เล่ม 1 ตอนที่ 363 ฝ่าบาท ได้โปรดส่งตัวนางมา!

ราชินีพลิกสวรรค์

เมื่อเรื่องที่ ‘ไป๋เซี่ยงถิง’ ไปพบลู่เสวียนที่เรือนรับรองซื่อฟางสองชั่วยามเต็มๆ แล้วจึงกลับไป ไปถึงพระราชวัง เป่ยเหมินเวยกำลังปรึกษากับหรงจิ่งเรื่องไฟไหม้ที่น่าประหลาดนั้นของตระกูลไป๋เซี่ยงอยู่

หลังจากที่เขาฟังรายงานจบ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “เหอะ! ตระกูลไป๋เซี่ยงนี่ช่างไม่ทำตามกฎระเบียบเอาเสียเลย!” เขาไม่ได้สงสัยความจริงของไป๋เซี่ยงถิง ถึงอย่างไรใบหน้าของไป๋เซี่ยงถิงก็ทำให้รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ก็คือถ้ามีคนอยากจะปลอมตัว ก็เป็นเรื่องที่ยาก

หรงจิ่งฟังอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ก้มหน้าลง แล้วยิ้มอ่อน

“ในตอนที่กระหม่อมเพิ่งถึงเป่ยโหรว ก็โชคดีได้เจอกับแม่นางไป๋เซี่ยงถิงท่านนี้” หรงจิ่งพูดอย่างช้าๆ

สีหน้าของเป่ยเหมินเวยไม่สู้ดีนัก ถึงขนาดไม่คำนึงถึงฐานะของกษัตริย์ พูดอย่างหยาบคายว่า “คุณชายจิ่งไม่จำเป็นต้องสนใจผู้หญิงแบบนั้น ไป๋เซี่ยงถิงคนนี้ดูแล้วงดงามน่ารัก แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่รู้ว่าแอบคบหากับผู้ชายมากี่คนแล้ว ผู้หญิงที่ทะเยอทะยานและสกปรกเช่นนี้ ไม่ควรค่าให้คุณชายใส่ใจ”

“กระหม่อมก็ไม่เคยใส่ใจ เพียงแต่รู้สึกว่าแม่นางไป๋เซี่ยงถิงท่านนี้มีน้ำใจไมตรียิ่งนัก เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ในตระกูล ยังมีความคิดที่จะมาพบลู่เสวียน” หรงจิ่งพูดอย่างเย็นชา

“ใช่แล้ว! ก็ไม่รู้ว่านี่คือแผนที่นางวางไว้เอง หรือเป็นการบอกเป็นนัยของไป๋เซี่ยงกง” เป่ยเหมินเวยหัวเราะอย่างเยือกเย็น

หรงจิ่งไม่ได้พูดตอบ

เป่ยเหมินเวยพูดต่อว่า “เมื่อคืน ข้าให้น้องเจวี๋ยไปดูสถานการณ์ที่ตระกูลไป๋เซี่ยง แล้วก็ถือโอกาสดูว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง แต่ไม่คิดว่าน้องเจวี๋ยจะถูกคำพูดที่เย็นชาของไป๋เซี่ยงกงไล่ออกมา บ้าที่สุดเลย!”

“ไม่รู้จักดีชั่ว ถึงอย่างไรก็เป็นน้ำใจของฝ่าบาท” หรงจิ่งพูดเสริม

“ก็จริง! พวกเขาเป็นพวกคนที่ไม่รู้จักดีชั่ว! มักเอาชื่อเรียกที่เป็นตระกูลขุนนางอันดับหนึ่งในเมืองเป่ยโหรวมาพูดอยู่ได้ทั้งวัน ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าทำผิดต่อผู้ใด นึกไม่ถึงว่าจะถูกวางเพลิง คิดๆ ดูแล้วก็สะใจจริงๆ” เป่ยเหมินเวยหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

ในเสียงหัวเราะ มีความดีใจที่เห็นผู้อื่นประสบเคราะห์

หรงจิ่งมองเขา พูดอย่างช้าๆ ว่า “ผู้ใดเป็นคนวางเพลิง ตระกูลไป๋เซี่ยงจะเป็นผู้ตรวจสอบ ฝ่าบาทลองคิดดู ไป๋เซี่ยงถิงคนนี้เข้าหาลู่เสวียนทันที มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงหรือไม่”

