ตอนที่ 120 ลาก่อน / ตอนที่ 121 ปิดบัง

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 120 ลาก่อน 

 

 

ตอนที่กลับมาจากห้องซ้อมของทีมเต้น ชุยหังแบกความอ่อนระโหยโรยแรงเอาไว้เต็มอก 

 

 

งานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ในครั้งนี้จัดเตรียมมานานมากแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็จะเริ่มแล้ว 

 

 

เนื่องจากชุยหังเป็นสมาชิกในทีมเต้น ดังนั้นจึงมีรายการแสดงเพิ่มขึ้นถึงสองรายการ 

 

 

ว่ากันว่าหนึ่งในการแสดงเต้นนั้นยังเป็นการเต้นรำแบบดั้งเดิมของคณะการขนส่งทางทะเลของพวกเขาด้วย เรียกว่า วิญญาณแห่งท้องทะเล 

 

 

ชุยหังรับผิดชอบตีลังกาล้อเกวียนพลิกด้านข้าง แล้วยังมีท่าทางเทคนิคอีกนิดหน่อย 

 

 

และในเวลานี้เองหลายคนถึงได้รู้ว่าที่แท้ชุยหังนับว่าเป็นคนมากความสามารถด้านศิลปะการแสดง 

 

 

ร่างกายโรยแรงอ่อนล้าก็พอทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เพราะมันมึนชาจะได้ไม่เอาแต่ไปนึกถึงเรื่องที่ไม่มีความสุขพวกนั้น 

 

 

นี่เป็นวิธีการที่ชุยหังใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความคิดถึงหลูจื้อในตอนนี้ คิดถึงคนๆ หนึ่งก็เหมือนกับการยื่นมือออกไปรั้งฤดูกาลที่ตัวเองชอบมากที่สุด 

 

 

ถ้าหากฤดูกาลนี้ก็ยินดีที่จะชอบคุณเหมือนกัน ก็จะสามารถปรับตัว ให้อุณหภูมิที่พอดีและวิวทิวทัศน์ที่ดีกับคุณได้ 

 

 

และถ้าหากเป็นแค่ผู้พเนจรผ่านมาก็จะทำให้คุณรู้เพียงว่ารั้งไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ไม่ต้องยื่นมือออกไป 

 

 

จนกระทั่งถึงตอนนี้ หลูจื้อขาดการติดต่อไปถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว 

 

 

ซ่งไข่โทรศัพท์มาหาอีกครั้งแล้ว ตอนที่ชุยหังรับสายอันที่จริงก็ไม่ค่อยเต็มใจนิดหน่อย 

 

 

เพราะเขารู้ว่าเขาคงจะไม่มีทางเอาข่าวดีอะไรมาให้ตนอย่างแน่นอน 

 

 

เป็นไปอย่างที่คิด ประโยคแรกของซ่งไข่คือ: “นายลืมเขาเถอะ” 

 

 

ชุยหังอดกลั้นตัวเองต่อคำถามแสนใจร้อนของเขาว่า: “โอเค ผมจะพยายาม” 

 

 

“นายไม่ถามหรอว่าทำไม?” ซ่งไข่เอ่ยถาม 

 

 

ชุยหังพูดขึ้น: “ก็เตรียมใจเอาไว้สำหรับเรื่องนี้มาตลอด ก่อนหน้านี้คุณก็เคยพูดไม่ใช่หรอว่าเขาอาจจะไม่กลับมาแล้ว” 

 

 

“อืม ครั้งนี้น่าจะแน่นอนแล้ว” ซ่งไข่กล่าว 

 

 

“งั้นก็ยินดีกับเขาเถอะ ตอนนี้ยศทหารก็เหมือนกับคุณแล้วใช่ไหม” ชุยหังถาม 

 

 

ซ่งไข่พูดตอบ: “นายรู้ได้ยังไง เขาไปเรียนได้ ฉันไปไม่ได้?” 

