ตอนที่ 118 คิดในใจ / ตอนที่ 119 ไม่มีข่าวคราว

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 118 คิดในใจ

 

 

ชุยหังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตนคุยอะไรกับพ่อแม่บ้าง เอาเป็นว่าสำหรับเขาแล้วมันมีแต่หัวข้อสนทนาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดหรือทุกข์ใจอะไร

 

 

“ฉันรู้สึกว่าพ่อแม่ของนายกับพ่อแม่ของฉันเหมือนกันมากเลย พอฉันโทรไปก็จะถามฉันตลอดว่ากินข้าวหรือยัง เหมือนกับฉันเป็นถังใส่ข้าวยังไงอย่างนั้นเลย” ชย่าอวี่ชิวพูดอยู่อีกด้าน

 

 

ชุยหังยิ้มแล้วพูดว่า: “นายก็ใช่ไม่ใช่หรอ”

 

 

ชย่าอวี่ชิวพูดขึ้น: “ฉันให้โอกาสนายพูดใหม่อีกครั้ง”

 

 

“โอเค นายไม่ใช่…” ชุยหังมองท่าทางที่เหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มของเขาก่อนจะรีบเปลี่ยนคำทันที

 

 

รูปร่างอย่างชย่าอวี่ชิว ถ้าหากพุ่งเข้ามาตนจะต้องรั้นเขาไว้ไม่ไหวแน่

 

 

ชย่าอวี่ชิวหัวเราะแล้วพูดว่า: “ถ้านายยืนยันไม่ยอมกลับคำมันจะดีแค่ไหนนะ ฉันจะได้มีโอกาสรังแกนายสักหน่อย”

 

 

ชุยหังหัวเราะออกมาอย่างอึดอัดใจแล้วพูดว่า: “ตัวเล็กๆ อย่างฉันถ้าปล่อยให้นายรังแกคงได้พังแน่ๆ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นนายก็รีบเข้าร่วมกลุ่มสมาคมเถอะจะได้ออกกำลังกายหน่อย” ชย่าอวี่ชิวว่า

 

 

“อืม เปิดเทอมแล้วค่อยว่ากัน” ชุยหังพูด

 

 

เมื่อกลับถึงห้องพัก ทุกคนต่างก็อยู่กันครบ

 

 

“เหลาอู่ ออกไปเดทกับใครมาอีกแล้วล่ะ?” ถังเฉิงเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังตอบกลับว่า: “เปล่าสักหน่อย ก็ออกไปกินอะไรมานิดหน่อย”

 

 

“ไปกินของดีอะไรมาก็ไม่พาพวกเราไปด้วย?”

 

 

ชุยหังคิดสักพัก จากนั้นก็เดินไปอยู่ตรงหน้าเขาออกแรงเป่าลมใส่เขาอย่างแรงหนึ่งที

 

 

กลิ่นกระเทียมรุนแรงมากทำเอาถังเฉิงปลดอาวุธยอมแพ้ในทันที

 

 

“เหลาอู่ นี่มันอะไรเนี่ย นายกินอะไรเข้าไป” เขาปิดจมูกพูด

 

 

ชุยหังพูดขึ้นว่า: “เกี๊ยวตงเป่ย แต่ว่าคนตงเป่ยอย่างพวกเราชอบจิ้มกับซอสกระเทียม”

 

 

“นายกินกระเทียมเข้าไปเท่าไหร่เนี่ย รีบไปแปรงฟันเลยไป” ถังเฉิงว่า

 

 

ชุยหังกลับพูดว่า: “นายยอมไม่ยอม? รีบพูดว่านายยอมแพ้แล้ว?”

 

 

ถังเฉิงพลางขอร้องอ้อนวอนพลางพูดว่า: “พอแล้ว เหลาอู่ฉันยอมแล้ว ฉันเทียบกับนายไม่ได้เลยจริงๆ”

 

 

ชุยหังพกรอยยิ้มของชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่หยิบเอากะละมังเดินไปทางห้องน้ำแล้ว

 

 

ในห้องน้ำว่างเปล่ามาก เปรียบกับเวลาปกติหลังจากฝึกทหารเสร็จแล้วทุกคนมารอเข้าแถวเพื่ออาบน้ำแล้วช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

 

สภาพแวดล้อมแบบนี้แทนที่จะทำให้ชุยหังสงบจิตสงบใจได้ง่ายลงแต่กลับทำให้มีเวลาหายใจคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย

 

 

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ซ่งไข่โทรมาหาตนแล้วบอกเรื่องของหลูจื้อ ภายในใจของเขาก็รู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงยังไงอย่างนั้น

 

 

อันที่จริงแค่เขาเป็นแบบนี้ก็นับว่าผิดศีลธรรมแล้ว

 

 

เขาบอกกับตนหลายครั้งแล้วว่าหลูจื้อเป็นคนที่มีแฟนอยู่แล้ว แล้วก็เป็นคนที่ไม่ได้อยู่บนเส้นทางเดียวกันกับตนเลยด้วย

