ตอนที่ 173 เรื่องที่เลวร้ายเกิดขึ้นใกล้ตัว

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

“หื้อ?” ซูหวานหว่านพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา พร้อมกับคว้าผักที่ถูกปามาเอาไว้ หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดนักบวชคนนี้ถึงมาอยู่หน้าประตูได้ เช่นนั้นแล้วนางจึงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “เมื่อครู่ผู้ใดเป็นคนเอ่ยออกมางั้นรึ? ก้าวออกมาเถิด พวกเรามาคุยกันหน่อยสิ!”

“ดูสิ! ดูท่าทางของเป่ยฉวนเฟิงหลิวน่าจะโมโหมาก! แน่นอนว่าจะต้องเป็นฝีมือเขา!”

“ถูกต้องแล้ว! นักบวชมาที่นี่เมื่อคืนนี้เพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้าย ถ้าดูตามนิสัยของเป่ยฉวนเฟิงหลิวแล้ว เขาจะต้องไม่อยู่เฉย ๆ แน่เมื่อมีคนมาพูดไม่ดีเกี่ยวกับศิษย์น้องของเขา”

“มันก็จริง! ต้องเป็นเขาทำแน่ ๆ!”

“…”

ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเอ่ยออกมาก่อน บางคนก็เออออตามกันไป ซูหวานหว่านเหลือบไปเห็นคนหนึ่งก้มหน้างุดอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน มองดูแล้วเหมือนซูเสี่ยวเหยียนมาก!

แน่นอนว่านักบวชคนนี้เคยเกี่ยวข้องกับซูเสี่ยวเหยียนมาก่อน และแน่นอนว่าการตายของนักบวชจะต้องเกี่ยวข้องกับนางแน่นอน!

ซูหวานหว่านกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ฉีเฉิงเฟิงก็ถือชามบะหมี่เดินออกมา และใช้อีกมือหยิบแผ่นป้าย “ทุกท่าน บางเรื่องพวกท่านจะต้องมีหลักฐานก่อนถึงจะพูดออกมาได้ หากมีหลักฐานไม่เพียงพอแล้วพวกท่านมาพูดซี้ซั้วเดากันไปเอง ข้าสามารถจับพวกท่านขังคุกข้อหาหมิ่นประมาทได้ เมื่อสืบหาหลักฐานมาแล้วเขาไม่ผิดใครกันที่จะอับอาย? พวกท่านลองคิดดูให้ดี ๆ ก่อนเถิด”

ทุกคนต่างหยุดพูดลงทันที แต่ฉีเฉิงเฟิงจ้องมองมือของซูหวานหว่านและพูดอย่างเคร่งขรึม “ใครเป็นคนปามันมา? นี่เป็นการบ่งบอกนิสัยของคนที่อยู่ในเมืองอย่างงั้นหรือ? ไร้ยางอายที่สุด”

หลายคนต่างก้มหน้างุด พวกเขาเหลือบมองกันพร้อมกับกะพริบตาแล้วพูดออกมาว่า “มันไม่ถูกต้องอย่างงั้นรึ? พวกเราแค่กำลังตามหาตัวผู้ต้องสงสัยอยู่! เป่ยฉวนเฟิงหลิวเป็นคนที่น่าสงสัยมากที่สุดแล้ว! เขาปกป้องศิษย์น้องของตนตอนที่อยู่ร้านอาหารเจวียเซ่อในวันนั้น ทั้งยังพูดจาอย่างโหดร้าย! และข้าก็อยู่ที่นั้นในวันนั้นด้วย!”

“ผู้ต้องสงสัย?” ฉีเฉิงเฟิงจ้องไปที่ชายคนนั้นและพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “หากเป่ยฉวนเฟิงหลิวต้องการฆ่าคนจริง ๆ เหตุใดเขาถึงโง่เขลาสิ้นคิด ถึงขนาดฆ่าคนแล้วมาทิ้งไว้ที่ประตูหน้าบ้านของตัวเอง หากพูดตามหลักแล้ว เหตุใดเขาถึงไม่ฆ่านักบวชคนอื่น ๆ ที่มากับหัวหน้านักบวชคนนี้ด้วยล่ะ?”

ฉีเฉิงเฟิงเดินไปส่งชามบะหมี่ให้เป่ยฉวนเฟิงหลิวและพูดว่า “กินข้าวเช้าก่อน”

จากนั้นเขาก็เดินไปดูที่ศพคนเดียวและพูดว่า “นักบวชคนนี้มีลูกศิษย์อยู่ ตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน? เหตุใดถึงไม่ตามหาตัวเขา? ถ้าเราเจอตัวเขาคดีนี้อาจจะคลี่คลายได้!”

ทันทีที่พูดจบชายคนหนึ่งก็เดินออกมาจากกลุ่มฝูงชน ชายผู้นั้นคือลูกศิษย์นักบวชคนนี้!

