันเป็นคู่แรก และคนที่เหลือก็ตัดสินใจกันเองว่าอยากขึ้นรถม้าคันไหน
ซอลจีฮูได้ชั่งใจว่าจะนั่งคันไหนก่อนที่จะเห็นฟีโซรากระโดดขึ้นรถม้าของคาซุกิ และได้ตามเธอไป นี่มันก็เพราะเขารู้สึกว่าเขาจะไม่เบื่อในระหว่างการเดินทาง
จากนั้นในทันทีที่เขานั่งลงอยู่ด้านใน เทเรซ่าก็รีบเข้ามา และปิดประตูลง
-เชี้ย!
มาเรียได้ตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจที่ช้าไปก้าวหนึ่ง
“เต็มแล้วน้า~”
เทเรซ่าได้พูดออกมาอย่างสดใสก่อนที่จะนั่งลงข้างๆซอลจีฮู และฮัมเพลงออกมา
“ทำไมเธอถึงอารมณ์ดีแบบนั้นล่ะ?”
ฟีโซราได้เริ่มคุยกับเธอ
เทเรซ่าได้ยิ้มแปลกๆออกมา
“เพราะว่าฉันได้รับของขวัญดีๆมา”
“ของขวัญ?”
“อา บางทีมันอาจจะเป็นของขวัญที่ลามกสักหน่อย”
เทเรซ่าที่พูดแบบนี้ได้เหลือบมองซอลจีฮูและหัวเราะออกมา
คิ้วของฟีโซราได้ขมวดขึ้นมา หลังจากมองดูเทเรซ่าอย่างเมินเฉยแล้ว เธอก็แอบดึงคอเสื้อของเธอเอง และมองลงไป
จากนั้นเธอก็มองไปที่เทเรซ่า
“เป็นไปได้ไหมว่า”
ฟีโซราได้มองลงไปที่คอเสื้ออีกครั้ง และถามออกมา
“เธอก็ยัง…?”
เทเรซ่าได้กระพริบตาออกมา
“?”
“เธอใส่พวกมันอยู่หรอ?”
“หืม?”
“ฉันก็มีเหมือนกัน”
เมื่อเห็นเทเรซ่าขยับข้างมาที่เสื้อของเธอ ฟีโซราก็ปล่อยือและหยักหน้าออกมา
“มันรู้สึกเสียเปล่าที่จะโยนมันทิ้งไป เพราะงั้นฉันก็เลยลองใส่ดู มันก็ดีแหละ แถมยังพอดีตัวเลยด้วย”
เทเรซ่าได้กลายเป็นมึนงงขึ้นมา ไม่นานนักเธอก็หรี่ตามองไปด้านข้าง
ยังไงก็ตามซอลจีฮูกำลังสนใจสิ่งอื่นอยู่ พูดให้ชัดคือเขาได้เปิดประตูเล็กน้อย และกำลังมองดูกำแพงเมืองฮารามาร์ค
ปฏิบัติการนี้อาจจะเป็นภารกิจสุดท้ายในฮารามาร์คของเขาแล้ว
แม้ว่าเขาจะจากไปเพื่อไปในจุดที่สูงกว่าเดิม แต่เขาก็ยังรู้สึกยึดติดอยู่กับที่นี่ มันคือที่ที่ทำให้เขาได้เติบโตขึ้นมาในพาราไดซ์
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฟีโซราถึงไม่อาจจะทิ้งกุหลาบขาวได้ง่ายๆ
ไม่นานนักคนขับรถม้าก็ตะโกนออกมา
เมื่อรถม้าดูเหมือนจะเริ่มขยับแล้ว ซอลจีฮูก็ปิดประตูลง เขาได้กัดฟันแน่นพร้อมทั้งรู้สึกถึงอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้พวยพุ่งอยู่ในตัว
‘ในที่สุด!’