 

 

ถ้าหากตนเอาใจไปวางไว้ที่เขา ยังไม่สู้เอามันโยนทิ้งไปเลยดีกว่า โยนทิ้งจนไม่ว่าใครก็หาไม่เจอเลย

 

 

เพราะความรู้สึกระหว่างเขากับหลูจื้อมันไม่เท่ากันอยู่แล้ว

 

 

คนบางคนถูกกำหนดไว้ไม่ให้มีผลลัพธ์ใดๆ ต่อกัน เพียงแต่ตอนที่เฉียดกายผ่านมานั้นแรงเสียดทานของเสื้อผ้ามากเกินไปหน่อย ดังนั้นจึงเฉียดกันนานหน่อยมันก็เท่านั้นเอง

 

 

อันที่จริงทั้งๆ ที่พึ่งจะเลิกกับหลิวเฮ่อไม่นานแท้ๆ ตนก็ไม่ควรจะเข้าสู่ช่วงความรู้สึกใหม่เร็วมากขนาดนี้

 

 

แบบนี้มันจะไม่นับว่าตนใช้ช่วงความรู้สึกใหม่มาเยี่ยวยาบาดแผลหรอ?

 

 

ถ้าเป็นแบบนี้มันยุติธรรมกับหลูจื้อหรอ?

 

 

แถมในตอนที่หลูจื้อมีแฟนสาวอยู่แล้วตนก็ยังแทรกเข้าไปอยู่ในชีวิตของพวกเขา ทำให้หลูจื้อเกิดหวั่นไหวขึ้นมา แบบนี้มันยุติธรรมกับแฟนสาวของหลูจื้อหรอ?

 

 

อันที่จริงวิธีที่ดีที่สุดก็คือการถอยออกมาเอง อย่าให้มีความหวังอยู่ในใจอีก

 

 

หนทางต่อจากนี้ยังอีกยาวไกล เขายังต้องพบเจอคนอีกมากมาย

 

 

หลูจื้อ พวกเขาก็แค่รู้จักกันเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

 

 

การใช้วันเพียงไม่กี่วันนี้ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตเดิมของใครหลายคน แบบนี้มันไม่เหมือนกับสุกเอาเผากิน แล้วก็โหดเ**้ยมป่าเถื่อนไปหน่อยหรอ?

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 119 ไม่มีข่าวคราว

 

 

เปิดเทอมแล้ว ชุยหังกำลังค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับมหาวิทยาลัยนี้ บางครั้งก็มีแอบคิดว่า ถ้าหลังจากสี่ปีผ่านไป ตนสามารถกลายเป็นกะลาสีเรือได้อย่างราบรื่น จากนั้นก็เป็นต้นหนที่สาม ต้นหนที่สอง ต้นเรือ สุดท้ายเป็นกัปตันเรือ แบบนั้นมันจะเป็นยังไงนะ

 

 

เพื่อสิ่งนี้ ตอนนี้เขาก็เริ่มคิดแล้วว่าตนควรจะฝึกว่ายน้ำดีๆ แล้ว มิฉะนั้นต่อไปเวลาอาบน้ำทะเลกับทุกคน ตนอาจจะเป็นคนที่เข้าไปแต่ไม่ได้กลับออกมาก็ได้

 

 

เมืองเอ้ออยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำแยงซีเกียง เวลาว่างๆ ชุยหังกับเพื่อนรูมเมทสี่ห้าคนก็จะไปสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงกัน

 

 

ตอนที่อยู่บนสะพาน เมื่อมองจากข้างบนไปข้างล่างเขารู้สึกว่าตนตัวเล็กลงไปมาก

 

 

สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนผืนแม่น้ำ เขารู้สึกว่าสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงที่ตนอยู่ตอนนี้กำลังไหวเอนไปตามผืนน้ำ ความรู้สึกแบบสามารถทำให้คนวิงเวียนลายตา แล้วยังดึงดูดเป็นพิเศษ

 

 

เขาไปที่หอนกกระเรียนเหลือง [1] แล้วก็ไปที่หาดริมแม่น้ำ สถานที่ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยไปมาก่อนเขาก็ไปเดินมาจนหมด

 

 

เพื่อให้ตนแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อย เขาสมัครสอบเข้าทีมเต้นของสมาคมศิลปะ ในนั้นได้รู้จักคนอีกมากมาย

 

 

ส่วนสมาคมชมรมอื่นๆ เขาไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

 

 

ตอนที่พึ่งจะเปิดเทอม ทุกวันจะมีผู้รับผิดชอบสมาคมชมรมมากมายตั้งโต๊ะสองตัวไว้ที่หน้าโรงอาหาร ด้านหลังจะมีแผ่นประกาศกระดานดำ ด้านบนเป็นชื่อสมาคมชมรมของพวกเขา

 

 