เป่ยเหมินเวยค่อยๆ หุบยิ้ม แววตามืดมัวลง

“ตระกูลขุนนางใหญ่ๆ แต่ละตระกูลในเป่ยโหรว ใครไม่รู้บ้างว่าลู่เสวียนเป็นลูกเขยของฝ่าบาทเวลาแบบนี้ หญิงสาวผู้สูงศักดิ์จากตระกูลขุนนางควรที่จะหลีกเลี่ยงถึงจะถูก แต่ไป๋เซี่ยงถิงคนนี้ทำไมถึงทำตรงกันข้าม ไปพบลู่เสวียนเป็นการส่วนตัว แล้วทั้งสองก็ดูเหมือนคุยกันถูกคอ อยู่ด้วยกันสองชั่วยามเต็มๆ ตอนท้ายลู่เสวียนยังไปส่งนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หรือว่าตระกูลไป๋เซี่ยงคิดจะเอาหยวนหวังแห่งราชวงศ์ จยาเซียนคนนี้เป็นลูกเขย”

ด้วยคำพูดของหรงจิ่ง สีหน้าของเป่ยเหมินเวยยิ่งดูแย่ขึ้นเรื่อยๆ

ปึง!

“เหอะ! พวกคนไร้ค่ากล้ามาทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าข้า” เป่ยเหมินเวยเอามือทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง ความไม่พอใจที่มีต่อตระกูลไป๋เซี่ยงไหลทะลักออกมาราวกับประตูกั้นน้ำที่ถูกเปิดออก

“พวกเราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปคาดเดาเอาเอง หยวนหวังก็ยังเคารพฝ่าบาทอยู่ ฝ่าบาทอยากรู้ว่าไป๋เซี่ยงถิงพูดอะไรกับเขา ก็เรียกเขาเข้าวังมาถามสิพ่ะย่ะค่ะ” หรงจิ่งเสนอความคิดเห็น

เป่ยเหมินเวยพยักหน้าช้าๆ “ไม่เลว ทหาร ไปเชิญหยวนหวังเข้าวัง!”

ณ ตระกูลไป๋เซี่ยง มีลูกศิษย์รีบเข้ามารายงานกับไป๋เซี่ยงกง

“นายท่าน มีคนนำประกาศจับมารายงาน บอกว่าไม่นานมานี้เห็นโจรสาวที่ชื่อว่าเซ่าจวินอยู่ที่ชิ่งตู”

ทันใดนั้น ตาทั้งสองข้างของไป๋เซี่ยงกงก็ดุดันขึ้นมา “เจอที่ไหน”

“ในเมืองพ่ะย่ะค่ะ คนที่มารายงานบอกว่าเพื่อนของเขาแอบตามอยู่”

ไป๋เซี่ยงกงยิ้มเยาะขึ้นมา “ดีเลย! ฆ่าคนตระกูลไป๋เซี่ยงของข้าไปตั้งมากมาย ยังจะกล้ามาปรากฏตัวในเมืองชิ่งตูอีกหรือช่างเป็นคนที่ไร้เดียงสาและไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ!”

“ลูกศิษย์!” เขาตะโกนเสียงดัง

ลูกศิษย์ของตระกูลไป๋เซี่ยงหลายคนก้าวออกมา

ไป๋เซี่ยงกงขานชื่อ “ไป๋เซี่ยงไท่ เจ้านำพวกเขาสิบกว่าคนไปเอาตัวโจรสาวคนนั้นกลับมา!”

“พ่ะย่ะค่ะ นายท่าน! ท่านวางใจได้ ข้าไม่มีทางปล่อยนางหลุดมือไปเด็ดขาด! ถ้าหากนางกล้าหนี ข้าก็จะตีขาทั้งสองข้างของนางให้หักก่อน!” ไป๋เซี่ยงไท่ก้าวออกมา

“รีบไป” ไป๋เซี่ยงกงเร่ง

มีข้อมูลของโจรสาวแล้ว ถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดในสองวันนี้ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าโจรสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งฆ่าคนมีฝีมือตระกูลไป๋เซี่ยงของเขาไปมากมายอย่างโหดร้ายเช่นนั้นได้อย่างไร แล้วยังต้องรู้ให้ได้อีกว่าแท้จริงแล้วนางนำอะไรออกมาจากสุสานโบราณ

ที่จริง ถ้าไม่ใช่เพราะเป่ยเหมินเวยปกป้องไว้ เขาก็อยากจะจับลู่เสวียนและเหวินเหรินชิ่งชิ่ง ทั้งสองคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกลับมา แล้วเฆี่ยนตีให้พูดเรื่องราวในวันนั้นออกมา

ไม่คิดเลย เขาเพิ่งจะไว้หน้าเป่ยเหมินเวยไป ตกเย็นเป่ยเหมินเวยก็ส่งคนมาที่ตระกูลไป๋เซี่ยง!

ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ!

ไป๋เซี่ยงไท่นำคนไล่ตามคนที่สะกดรอยตาม แต่ว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เส้นทางนี้เป็นทางไปพระราชวังอย่างเห็นได้ชัด

“คนอยู่ไหน” ไป๋เซี่ยงไท่ถามคนที่สะกดรอยตาม

คนที่สะกดรอยตามพูดว่า “นางไปพระราชวังแล้ว ข้าไม่กล้าตามต่อ”

พระราชวัง!

ทันใดนั้นไป๋เซี่ยงกงก็เบิกตาโตทั้งสองข้าง ความชั่วร้ายเกิดขึ้นในแววตา “นางยังกล้ากลับมาอีก! ยังกล้ากลับไปพระราชวังอย่างทะนงองอาจอีกรึ”

“เงินรางวัลที่บอก จะได้อยู่หรือไม่”

ทั้งสองถูมือไปมา มองไป๋เซี่ยงไท่ด้วยใบหน้าประจบ

ไป๋เซี่ยงไท่หันมามอง ยิ้มอย่างเย็นชา “อยากได้เงินรางวัลอย่างนั้นรึ”

ฟุบๆ!

เสียงที่เบาทั้งสองเสียงดังขึ้น ทั้งสองคนล้มลงไปอย่างไร้เสียงด้วยใบหน้านิ่ง

ไป๋เซี่ยงไท่ยิ้มอย่างเหยียดหยาม แล้วสั่งว่า “จัดการศพซะ คนอื่นไล่ตามกับข้าต่อ!”

ไม่ได้เสียเวลาอะไรมาก ไป๋เซี่ยงไท่ก็นำคนวิ่งไปยังพระราชวัง เขาต้องจับนางกลับไปยังตระกูลไป๋เซี่ยงให้ได้ก่อนที่นางจะเข้าวังไป

มิฉะนั้น ถ้านางเข้าวังไปแล้ว ก็จะเพิ่มความยุ่งยากมากยิ่งขึ้น

“อยู่นั่น!”

ในตอนที่กำแพงวังปรากฏอยู่ข้างหน้าของพวกไป๋เซี่ยงไท่ พวกเขาก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปยังประตูใหญ่ของพระราชวัง ท่าทางที่ทะนงองอาจ ไม่กังวลว่าจะถูกพบเลยสักนิด

เหมือนสังเกตเห็นได้ว่าพวกเขาตามมา เด็กผู้หญิงคนนั้นหันมามองพวกเขา ก็คือใบหน้าของเซ่าจวิน

เป็นนางจริงๆ ด้วย! ตลอดทางที่ไป๋เซี่ยงไท่มาจากราชวงศ์จยาเซียน เห็นหน้าของเซ่าจวินไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีทางจำผิด

เพียงมองแค่ปราดเดียว เขาก็ยืนยันได้ นี่ก็คือคนที่พวกเขาตามหา!

“หยุด!” ไป๋เซี่ยงไท่ตะโกนเสียงดัง เร่งความเร็วพุ่งเข้าไป

แต่ทว่า เขากลับไม่รู้ ใบหน้านั้นของเซ่าจวิน ก่อนที่จะหันกลับไปมองก็เป็นอีกคน หลังจากที่นางให้ไป๋เซี่ยงไท่มองนางชัดเจนแล้ว พอหันกลับไปก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าก่อนหน้านี้

นางยังคงเดินไปยังประตูวัง แสดงตราประจำตัวที่สามารถเข้าวังได้ให้กับทหารเฝ้าประตู เดินเข้าวังไปต่อหน้าต่อหน้าไป๋เซี่ยงไท่

“ข้าบอกให้เจ้าหยุด!” ไป๋เซี่ยงไท่เห็นว่านางเข้าวังไปแล้ว จึงเกิดร้อนใจขึ้นมา รีบไปยังประตูวัง

ทหารที่เฝ้าประตูวังตกใจ รีบขว้างเขาไว้ ตะโกนเสียงดังว่า “ใต้เท้าไป๋เซี่ยง ท่านคิดจะบุกเข้าวังอย่างนั้นรึ”

บุกเข้าวัง เช่นนั้นคือการกบฏ!

ไป๋เซี่ยงไท่หยุดฝีเท้าลง พูดด้วยสีหน้าอึมครึมว่า “ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”