ตอนที่ 122 งานเลี้ยงคนบ้านเดียวกัน
ชุยหังอยากจะให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของเวลา ถึงแม้ว่าชีวิตในมหาวิทยาลัย เวลาที่ใช้ในการเรียนจะไม่มาก แต่เขาก็สามารถคิดหาวิธีการที่จะทำให้ตัวเองยุ่งได้เสมอ
เขียนต้นฉบับของหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย ซ้อมเต้น ไปห้องไมโครคอมพิวเตอร์เพื่อฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ไปเล่นอินเตอร์เน็ตที่ห้องสมุด
เพียงแค่ทำให้ตัวเองยุ่งขึ้นมาก็สามารถลืมหลายสิ่งหลายอย่างได้
คนเราก็เป็นแบบนี้ โดยเฉพาะตอนที่ว่างๆ เงียบสงบ ถึงจะมีเวลาไปเจ็บปวดเสียใจ
ในงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ การแสดงเต้นของคณะพวกเขาทำเอาตื่นตาตื่นใจมาก ส่วนชุยหังก็เป็นเพราะการแสดงเต้นครั้งนี้ถึงถูกคัดเลือกให้เข้าไปอยู่ในทีมเต้นของมหาวิทยาลัยได้สำเร็จ
หลังจากที่เข้าร่วมทีมเต้นของมหาวิทยาลัยแล้ว การฝึกซ้อมย่อมยิ่งยุ่งกว่าของคณะ
ตอนนี้สั่งชุดเฉพาะฝึกพิเศษแล้ว ตราบใดที่ไม่มีธุระก็ต้องไปลาจิน [1]
และหลังจากงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ งานเลี้ยงคนบ้านเดียวกันจี๋หลินของพวกเขาในที่สุดก็กำหนดเวลาได้แล้ว
ในบรรดานักศึกษาใหม่คณะการขนส่งทางทะเลของปีนี้ที่เป็นคนจี๋หลินมีอยู่สิบเอ็ดคน บวกกับรุ่นพี่ปีสอง ปีสามแล้วนั่งได้สามโต๊ะ
งานเลี้ยงคนบ้านเดียวกันนี้ที่จริงมีไว้เพื่อสื่อสารแลกเปลี่ยนความรู้สึกกัน แต่ว่าโดยปกติเวลาคนตงเป่ยกินข้าวบนโต๊ะจะต้องมีเหล้าเสมอ
ชุยหังที่เดิมทีดื่มเหล้าไม่ค่อยเก่ง หลังจากที่ฝืนใจยกเหล้าขาวไปสามแก้วกับรุ่นพี่ ในที่สุดก็ฟุบหลับลงบนโต๊ะไปเรียบร้อยแล้ว
รอกระทั่งเขาตื่นขึ้นมา งานเลี้ยงก็ดำเนินมาจนใกล้ช่วงสุดท้ายแล้ว ทั้งกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นเพียงไม่กี่คนกำลังสวมกอดกับพวกรุ่นพี่ และบอกว่าต่อจากนี้ขอรบกวนให้ดูแลพวกเขาให้มากในขณะที่อยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ด้วย
ชุยหังเหลือบมองเหลียงจื้อที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำหน้ามึนงงเหมือนกันกับเขาและพูดว่า: “นายก็เผลอหลับหรอ”
“พอเห็นนายหลับแล้ว ฉันก็วางใจนอนหลับอย่างอาจหาญเลย…” เหลี่ยงจื้อว่า
เหล้าขาวแรงกว่าเบียร์มาก ชุยหังรู้สึกว่าปวดหัวมาก
ขากลับ รุ่นพี่ปีสองคนหนึ่งแบกเขากับเหลี่ยงจื้อเอาไว้คนละข้าง เดินไปบนถนนอย่างยากลำบาก
เมื่อมองไปยังถนนที่มืดสนิท ชุยหังก็ถามขึ้นว่า: “รุ่นพี่ ทำไมที่นี่มืดขนาดนี้”
“พวกเราเดินมาทางลัด”
“คงไม่มีผีหรอกใช่ไหม” ชุยหังถาม
รุ่นพี่หัวเราะและพูดว่า: “ไม่หรอก ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พวกคู่รักจะมาพลอดรักกัน”
ชุยหังพูดขึ้น: “รุ่นพี่ พี่มีแฟนไหม”
“ยังไม่มี” รุ่นพี่ตอบกลับอย่างฝืนทน
ชุยหังพูดขึ้น: “ถ้าอย่างนั้นหมาโสดขี้เมาสามตัวอย่างพวกเรามาเดินอยู่ที่นี่ ไม่ค่อยเหมาะสมมั้ง”
รุ่นพี่ยิ้มแล้วและพูดว่า: “ไม่เป็นไร ขนมปังยังไงก็ยังมี ผู้ชายเทคนิคการเดินเรืออย่างเราเป็นที่นิยมจะตาย ต่อไปนายจะเข้าใจเอง”
“ทำไมต้องต่อไปถึงจะเข้าใจล่ะ” ชุยหังยังถามต่อ
เหล้าขาววันนี้ทำให้ชุยหังไม่ค่อยมีสติอย่างปกติสักเท่าไหร่
รุ่นพี่พูดขึ้น: “เพราะคนเดินเรือมีรายได้สูงมาก บางทีอาจจะได้แต่งสะใภ้ต่างชาติกลับมาก็ได้นะ”
“งั้นช่างมันเถอะครับ ทำให้คนอื่นพึงพอใจไม่ไหวหรอก” ชุยหังพูดอย่างตรงไปตรงมา
รุ่นพี่หัวเราะและพูดว่า: “นายนี่อารมณ์ขันเหมือนกันนะ เมื่อกี้ฉันได้ยินนายพูดว่านายอยู่ชมรมศิลปะ?”