 

 

“คุณพึ่งอายุเท่าไหร่เองจะรีบไปทำไม” ชุยหังว่า 

 

 

“สามสิบกว่าแล้ว ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว” ซ่งไข่กล่าว 

 

 

ชุยหังพูดขึ้น: “ช่วงเวลาทองของผู้ชาย” 

 

 

ซ่งไข่กลับพูดว่า : “นั่นจะมีประโยชน์อะไรก็ไม่ใช่ตัวคนเดียวหรอ” 

 

 

“คุณไม่ได้แต่งงาน?” ชุยหังเอ่ยถาม 

 

 

ต่อมาเขาก็คิดได้ว่าดูเหมือนเขาจะไม่เคยถามคำถามนี้กับซ่งไข่มาก่อนเลย 

 

 

“แต่งแล้ว แล้วก็หย่าแล้ว” 

 

 

“ทำไมถึงหย่าแล้วล่ะ” ชุยหังรู้สึกว่าตัวเองจะถามมากเกินไปหน่อยแล้ว 

 

 

“เพราะไม่ได้เจอหน้ากันเลย ฉันยุ่งเกินไป” 

 

 

ชุยหังนึกว่าเขาจะรู้สึกว่าชอบผู้ชายมากกว่าเสียอีก 

 

 

แต่ว่าอย่างไรเสียก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตนแล้ว ในเมื่อตนตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่คบกับเขา 

 

 

“ถ้าตอนนั้นนายตอบรับฉันก็คงไม่มีเรื่องมากมายขนาดนี้หรอก” ซ่งไข่กล่าว 

 

 

ชุยหังหัวเราะแล้วพูดว่า: “อันนี้มันก็ช่วยไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะไม่มีพรหมลิขิตมั้ง” 

 

 

“นายน่ะโง่ ชอบใครไม่ชอบดันไปชอบผู้ชายแท้ที่มีแฟนแล้ว ตอนนี้เขายังจะไม่กลับมาแล้วด้วย” ซ่งไข่ว่า 

 

 

ชุยหังก็พูดขึ้นว่า: “ก็โง่นะแล้วยังผิดศีลธรรมด้วย” 

 

 

“ผิดศีลธรรมอันนี้ว่าไม่ได้ ถ้าจะผิดศีลธรรมก็เป็นเขา ถึงยังไงเขาก็ไม่ชอบผู้หญิงคนนั้น มันก็แค่สุกเอาเผากิน” ซ่งไข่ว่า 

 

 

ชุยหังพูดขึ้น: “นี่นับว่าปลอบใจผมไหม” 

 

 

“นายจะเข้าใจยังไงก็ได้ ถึงยังไงก็อยากบอกกับนายว่าให้เตรียมพร้อมเอาไว้ล่วงหน้าเถอะ อย่าโง่เง่าเฝ้ารอเขาแล้วผลสุดท้ายเขาไม่ใส่ใจเลย” 

 

 

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากครับครูฝึกซ่ง” 

 

 

เมื่อวางสายโทรศัพท์ไปชุยหังก็คิดวนอีกรอบ ถึงการพบเจอกัน รู้จักกันของตนกับหลูจื้อ 

 

 

อันที่จริงทั้งหมดทั้งมวลสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นได้ 

 

 

เขากดเข้าไปดูอัลบั้มภาพถ่ายของตน จากนั้นจัดการลบรูปภาพที่หลูจื้อส่งมาให้ตนเมื่อก่อนหน้านี้ทิ้งทั้งหมด 

 

 

จากนั้นเขาก็ส่งวีแชทไปหาหลูจื้ออีกหนึ่งข้อความ: [ลาก่อนนะครูฝึกหลู] 

 

 

จากนั้นเขาก็ถือโอกาสลบวีแชทและหมายเลขโทรศัพท์ของเขาทิ้งจนหมด 

 

 

อยากที่จะบอกลากับอดีต ถึงแม้ว่าความทรงจำจะไม่หยุดเปลี่ยนแปลง 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 121 ปิดบัง 

 

 

หลังจากลบข้อมูลการติดต่อของหลูจื้อออกจนหมด ชุยหังไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเลย แต่เขากลับรู้สึกหนักใจมาก 