ในที่สุดสัญญาณแห่งการเดินทางของปฏิบัติการแรกและสุดท้ายที่ซอลจีฮูได้วางแผนและดำเนินการในฮารามาร์คก็ได้เริ่มต้นขึ้น
***
หลังจากออกจากฮารามาร์ค กลุ่มพวกเขาก็ได้มุ่งหน้าสู่ทางใต้ เนื่องจากว่าอีวาเป็นเมืองที่ใกล้กับสหพันธรัฐที่สุด การไปที่นั่นจึงค่อนข้างจะใช้เวลาพอสมควร
‘มันไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย’
เพราะว่าถนนไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนกับถนนซาร่าห์ที่ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างสกีเฮราซาร์ดกับฮารามาร์ค เขาจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับทุกอย่าง
รถม้าได้ออกวิ่งเต็มกำลังหลังจากออกมาจากฮารามาร์ค รถม้าไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่นิด ยกเว้นก็แค่เสียงพวกเขาหยุดตั้งแคมป์หรือหยุดพักม้าเท่านั้น
แทนที่จะพูดว่าโชคดี มันก็คงต้องขอบคุณคาซุกิมากกว่า
สมแล้วที่เป็นระดับสูงในหมู่ระดับสูง นักธนูที่ชาวฮารามาร์คจะคิดถึงเป็นคนแรก เขาได้ตรวจพบตัวตนที่เข้ามาใกล้รถม้า และเปลี่ยนเส้นทางรถม้าไปได้ในทันที
มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่กลุ่มได้เจอกับสัตว์ป่าหิวกระหายเข้าโจมตี แต่ว่าพวกเขาก็ได้ลูกธนูของคาซุกิกับมาแชล จิโอเนียจัดการไปโดยที่พวกมันยังไม่ทันได้เข้าใกล้
แม้กระทั่งโชฮงก็ยังบ่นว่าไม่มีอะไรให้ทำเลย
ขณะที่ทุกๆอย่างกำลังเป็นไปอย่างราบรื่นก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา มันเกิดขึ้นในวันที่ห้า
“หาวววว-“
ขณะที่ซอลจีฮูกกำลังมองดูฟีโซราหาวออกมาอย่างเบื่อหน่าย ฟีโซราก็สังเกตเห็นสายตาของเขา เธอได้ปิดปากลงและมองกลับมา
“มองหาอะไรล่ะ?”
“ลิ้นไก่ของคุณ”
“ทำไมนายถึงมองลิ้นไก่ของฉัน?? นายเป็นโรคจิตงั้นหรอ?”
“ไม่ ผมก็แค่สนใจสิ่งที่มันห้อยลงมา”
“นายคิดว่ามันน่าสนใจงั้นหรอ? นี่คือมารยาทที่นายมีกับผู้หญิงงั้นสิ?”
จากนั้นเธอก็รีบหันหลังกลับไปมองรอบตัว เธอได้ขมวดคิ้วขึ้น และถามออกมาด้วยสีหน้าสับสน
“รถม้าชะลอความเร็วลงหน่อยนึง… ใช่ไหม?”
“พวกเราเพิ่งจะออกมาจากที่รกร้าง ถ้าเราวิ่งเร็วบนเส้นทางป่า ล้ออาจจะเสียหายหรือรถม้าจะผลิกคว่ำได้”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างชัดเจน แต่ว่าฟีโซราได้เอียงหัวออกมา
“จริงงั้นหรอ? แต่นี่มันช้าไปไหม? ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจน”
“บางทีตอนนี้คุณคาซุกิอาจจะกำลังควบคุมความเร็วอยู่ ผมมั่นใจว่าหากมีอะไรเกิดขึ้น เขาจะต้องบอกเราแน่”
ซอลจีฮูได้ชี้ไปบนเพดานและพูดขึ้น
“เอาเถอะนะ นั่นก็จริง…”
ฟีโซราได้เกาหัว จากนั้นก็แค่นเสียงออกมาเมื่อเห็นเทเรซ่าใช้น่องซอลจีฮูเป็นหมอนนอนหลับไป
“เธอจะนอนไปอีกนานแค่ไหน? เธอดูเหมือนกับหญิงสาวที่สง่างาม แต่ดูที่เธอทำสิ… ยังไงก็เถอะ เรายังต้องไปอีกไกลแค่ไหน?”
“เราจะไปถึงเขตพรมแดนของมนุษย์ในวันพรุ่งนี้”
“แต่ว่าหลังจากนั้นเราจะต้องเดินกัน”
“มันก็ไม่ได้ไกลหรอก รถม้าน่าจะไปส่งถึงทางเข้าพรมแดน-“
จากนั้นเองจู่ๆม้าก็เริ่มร้องออกมา
ต่อมารถม้าก็ได้ส่ายพร้อมเสียงดังลั่นก่อนที่จะช้าลงอย่างกะทันหัน
ใบหน้าซอลจีฮูได้หมองลงไป
‘อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น?’