“อืม ทีมเต้นครับ กระโดดโลดเต้นไปมั่วๆ”
“ตั้งใจทำมันเถอะ ประธานสภานักศึกษากี่รุ่นที่ผ่านมาก็มีแต่ชมรมศิลปะทั้งหมด รุ่นพี่จังหนานที่พวกนายเจอเมื่อครู่นี้ก็เป็นประธานสภานักศึกษารุ่นก่อน แล้วก็เป็นประธานชมรมศิลปะคนก่อนของพวกนายด้วย”
ชุยหังรู้สึกว่าข้างในท้องของตนไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ถูกคนพยุงหนุนไว้แบบนี้รู้สึกอึดอัดมาก
“ไม่ไหวแล้วรุ่นพี่ ผมต้องพักสักแปป” ชุยหังว่า
จากนั้นเขาก็เดินโซเซย้ายไปที่ม้านั่งหินข้างทาง นั่งหอบหายใจอยู่ตรงนั้น
เหลียงจื้อดูเหมือนสุนัขที่ถูกรัดคอตายแล้วไม่มีผิด เกือบจะหมดสติไปแบบสนิทแล้ว
“รุ่นพี่ครับ พี่ไปส่งเขาก่อนเถอะครับ ผมนั่งตากลมอยู่ตรงนี้แล้วจะกลับไปเอง”
“นายไปเองไหวหรอ” รุ่นพี่คนนั้นดูกังวลเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องให้สร่างเมาก่อน ไม่งั้นกลับไปก็ไม่มีทางหลับลงอยู่ดี”
ตอนที่ 123 การกลับมา
รุ่นพี่มองเหลี่ยงจื้อที่ยืนแทบไม่ไหวและพูดว่า: “งั้นก็ได้ ฉันจะเอาเขาไปส่งก่อนแล้วค่อยกลับมารับนายทีหลัง”
“ไม่ต้องหรอกครับพี่ พี่ก็ดื่มไปไม่น้อย ถ้าผมสร่างแล้วเดี๋ยวก็เดินกลับไปเองครับ มันก็ไม่ได้ไกลมากด้วย” ชุยหังกล่าว
รุ่นพี่ครุ่นคิดแล้วพูดว่า: “เอางั้นก็ได้ นายระวังหน่อยแล้วกัน”
ชุยหังนั่งอยู่บนม้านั่งหินคนเดียว วิงๆ เวียนๆ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ตอนแรกคิดอยากจะโทรไปหาคนที่หอพักแล้วให้พวกเขาออกมรับตนเสียหน่อย
แต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะกดโทรออกก็มีคนโทรมาหาเขาเสียก่อน
สายตาของเขาพร่ามัว ยังไม่ทันกระทั่งมองให้ชัดว่าหมายเลขนี้อยู่ในสมุดโทรศัพท์ของเขาหรือเปล่า
“ฮัลโหล ใครอ่ะ” เขาถามอย่างตรงไปตรงมา
ด้านนั้นไม่มีเสียงตอบรับ ชุยหังนึกว่าตัวเองดื่มมากเกินไปจนฟังไม่ชัดว่าทางสายนั้นพูดอะไรหรือเปล่า
“เมื่อกี้พูดว่าไงนะ เสียงดังๆ หน่อย” เขาพูดย้ำ
ทันใดนั้นฝ่ายนั้นก็ร้องตะโกนออกมา: “นายแม่งอยู่ไหนวะ”
ชุยหังผงะตกใจ นี่ใครเนี่ย ดึกๆ ดื่นๆ โทรผิดหรือเปล่าเนี่ย
ไม่ได้ทำอะไรให้แล้วมาวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ตนทำไมเนี่ย
“นายเป็นใคร โทรผิดหรือเปล่า” ชุยหังยังคงถามต่อ
สายนั้นตะโกนกลับมาหนึ่งประโยคว่า: “ฉันคือหลูจื้อ นายแสร้งต่อไปสิ!”
