พวกเขากังวลจนเกินเหตุไปแล้ว มู่เฉียนซีเป็นถึงผู้นำตระกูลมู่ และยังเป็นผู้นำที่ตึกหอหมอปีศาจ ดังนั้นนางกล่าวคำใดย่อมเป็นคำนั้น
แม้ว่าจะมีผู้อาวุโสอยู่ในครอบครัว แต่มู่อวู่ซวงก็รักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้คนเดียวของเขาตลอดมา
มู่เฉียนซีส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ใช่ยาเม็ดแต่เป็นพวกมัน” นางชี้ไปที่สัตว์วิญญาณที่ถูกทำให้เชื่อง สัตว์วิญญาณเหล่านี้พลันตื่นขึ้น ทําให้เหล่านักผจญภัยตกใจอย่างมาก
แต่พวกเขากลับพบว่าสัตว์วิญญาณเหล่านี้เปลี่ยนไปมาก จากที่ดุร้าย พวกมันกลับกลายเป็นอ่อนโยนไม่โจมตีผู้คน
พวกเขาตะลึงงันกันไปหมด “เจ้าหนุ่ม สัตว์วิญญาณเหล่านี้เชื่องได้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
“เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้า… เจ้าเป็นผู้ฝึกสัตว์วิญญาณ!”
มู่เฉียนซี “มิใช่หรอกท่านพี่ใหญ่ทั้งหลาย บังเอิญว่าเมื่อวานข้าจับสัตว์วิญญาณได้มากมาย ผู้ฝึกสัตว์วิญญาณของข้าจึงฝึกพวกมันทั้งหมดให้เชื่อง และข้าก็ไม่สามารถพาพวกมันทั้งหมดไปได้ ดังนั้นข้าจึงอยากมอบมันให้กับพี่ใหญ่ทุกท่าน”
“มีผู้ฝึกสัตว์วิญญาณมาที่เมืองฉู่แล้วรึ ?!” พวกเขากล่าวอย่างตกตะลึง
“เจ้าหมอนั่นมีหน้าที่ปกป้องข้าอย่างลับ ๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ หากพี่ใหญ่ทุกคนรังเกียจไม่อยากทําพันธสัญญากับพวกมัน เช่นนั้นฆ่าพวกมันทิ้งเสียก็ได้”
สัตว์วิญญาณที่เชื่องเหล่านี้มีค่าเพียงใด เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้
พวกเขากล่าวว่า “เอ่อ… พวกข้าไม่รังเกียจเลย เพียงแต่พวกข้าเกรงใจที่จะรับมันจริง ๆ สัตว์วิญญาณเหล่านี้มีค่ามากเกินไป”
“ใช่แล้ว!”
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกท่านอย่าได้เกรงใจไปเลย สถานการณ์ของเมืองฉู่ในเวลานี้ ต่อให้ข้าจะขายก็ไม่มีใครซื้อได้ อีกทั้งการทำพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและทำให้สามารถปกป้องเมืองฉู่ได้ดียิ่งขึ้น มีแต่ได้กับได้”
“แต่ว่า…”
สิ่งล้ำค่าเช่นนี้ พวกเขารับมาก็คงไม่มีอะไรตอบแทนเจ้าหนุ่มผู้นี้ได้ พวกเขาเกรงใจจริง ๆ
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “พี่ใหญ่ทั้งหลายอย่าได้ลําบากใจเลย เมื่อหอหมอขายยาของข้ามาเปิดที่เมืองฉู่ คงต้องขอให้พวกท่านช่วยดูแลให้ดี”
เมืองฉู่ไม่ใช่สถานที่ที่จะทําการค้าได้อย่างราบรื่น แต่ด้วยการสนับสนุนจากเหล่านักผจญภัยอิสระกลุ่มนี้ ในอนาคตการค้าขายยาและการรับซื้อสมุนไพรวิญญาณจะต้องราบรื่นอย่างมากเป็นแน่แท้
แน่นอนว่าสัตว์วิญญาณเหล่านี้มีไว้เพียงเพื่อการฝึกฝนเท่านั้น ไม่ได้มีการใช้งานพิเศษใด ๆ สู้เอาไปลงทุนเพื่อพัฒนาหอหมอปีศาจที่นี่ของนางในอนาคตจะดีกว่า
มู่เฉียนซีทําตัวใจกว้างเช่นนี้ หากพวกเขาไม่ใจอ่อน นั่นคงเป็นเรื่องโกหก
พวกเขากล่าว “ได้แน่นอน หอหมอขายยาของเจ้าที่จะมาเปิดในเมืองฉู่ในวันข้างหน้า พวกข้าต้องไปยินดีเป็นคนแรก”
“หากใครกล้าสร้างปัญหา พวกข้าจะไม่ปล่อยมันไป”
“เมื่อพวกข้าพบสมุนไพรวิญญาณใดที่ดี ๆ ในเทือกเขาชีชง พวกข้าจะขายให้ร้านเจ้าก่อนเป็นร้านแรก”
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “สิ่งที่ข้าต้องการคือคํากล่าวนี้ของพวกท่าน รีบทําพันธสัญญาเร็วเข้าเถิดพี่ใหญ่ทั้งหลาย ถึงอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าการอาละวาดก่อจลาจลของสัตว์วิญญาณในเทือกเขาชีชงครั้งนี้เป็นเรื่องผิดปกติ”