ฟีโซราได้แค่นเสียงออกมา
“เห็นไหมล่ะ? ฉันบอกแล้วว่ามีอะไรแปลกๆ”
“นี่มันหมายความว่ายังไง”
ขณะที่ซอลจีฮูถามกลับไป…
ตึง ตึง ตึง! เสียงเคาะเพดานได้ดังออกมา
เทเรซ่าได้เด้งตัวขึ้นมาทั้งๆที่ตาปรืออยู่
เมื่อซอลจีฮูได้รีบเปิดประตูออกไป คาซุกิที่นั่งอยู่บนหลังคาก็ไถลตัวลงมา และเข้ามาในรถม้า
“ซอล พวกเราต้องหยุดรถม้า เดี๋ยวนี้เลย”
คาซุกิได้พูดออกมาอย่างกะทันหัน เขาพูดเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าหากเป็นแบบนั้นเขาก็คงจะไม่ลงมาแน่
บางทีอาจจะมีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้นทำให้ฟีโซราได้ชักดาบออกมา และเทเรซ่าที่งัวเงียก็ได้ค้นหาโล่ของเธอ
ซอลจีฮูได้ยกหอกที่ซื้อมาและถามขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันก็ไม่รู้แน่ชัดเท่าไหร่ ฉันจะต้องไปบนพื้นถึงจะรู้”
บางอย่างที่ความสามารถในการค้นหาของคาซุกิตรวจจับไม่เจอ?
ซอลจีฮูได้รู้สึกกังวลขึ้นมาหลังจากไม่ได้รู้สึกมาสักพัก และบอกให้คนขับรถม้ารู้ถึงสถานการณ์
เมื่อรถม้าหยุดลง พวกเขาทั้งสี่คนก็กระโดดออกมาในทันที และรถม้าที่ตามหลังมาก็ยังชะลอความเร็วเพื่อหยุดลง
โชฮงกับอีกสามคนได้กระโดดลงมาในทันที และเดินเข้ามาหา
“เฮ้ ทำไมนาย-“
ยังไงก็ตามเธอได้เงียบลงไปในทันทีที่เห็นคาซุกิหลับตาคุกเข่าลง มือของเขาอยู่บนพื้น และหูของเขาก็แนบไปกับพื้น
สมาชิกทีมได้ตีกรอบล้อมคาซุกิ มาเรีย และคนขับรถม้าในทันที
สิ่งเดียวที่พวกเขามองเห็นก็มีแค่ทุ่งหญ้าไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?
ลมอ่อนๆได้พัดมา
ซ่า ซ่า
ซอลจีฮูที่รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากหญ้ากกที่สั่นไหว ได้ตั้งท่าขว้างหอกและเพ่งมองไป
“อะ อะไรน่ะ?”
โชฮงที่ยืนอยู่แนวหลังได้ถามออกมาโดยไม่ล่ะสายตาไปจากป่า
คาซุกิที่กำลังนอบอยู่ได้ยกมือขึ้นมา เขากำลังบอกให้ทุกคนเงียบ
“นี่…”
เขาได้ขมวดคิ้วขึ้นมาราวกับว่ามันยากที่จะหาผลลัพธ์ใดๆ
“นี่มันไม่ใช่การสั่น… เสียงหญ้า? ไม่… มันเร่งรีบ…”
ฮิวโก้ได้กลับไปด้วยสีหน้าอย่างว่า ‘นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?’
ทันใดนั้นเองคาซุกิก็ผงะไป
“…เสียงของลม”
เขาได้พูดออกมา
“นายบอกว่าเสียงของลมงั้นหรอ?”
โชฮงได้ถามขึ้น แต่ว่าคาซุกิไม่ได้ตอบกลับมา เขาได้ลุกขึ้นมาทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ และส่ายหัวจากซ้ายไปขวา
มันราวกับว่าเขากำลังเดินตามกระแสลม
จากนั้นจู่ๆ-
“จิโอ!”
“60 องศาจากทางซ้ายของหัวรถม้า!”
ในเวลาเดียวกัน
“จิโอเนียต่างหาก”
จิโอเนียได้ตอบกลับอย่างสงบ และเล็งหน้าไม้ออกไป จากนั้น-