เขาพูดออกมาว่า “ข้าเป็นลูกศิษย์ของเขา…และเมื่อคืนนี้…ข้าเห็นอาจารย์ของข้าถูกเป่ยฉวนเฟิงหลิวฆ่า! ข้ากลัวว่าจะถูกฆ่าอีกคน จึงวิ่งหนีไปซ่อนตัวมาจนถึงตอนนี้เพิ่งกล้าที่จะออกมา!”

ซูหวานหว่านที่กำลังนั่งกินบะหมี่อยู่ชะงักไปชั่วขณะ และกำลังจะพูดออกมา แต่ถูกกลุ่มชาวบ้านหัวเราะเยาะ “มันก็จริงนะ! ข้าคิดว่าเป่ยฉวนเฟิงหลิวนั้นโหดร้ายและร้ายกาจมาก! ดูตอนนี้สิ มีศพอยู่ตรงนี้เขาก็ยังกินบะหมี่ได้อยู่อีก! แค่ฆ่าคนสำหรับเขาแล้วนั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แน่นอนว่าเขาทำได้!”

“น่าเสียดาย! ทั้งที่ตัวเองก็เป็นหมอแท้ ๆ! เขาสมควรตกนรก!”

“…”

“โอ้? ข้าโหดร้ายและร้ายกาจรึ?” ซูหวานหว่านกระตุกยิ้มออกมาอย่างเย็นชา นางถอดผ้าคลุมหัวออกเผยให้เห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งที่น่าหลงใหลปรากฏแก่ทุกคน “ใครบอกว่าข้านั้นดุร้ายและชั่วร้าย? ตอนนี้สามารถพิสูจน์คำพูดของศิษย์นักบวชว่าเป็นความจริงหรือเท็จได้แล้วหรือยัง?”

ในตอนนี้เต็มไปด้วยสตรีมากหน้าหลายตา พอได้เห็นหน้าตาของซูหวานหว่านถึงแม้น้ำเสียงจะเย็นชาเพียงใด พวกนางก็สามารถฟังได้อย่างสบายหู พวกนางตำหนิคนที่เพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่ทันทีว่า “พวกเจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน! คุณชายเป่ยฉวนเขาเป็นหมอ! ใจดีและมีเมตตา! ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้แน่! เช่นเดียวกับคุณชายฉีที่เพิ่งบอกว่าหากคิดจะฆ่านักบวช เหตุใดถึงไม่ฆ่าตั้งแต่ตอนนั้นแล้วทำไมจะต้องมาฆ่าตอนนี้!”

“ใช่แล้ว!”

“…”

เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของทิศทางลม ใบหน้าของซูเสี่ยวเหยียนที่อยู่ในกลุ่มฝูงชนก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสี พลันความขุ่นเคืองในแววตาของนางก็ปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างเด่นชัด แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่พูดออกมาอยู่

ฉีเฉิงเฟิงนำเชือกออกมาแล้วเดินเขาไปมัดมือของคนเหล่านั้นเอาไว้ “มีแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่พูดพล่ามและพูดจาไร้สาระออกมา เป็นคนน่าสงสัยที่สุด!”

ถ้อยคำของคนเหล่านี้ช่างไร้สาระ ฉีเฉิงเฟิงจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่เขาได้จับมัดไว้พร้อมกับพูดว่า “ข้าอยากพาพวกเจ้าไปสอบปากคำ แต่หากพวกเจ้าต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ก็เตรียมหาคำพูดพูดกับท่านนายอำเภอได้เลย! แต่หากพวกเจ้าพูดออกมาตอนนี้ ข้าจะให้พวกเจ้านั้นได้ลิ้มรสชาติความรู้สึกของการกินดิน!”

กินดิน? ซูเสี่ยวเหยียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนตกตะลึง เป็นไปได้ไหมว่าฉีเฉิงเฟิงนั้นจะเป็นคนมาจากยุคปัจจุบัน?

แต่ไม่ว่าอย่างไรภายใต้แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของซูเสี่ยวเหยียน นางเห็นฉีเฉิงเฟิงกำลังเดินไปหยิบดินมาหนึ่งกำมือ แล้วยัดเข้าไปในปากของคนที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ทำให้อีกฝ่ายเงียบลงในทันที

เมื่อซูเสี่ยวเหยียนเห็นแบบนี้หัวใจของนางก็สั่นไหวด้วยความกลัว หากว่ามีคนย้อนอดีตมาแบบนาง นางจะฆ่าคนนั้นทิ้ง! นางจะต้องครองโลกใบนี้เพียงคนเดียว!