“ตกลง!”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ พวกเขาย่อมไม่เกรงใจ รีบเร่งทําพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณอย่างรวดเร็ว
เวลานี้พวกเขารู้สึกราวกับกําลังฝันไป นักผจญภัยอิสระอย่างพวกเขาไม่มีภูมิหลังใด ๆ และต่อให้จับสัตว์วิญญาณทั้งเป็นมาได้ ก็เชิญผู้ฝึกสัตว์วิญญาณมาช่วยฝึกสัตว์วิญญาณไม่ได้ ตลอดชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะมีสัตว์พันธสัญญาสักตัวหนึ่งได้
ทว่า… ตอนนี้พวกเขาสามารถครอบครองสัตว์วิญญาณที่เชื่องแล้ว และผูกพันธสัญญากับพวกมันได้อย่างง่ายดาย
“โฮกกก!”
เสียงคํารามของสัตว์อสูรราวกับสายฟ้าดังมาจากเทือกเขาชีชง สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก
“สวรรค์! นั่นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”
“เหตุใดถึงได้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ?”
“โอ้…!”
การอาละวาดก่อจลาจลของสัตว์วิญญาณทั่วไปถูกจํากัดเฉพาะในวงสัตว์วิญญาณเท่านั้น สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถเข้าร่วมได้
แต่วันนี้ เรื่องแปลก ๆ ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
“รีบแจ้งท่านเจ้าเมือง และรีบไปเชิญยอดฝีมือระดับจักรพรรดิมาเร็วเข้า เร็ว!”
ระดับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นต้องมียอดฝีมือระดับจักรพรรดิถึงจะรับมือได้ ภายใต้ระดับราชาอย่างพวกเขานี้ การต่อกรกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องตายเปล่าเป็นแน่แท้
ทั่วทั้งเมืองฉู่ตกอยู่ในความหวาดผวา ตั้งแต่อยู่เมืองฉู่มา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นว่ามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เข้ามาร่วมอาละวาดไปกับสัตว์วิญญาณ
นอกจากนี้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสองตัว แต่มันมากันเป็นกลุ่ม!
สีหน้าของนักผจญภัยทั้งหลายพลันเผือดซีด บางคนถึงกับถอดใจ
จางอี้ ผู้นำกลุ่มนักผจญภัยอิสระถึงกับตะโกนว่า “ป้องกันไว้! รอยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเข้ามาช่วย”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องไว้ให้ได้!”
สัตว์วิญญาณที่เพิ่งทําพัธสัญญานั้นมีประโยชน์อย่างมาก พวกเขารู้สึกขอบคุณเจ้าหนุ่มมู่ซีที่ให้โอกาสพวกเขาได้เพิ่มพลังการต่อสู้เป็นสองเท่า แม้ว่าจะหยุดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไว้ไม่ได้ แต่ก็สามารถถ่วงเวลาให้นานขึ้นได้
ทหารผู้น้อยของนักผจญภัยกลุ่มย่อยหลางเทียนกล่าวเสียงสั่น ๆ ว่า “ท่านผู้นำกลุ่ม ดะ… ดูนั่น… พวกเขา…”
หลางเทียนบันดาลโทสะ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “มองอะไรเล่า ?! พวกเขาไม่ถอย เราก็รีบหาวิธีที่จะถอยซะ!”
หลางเทียนจากไป ใจเขารู้สึกว่าตนเองมาเจอเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้เข้าเสียแล้ว
พวกนักผจญภัยอิสระที่ยากจนข้นแค้นเหล่านั้น กลับได้ทําพัธสัญญากับสัตว์วิญญาณ และสัตว์วิญญาณเหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าเป็นพวกที่ล้อมเมืองเมื่อวานหรอกหรือ ? เหตุใดพวกเขาถึงได้ทําพันธสัญญา ?