หลูจื้อ หลูจื้อ…
ชุยหังรู้สึกว่าในหัวของเขาเหมือนกับมีเชือกเส้นหนึ่งที่ก่อนหน้านี้มัดแน่นเกินไป จนมันขาดไปแล้ว
เขาอ้าปากค้าง ไม่พูดไม่จาอยู่นาน
เพราะเขาไม่รู้ว่าตนจะพูดอะไรได้
“ทำไมนายไม่พูดแล้วล่ะ รู้สึกผิด?” หลูจื้อซักถาม
ชุยหังพูดขึ้น: “เปล่าหนิ ผมมีอะไรให้ต้องรู้สึกผิด ผมไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อคุณสักหน่อย”
“เล่นลิ้นอีก ใครใช้ให้นายลบวีแชทฉัน?” หลูจื้อถาม
ชุยหังนึกถึงวันนั้นขึ้นมาได้ ตอนที่ตนกำลังจะกดปุ่มตกลง วินาทีนั้นที่เขาลังเลใจ อึดอัดหัวใจไปหมด
หลูจื้อ ชื่อนี้ทำให้เขาสร่างได้สติมากกว่าครึ่ง
เป็นเวลานานที่พยายามวางแผนจัดการตัวเองให้ยุ่งเข้าไว้ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องที่ไม่ควรคิดมากมายพวกนั้น แต่ว่าผลที่ได้ดูเหมือนจะไม่ค่อยมาก
ตอนที่หลูจื้อพูดชื่อของเขาออกมานั้น การปลอมตัวเมื่อช่วงก่อนหน้านั้นพังทลายลงในพริบตา
เขาโทษหลูจื้อว่า ในเมื่อไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก แล้วก็ไม่ต้องมายั่วตนอีกแล้ว
การที่มาปรากฏตัวครั้งแล้วครั้งเล่า พอในใจของตนปลูกต้นหญ้าขึ้นมาแล้วกลับเดินหนีไปไม่เหลียวหลังแบบนี้มันคืออะไร
“เก็บเอาไว้ทำไม? คุณไม่กลับมาแล้วไม่ใช่หรอ” ชุยหังพูดอย่างฝืนใจ
“ใครบอกนายว่าฉันจะไม่กลับมา ฉันบอกให้นายทำตัวดีๆ ซื่อสัตย์ไม่ใช่หรอ บอกให้นายรอไม่ใช่หรอ” หลูจื้อถาม
ชุยหังตอบแค่คำถามที่สองเท่านั้น: “ผมไม่ซื่อสัตย์ยังไง คุณฟังใครพูดว่าผมไม่ซื่อสัตย์?”
ถ้าแบบนี้ยังไม่นับว่าซื่อสัตย์ แล้วแบบไหนถึงจะโอเค?
“นายมานี่” หลูจื้อกล่าว
ชุยหังงงไปหมด มานี่? ไปไหน?
“ประตูสาม ที่ทะเลสาบประดิษฐ์ ฉันรอนายอยู่ที่นี่ ถ้านายบังอาจไม่มาล่ะก็ นายคอยดูเลยว่าฉันจะจัดการนายยังไง” หลูจื้อสั่งอย่างบ้าอำนาจ
ประตูสาม ทะเลสาบประดิษฐ์ ก็คือสถานที่ที่พวกเขาตากฝนออกไปด้วยกันวันนั้น
เขาไม่กลับมาแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมถึงได้มาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยพวกเขาซะดึกดื่นขนาดนี้?
หรือว่าจะกลับมาเพื่อทำเรื่องโยกย้าย แล้วก็ผ่านมาดูสิว่าตนในตอนนี้อยู่ในสภาพน่าเวทนาขนาดไหน?
ชุยหังลังเลนิดหน่อย ตนจะไปหรือว่าไม่ไปดีล่ะ
ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ ในเมื่อเขามาหาถึงที่แล้ว เจอกันสักหน่อยจะเป็นไรไป
อันที่จริงนี่เป็นข้ออ้างที่เขาหามาให้ตัวเอง เพราะขณะที่เขากำลังพูดปลอบใจตัวเองแบบนี้อยู่นั้นตัวก็ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว พยายามรักษาเส้นทางเดินให้ตรงอย่างเต็มที่ เดินตรงไปทางประตูสาม
——
[1] ลาจิน 拉筋แปลว่า วิชายืดเส้นเอ็นและทะลวงเส้นลมปราณ เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายอ่อนแอ เหนื่อยง่าย