อยากจะเข้าร่วมชมรมง่ายนิดเดียว เพียงแค่ลงทะเบียนชื่อและห้องเรียนของตนเอง จากนั้นทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของตนเอาไว้ แล้วจ่ายเงินยี่สิบหยวนก็เรียบร้อยแล้ว

 

 

แต่ว่าชุยหังแทบจะไม่มีทางเลือก ช่วงที่สมาคมชมรมสำนักข่าวหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยเปิดรับสมัคร ชุยหังส่งบทประพันธ์ร้อยแก้ว ‘ฝังบัว’ ที่ตนเขียนไป ในตอนนั้นทำเอาพากันตื่นตะลึงในทันตา จู่ๆ ก็มีรุ่นพี่คณะการคมนาคมอยากจะรับเขาเป็นศิษย์ในทันที

 

 

หลังจากที่เข้าชมรมสำนักข่าวหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย ทุกช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี เขาจะต้องไปเข้าเวรที่ห้องชมรมสำนักข่าวหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยที่อยู่ข้างห้องทำงานของคณะบดี

 

 

ทุกวันไปๆ มาๆ อยู่ในมหาวิทยาลัย เขารู้สึกว่าตนเต็มอิ่มสมบูรณ์มาก

 

 

ชย่าอวี่ชิวมีนัดเขาออกไปกินข้าวบ้างบางครั้งบางคราว แต่ว่าชุยหังก็คุ้นชินกับมันแล้วและไม่มีทางเอาแต่ให้เขาเป็นคนจ่ายอย่างเดียว

 

 

เขาไม่อยากจะติดค้างน้ำใจชย่าอวี่ชิวมากเกินไป เพราะถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปภายหลังจะทดแทนยาก

 

 

ซ่งไข่ก็มีโทรมาบ้างสองสามครั้ง มาถามเขาว่าเปลี่ยนความตั้งใจไปแล้วหรือยัง

 

 

แต่ว่าด้านหลูจื้อแค่ข้อความหนึ่งข้อความ โทรศัพท์มาสักครั้งก็ไม่มีเลย

 

 

ตอนที่เปิดเทอมได้เกือบจะหนึ่งเดือน ชุยหังอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวจริงๆ จนส่งวีแชทไปหาหลูจื้อว่า: [คุณทำอะไรอยู่ แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่]

 

 

แต่ว่าหลังจากที่ข้อความถูกส่งออกไปก็เหมือนหินจมลงในทะเล เงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ถึงแม้ว่าด้านหลูจื้อจะไม่ได้ลบเขาออก แต่การที่ไม่มีการตอบกลับใดๆ เลยแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกสับสนวุ่นวายใจอย่างถึงที่สุด

 

 

เดิมทีชุยหังก็เป็นคนนิสัยใจร้อนอยู่แล้ว นี่เวลาก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว เขากลับยังไม่ตอบข้อความใดๆ ให้ตนเลย

 

 

จุดนี้ทำให้เขาจิตตกหดหู่เป็นอย่างมาก

 

 

ในโมเมนต์เพื่อนของหลูจื้อว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย

 

 

ก็ไม่รู้ว่าเขาปิดกั้นตนเอาไว้ หรือว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยโพสต์ลงเลยจริงๆ กันแน่

 

 

ความคิดถึงเพียงหนึ่งเดียวที่หลูจื้อทิ้งเอาไว้ให้ก็คือรูปถ่ายพวกนั้น

 

 

เขาไม่รู้ว่าตนควรจะทำยังไงดี ต้องลืมเขาไปแล้วเริ่มต้นใหม่ หรือว่ายังไงดี

 

 

หากเป็นเหมือนกับหลิวเฮ่อเมื่อตอนนั้น ตอนที่หักหลังตนแล้วถูกตนจับได้คาหนังคาเขา นั่นก็นับว่ายังพอมีคำอธิบายให้ตัวเอง ให้ตนพอที่จะตัดออกในทันที

 

 

แต่ว่าด้านหลูจื้อนอกจากก่อนหน้านี้เขาจะกำชับกับตนครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้รอเขา ต้องทำตัวให้ดีซื่อสัตย์ก็ไม่มีคำพูดใดๆ อีกแล้ว

 

 

บางครั้งชุยหังคิดกระทั่งว่าหลูจื้อทำแบบนี้นับว่าเป็นการเหยียบเรือสองแคมไหม เป็นคนโกหกหรือเปล่า

 

 

 

 

——

 

 

[1] หอนกกระเรียนเหลืองหรือหอหวงเฮ่อโหลว黄鹤楼 สร้างเมื่อปี ค.ศ.223 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแยงซีเกียง ภายหลังก๊กอู๋ยึดได้เมืองจิงโจวหรือเกงจิ๋ว โดยก๊กอู๋สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นหอสังเกตการณ์ ป้องกันการโจมตีจากก๊กสูของเล่าปี่