 

 

อันนี้อาจจะต้องพึ่งกระบวนการสักอย่าง 

 

 

การทิ้งความรู้สึกที่ยังไม่ทันได้เริ่มต้น ถ้าว่าตามคนที่เอาขึ้นมาได้แต่กลับวางไม่ลงมาพูดมันก็นับว่าเป็นเรื่องยากจริงๆ 

 

 

ถ้าให้ชุยหังเลือกระหว่างไม่ต้องคบกันเลยตั้งแต่แรก หรือคบกันแล้วค่อยเลิก เขายอมที่จะเลือกอย่างหลัง 

 

 

เพราะอย่างน้อยอย่างหลังครั้งหนึ่งก็เคยมีกัน จะได้ไม่ต้องเสียใจเสียดายมากขนาดนั้น 

 

 

แต่อย่างแรกต่างหากที่จะทำให้จดจำไว้ในใจไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต 

 

 

ด้านหลูจื้อยังคงไม่มีการตอบสนองใดๆ ไม่มีคำอธิบาย แล้วก็ไม่มีคำขอโทษใดๆ เลย 

 

 

ในความเป็นจริงสิ่งที่ชุยหังต้องการไม่ใช่คำขอโทษใดๆ ตั้งแต่ต้นเขาก็ไม่ได้ติดหนี้อะไรตนอยู่แล้ว 

 

 

เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเจ้าเล่ห์ ทั้งหมดทั้งสิ้นก็เป็นสคริปต์ที่สมองของตนสร้างขึ้นมา กำลังคิดว่าหลูจื้อกำลังเบี่ยงเบนเดินมาบนถนนเส้นนี้หรือเปล่า 

 

 

แต่ความจริงปรากฏชัดเจนแล้วว่าเขาคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ 

 

 

จินตนาการเป็นสิ่งที่ดีแต่ว่ามันไม่ได้ช่วยชุยหังให้เดินออกจากสภาพที่ยากลำบากในระดับหนึ่งเลย 

 

 

กลับตรงกันข้ามมันทำให้เขาจมดิ่งลงไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่แรกก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แถมยังจินตนาการเพ้อฝันอีกด้วย 

 

 

เขาเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มคิดในทางกลับกัน ว่าที่จริงแล้วสิ่งที่หลูจื้อพูดกับเขาก่อนหน้านี้ว่าให้ตนทำตัวดีๆ ซื่อสัตย์หน่อย ให้ตนรอ เพียงแค่เพราะว่าครั้งก่อนที่เขาจะล้างสมองตนนั้นทำไม่สำเร็จ เขายังอยากคิดที่จะลองอีกครั้ง 

 

 

นอกจากนี้เขายังต้องการจัดระเบียบรสนิยมทางเพศของตนใหม่ ให้ไปชอบผู้หญิงและสุดท้ายก็ทำตามกระบวนการปกติทั่วไปคือแต่งงานมีลูก 

 

 

เพียงแค่เขาคงจะไม่รู้ว่านี่มันไม่ค่อยสมจริงเลย 

 

 

ตอนที่เดินเข้าห้องพักถังเฉิงก็พูดล้ออีกว่า: “โย๊ะ นี่ไม่ใช่นักเต้นของพวกเราหรอ เป็นไงบ้าง วันนี้ได้ฉีกขาหรือเปล่า” 

 

 

ชุยหังยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า: “ฉีกขาอะไรเล่า มากสุดที่ฉันทำได้ก็แค่โค้งตัวเท่านั้นแหละ” 

 

 

“โค้งตัวใครทำไม่ได้บ้าง ฉันก็ทำได้” ถังเฉิงว่า 

 

 

จากนั้นเขาก็โน้มโค้งตัวลงไปต่อหน้าชุยหังทั้งอย่างนั้น 

 

 

ชุยหังมองดูถังเฉิงที่ใช้มือคลำอยู่ตรงหัวเข่าแล้วพูดออกมาตรงๆ ว่า: “นี่นายเรียกโค้งตัวหรอ นี่มันโค้งคำนับ” 