ในหมู่คนจนกลุ่มนั้นต้องมีผู้ที่สามารถฝึกสัตว์อสูรได้อยู่เป็นแน่
หลางเทียนกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกเขา… เกิดบัดซบอะไรขึ้นกับพวกเขากัน ?”
แม้แต่เขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ครอบครองสัตว์พัธสัญญา แล้วเหล่าคนจนกลุ่มนี้มีคุณสมบัติได้อย่างไร ?
คนของนักผจญภัยกลุ่มย่อยตกใจกับค่ายกลของนักผจญภัยอิสระ พวกเขาหนึ่งคนจับคู่กับสัตว์วิญญาณที่ทําพันธสัญญาต่อกันแล้วหนึ่งตัว แม้ระดับของพวกเขาจะไม่สูงมากนัก แต่ก็ทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้
หลางเทียนกัดฟัน กล่าวขึ้น “ฆ่า! ฆ่ามัน! ฆ่ามันซะ!”
การก่อจลาจลของสัตว์วิญญาณในครั้งนี้ยิ่งโหดร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าสำหรับกลุ่มนักผจญภัยอิสระ เป็นเพราะพวกเขามีสัตว์พันธสัญญาอยู่จึงไม่ได้กดดันอะไรมากนัก
ส่วนฝั่งของนักผจญภัยกลุ่มย่อยนั้นน่าสังเวชขนานหนัก ขณะที่พวกเขากําลังจะป้องกันไว้ไม่ไหว ในที่สุดท่านเจ้าเมืองก็นํายอดฝีมือระดับจักรพรรดิมาหลายสิบคน โดยทั้งหลายสิบคนนั้นเป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิทั้งหมดของทั่วทั้งเมืองฉู่ และในนั้นเถ้าแก่ก็มาด้วย
คนหลายสิบคนจัดการกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากมายเช่นนี้ แน่นอนว่าฝ่ายข้างน้อยย่อมแพ้ฝ่ายข้างมาก
ท่านเจ้าเมืองกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ทุกท่านโปรดอดทนไว้ ข้าได้ส่งข่าวไปยังสํานักนิกายครึ่งระดับและสํานักนิกายหนึ่งระดับเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว หวังว่าพวกเขาจะมาช่วยเหลือเราได้ทันเวลา”
ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้กำลังโจมตีเมืองฉู่ ยังไม่ทันได้โจมตีสํานัก สํานักทั่วไปจึงเลือกที่จะเมินเฉยต่อสถานการณ์นี้
สํานักอวิ๋นเยียนแห่งสํานักนิกายระดับหนึ่งยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง พวกเขาจะสนใจชีวิตของคนธรรมดาในเมืองไปทำไมกัน ?
— ตูม! —
สมรภูมิระหว่างเหล่านักผจญภัยกับเหล่าสัตว์วิญญาณเริ่มเข้าสู่สภาวะแย่ลงเรื่อย ๆ นักผจญภัยที่อยู่ด้านข้างเข้าป้องกันศัตรูที่ทรงพลังและป้องกันไม่ให้มู่เฉียนซีได้รับบาดเจ็บ เวลานี้มู่เฉียนซีกลายเป็นคนที่สบายที่สุดในหมู่พวกเขาไปแล้ว
สายตาของมู่เฉียนซีมองไปยังสถานที่หนึ่งในป่าชีชง เมื่อก่อนตอนที่วิญญาณของนางไม่ได้ผ่านการฝึกสัตว์จนแข็งแกร่งขึ้น นางไม่ได้มีสัมผัสรับรู้ แต่มาตอนนี้นางกลับสัมผัสได้ถึงเสียงแปลก ๆ ที่ดังมาจากที่แห่งหนึ่งลึกเข้าไปในเทือกเขาชีชง
นางนึกฉงนสงสัยว่าเสียงนั้นควบคุมการก่อจลาจลของสัตว์วิญญาณและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้
นี่ไม่ใช่พฤติกรรมทางธรรมชาติของเหล่าสัตว์วิญญาณ แต่มีคนจงใจทําให้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม คนผู้นั้นระดมกำลังมาได้เพียงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งและดูเหมือนว่าจะไม่สามารถระดมกำลังสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงกว่านี้มาได้ แสดงว่าความแข็งแกร่งของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังนั้นยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่นัก
เวลานี้สถานการณ์ยังคงอยู่ในช่วงรอคอยความช่วยเหลือจากสํานักนิกายที่ซึ่งก็ไม่น่าไว้วางใจ
เพื่อไม่ให้เมืองฉู่พินาศไปในหายนะครั้งนี้ มู่เฉียนซีนางคิดว่าจะต้องหยุดคนผู้บงการอยู่เบื้องหลังผู้นั้นให้ได้
.