“ผู้หญิงคนนั้น ดูเหมือนนางมีอะไรบางอย่างที่ต้องการจะพูดนะ?” ซูหวานหว่านกวาดสายตามองซูเสี่ยวเหยียน

และทันใดนั้นเองพวกผู้หญิงทุกคนก็มองไปที่ซูเสี่ยวเหยียนด้วยความอิจฉา ซูเสี่ยวเหยียนพลันหน้าแดงและไม่กล้าที่จะเงยหน้าพร้อมกับส่ายหัวไปมา

ฉีเฉิงเฟิงจะจับกุมคนเหล่านั้นไปหลังจากที่ซูหวานหว่านกินบะหมี่เสร็จแล้ว และเขาก็ต้องการให้ซูหวานหว่านไปด้วย เพื่อที่เขาจะได้เชิญพลลาดตระเวนและท่านนายอำเภอมาดูที่เกิดเหตุ แต่ซูหวานหว่านกลับพูดออกมาว่า “ทุกท่าน วันนี้ขาและเท้าของข้านั้นเจ็บมาก เดินไม่ค่อยสะดวก ไม่รู้ว่า…”

“ข้าจะไปบอกท่านนายอำเภอเอง! คุณชายเป่ยนั่งกินข้าวไปก่อนก็ได้”

“ข้าจะไปด้วย!”

“…”

หญิงสาวหลายคนรีบเดินออกไป ซูหวานหว่านจึงเลิกคิ้วขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกถึงวิกฤต ดูเหมือนว่าในตอนนี้ซูหวานหว่านจะกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามแฝงไปด้วยความร้ายกาจไปแล้ว และดูเหมือนเขาจะมีคู่แข่งศัตรูหัวใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาไม่เพียงแต่ต้องป้องกันผู้ชายเท่านั้น แต่ยังต้องต่อต้านพวกผู้หญิงอีกด้วย!

ฉีเฉิงเฟิงเหลือบมองซูหวานหว่านอย่างขมขื่น หญิงสาวจึงส่งยิ้มออกมาและส่งชามให้กับฉีเฉิงเฟิง โดยที่ฉีเฉิงเฟิงนั้นก็นำชามไปล้างทันทีโดยไม่กล่าวอะไรออกมา

ในขณะเดียวกัน ซูหวานหว่านพบว่าลูกศิษย์ของนักบวชคนนั้นได้หนีไปแล้ว!

ซูหวานหว่านไม่ได้ตื่นตระหนกหรือตกใจแต่อย่างใด นางยกมือขึ้นไปจับยุงที่ลอยอยู่ในอากาศเพื่อสอบถามว่าเขาหนีไปอยู่ที่ไหน และรีบตามไปจับตัวเขาเอาไว้ทันที แต่ใครเล่าจะไปรู้ว่าตอนที่ซูหวานหว่านกำลังไปจับจะมีกลุ่มผู้หญิงที่คลั่งผู้ชายคอยเดินมาสนับสนุนนางด้วย เดินตามติดราวกับนางเป็นเพชรล้ำค่า

หญิงสาวใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็จับเขาเอาไว้ได้

สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นขมขื่น และไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ทำให้ถูกเหล่าหญิงสาวที่คลั่งไคล้ซูหวานหว่านเอ่ยตำหนิขึ้นมา

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ท่านนายอำเภอและพลลาดตระเวนคนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามาหามศพออกไป ซูหวานหว่านเองก็ถูกจับไปด้วยให้ฐานะผู้ต้องสงสัย

ผู้คนก็ได้เดินตามนายอำเภอกลับไปที่ศาลาว่าการด้วยเช่นกัน ท่านนายอำเภอได้ส่งคนไปตามซูเสี่ยวเหยียนด้วย ในขณะที่รอเวลาเขาก็เริ่มไต่สวนลูกศิษย์ของนักบวชก่อน พลลาดตระเวนนำเครื่องทรมานออกมา ลูกศิษย์ของนักบวชเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบปีเท่านั้น แน่นอนว่าไม่เคยผ่านเครื่องทรมานเช่นนี้มาก่อน!

เขาร้องไห้ออกมาและอยากจะบอกความจริงทั้งหมด แต่เมื่อเขากำลังจะเปิดปากพูด เขาก็กระอักเลือกออกมา

ตายแล้วหรือ?

ซูหวานหว่านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เกิดอาการตกใจ นางรีบวิ่งเข้าไปเพื่อตรวจชีพจรของเขาและพบว่าเขาตายแล้วจริง ๆ!

ซูหวานหว่านขมวดคิ้วและพบว่าพิษในร่างกายของชายผู้นี้คือพิษเรื้อรัง เพราะมันต้องใช้เวลาสี่ชั่วยามกว่าที่ยาพิษจะออกฤทธิ์และทำให้ตาย! ถ้านับตั้งแต่เวลาเมื่อคืนจนถึงตอนนี้ที่มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นก็ครบสี่ชั่วยามพอดี!

หลายคนที่ไม่รู้เรื่องต่างเกิดความรู้สึกสับสน

ซูหวานหว่านลูบคางของตน พลันสมองของนางคิดอะไรบ้างอย่างขึ้นมาได้ …นางกำลังนึกถึงใครบางคน!