 

 

“นายบอกว่าโค้งตัวไม่ใช่หรอ แล้วมันเป็นโค้งตัวแบบไหน” ถังเฉิงเอ่ยถาม 

 

 

ชุยหังพูดขึ้นว่า: “มันก็ต้องโค้งลงไปข้างหลังสิ โน้มเอวลง” 

 

 

“นายทำสักครั้งให้ฉันดูหน่อยสิ” 

 

 

“ไม่เอา ถ้าฉันลงไปจะลุกไม่ขึ้นเอาง่ายๆ วันนี้เหนื่อยมากเกินไปแล้ว เมื่อกี้ก็พึ่งจะลาจิน [1] มาเกือบจะถูกหัวหน้าทีมทับตาย” 

 

 

“พูดซะน่ากลัวขนาดนี้ โชคดีนะที่ฉันไม่ได้เข้าร่วมทีมเต้นรำกับพวกนาย” ถังเฉิงว่า 

 

 

ชุยหังก็พูดขึ้น: “ถ้าหากว่านายอยากเข้าร่วม ฉันเดาว่าพอนายเข้ามาทีมเต้นก็คงจะยุบทันทีเลย” 

 

 

“เจ้าน้องห้า นายเสียดสีฉันอีกแล้วนะ” ถังเฉิงว่า 

 

 

ด้านชุยหังก็รีบรับต่อในทันที: “ผิดแล้ว นี่เรียกถากถางไม่ใช่เสียดสี” 

 

 

“นั่นมันไม่ใช่ความหมายเดียวกันหรอ” ถังเฉิงถาม 

 

 

“ความหมายเดียวกันสิ แต่ฉันไม่อยากยอมรับนายจะทำอะไรฉันได้?” ชุยหังก็ล้อถังเฉิงเล่นเหมือนกัน 

 

 

วังเฉียงโผล่หัวออกมาจากเตียงชั้นบนและพูดว่า: “เหล่าซื่อนายไม่ต้องเถียงกับเหลาอู่แล้วล่ะ นายเถียงไม่สู้เขาหรอก” 

 

 

“ประเด็นสำคัญก็คือโข่วเถียว (ลิ้น) [2] ของเหล่าซื่อใช้ไม่ได้” ชุยหังว่า 

 

 

“โข่วเถียวคืออะไรอ่ะ” ถังเฉิงถาม 

 

 

ชุยหังพูดขึ้น: “ลิ้นไง” 

 

 

พูดจบเขาก็ทำท่าทางเลียนแบบในทันที ตอนที่ห้องสามเริ่มประชุมคลาสเรียนครั้งแรก แล้วถังเฉิงยืนแนะนำตัวเองอยู่หน้าชั้นเรียน สำเนียงของเขา: “ผมชื่อถังเฉิง ผมมาจากอันฮุย ฟู่หนาน (สำเนียงท้องถิ่น) ” 

 

 

ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกตลกจนหัวเราะขบขันดังลั่น ถังเฉิงโยนหนังสือที่อยู่ในมือทิ้งทันทีก่อนที่จะร้องตะโกนว่า: “ไอ้เจ้าห้า!” 

 

 

ชุยหังรีบเดินเข้าไปตบไหล่เขาในทันทีพลางพูดว่า: “พี่สี่ นายเป็นพี่นะ ยอมให้ฉันหน่อยสิ” 

 

 

ในเวลานั้นถังเฉิงก็ไม่มีอารมณ์โมโหแล้วจึงทำได้แค่ยอมรับมัน 

 

 

ใครๆ ต่างก็ดูไม่ออกเลยว่าในใจของชุยหังตอนนี้กำลังขมขื่น 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ลาจิน 拉筋แปลว่า วิชายืดเส้นเอ็นและทะลวงเส้นลมปราณ เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายอ่อนแอ เหนื่อยง่าย 

 

 

[2] โข่วเถียว (ลิ้น) 口条แปลว่าลิ้นหมูหรือลิ้นวัว