หากนับเวลาตั้งแต่แม่เจิ้นและซูเสี่ยวเหยียนปรากฏตัวขึ้นพร้อมนักบวช จนกระทั่งถึงตอนนี้แล้ว ล้วนเป็นไปได้ว่าซูเสี่ยวเหยียนจะให้พวกเขากินยาพิษเข้าไป!

ซูหวานหว่านขมวดคิ้วแน่น พลางใช้พลังวิเศษพูดคุยกับสัตว์ที่ผ่านมาถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอก “โอ้! เขาตายแล้วงั้นรึ! พวกเขาเป็นคนจิตใจดีและพยายามช่วยเราจนถึงที่สุด! พวกเราเชื่อใจเขา! คิดไม่ถึงว่ามันจะกะทันหัน…”

“…”

เสียงนั่นไม่เพียงแค่พูดออกมาเท่านั้น หากแต่ยังร้องไห้ครวญครางอีกต่างหาก

ซูหวานหว่านรู้สึกดีใจและพูดออกมาทันที “ท่านนายอำเภอ เช่นนั้นแล้วบุคคลภายนอกทั้งสองก็เป็นผู้ต้องสงสัยเช่นเดียวกัน ข้าอยากให้ท่านเร่งไต่สวนคดีนี้ และช่วยผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้ทำผิดให้พ้นผิด!”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ท่านนายอำเภอก็เห็นด้วยและส่งคนออกไป

ซูเสี่ยวเหยียนเอ่ยขึ้นมา “ท่านนายอำเภอ! ข้าต้องการร้องเรียนเกี่ยวกับนักบวชที่มาจากซ่งจินในข้อหาขโมยเงิน!”

แม่เจิ้นเอ่ยเสริม “แต่เดิมนักบวชกลุ่มนั้นถูกข้าเชิญมาเพื่อช่วยทำพิธีขับไล่วิญญาณชั่วร้ายออกจากครอบครัวของเรา แต่ใครจะไปคิดว่าภายหลังพวกเขาจะละโมบโลภมากขโมยเงินของข้าไป! พวกเราสองแม่ลูกเพิ่งรู้ตัวว่าถูกขโมยเงินไป ท่านต้องช่วยพวกข้าจับพวกเขานะเจ้าค่ะ!”

ซ่งจิน? ฉีเฉิงเฟิงกระตุกยิ้มเย็นชา ชายหนุ่มกันไปสบตาซูหวานหว่านที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับยกผ้าคลุมที่ปิดใบหน้าของคนตายขึ้นและเอ่ยออกมาว่า “คนที่เจ้ากำลังพูดถึงใช่คนนี้หรือเปล่า?”

“นี่!” ซูเสี่ยวเหยียนมองไปที่นักบวชที่นอนอยู่อย่างตื่นตระหนก “เขา… เขาตายได้อย่างไรกัน?”

ท่านนายอำเภอทุบโต๊ะเสียงดัง และขอให้คนของตัวเองค้นตัวศพแล้วหยิบถุงเงินออกมา “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการตายว่าเขาตายได้อย่างไร ข้าขอถามพวกเจ้าสองคนก่อนว่าเงินถูกขโมยไปเท่าไรกันรึ?”

“ ห้าตำลึง!” ซูเสี่ยวเหยียนตอบ

เมื่อนายอำเภอเปิดถุงเงินของเขาออกมาก็พบกับเงินห้าตำลึงจริง ๆ!

หัวใจของซูเสี่ยวเหยียนพลันสงบลง ก่อนจะเผยสีหน้าตกใจขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเขานั้นจะตายแล้ว แต่ถ้าหากพวกเราสองแม่ลูกยังคงตกเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ พวกเราก็เต็มใจที่จะให้เบาะแสแก่ท่านนายอำเภอเจ้าค่ะ”

ซูหวานหว่านที่ยืนฟังอยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างประชดประชัน ซูเสี่ยวเหยียนพูดออกมาเองว่าตัวเองเป็นผู้ต้องสงสัย และสามารถให้เบาะแสได้ แต่พวกเขานั้นไม่ได้บอกอะไรเลย นี่ไม่ใช่การตีตนไปก่อนไข้รึ?

นางเพิ่งจะมาที่นี่ บอกว่าตัวเองโดนขโมยเงินไปและเพิ่งรู้เมื่อคืน เห็นได้ชัดว่าเป็นการบอกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในลานบ้านของนาง! อีกอย่างมันก็มืดแล้วผู้คนในโรงเตี๊ยมอาจจะไม่เห็นว่านางออกไปในตอนกลางคืน หากจะพูดตามหลักฐาน ซูเสี่ยวเหยียนกำลังจะพูดออกมาตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของนักบวชคนนี้!

หากแต่นางไม่เชื่อ! ซูหวานหว่านเลิกคิ้วขึ้นและถามออกมาว่า “แต่ถ้าเมื่อวานข้าจำไม่ผิด พวกเจ้าสองคนแม่ลูกยืนคุยกันอยู่นอกบ้านของข้าและ…ยังให้สัญญากับนักบวชเอาไว้ว่าถ้าหากพวกเขากำจัดวิญญาณศิษย์น้องของข้าได้ จะให้เงินตอบแทนพวกเขาอย่างมหาศาลไม่ใช่รึ?”

หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของซูเสี่ยวเหยียนก็พลันเปลี่ยนไป เหตุใดเขาถึงรู้เรื่องนี้? เด็กสาวรู้สึกเกลียดชายผู้นี้ขึ้นมา หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปสักพัก นางก็ไม่ได้ตอบคำถามของซูหวานหว่าน แต่กลับพูดขึ้นมาว่า “จริงสิ ขอบคุณคุณชายเป่ยฉวนที่เตือนสติข้า! นักบวชคนนี้จะต้องถูกวิญญาณของพี่สาวข้าฆ่าตายแน่ ๆ! วิญญาณของพี่สาวข้านั้นชั่วร้าย เมื่อตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่นางยังมีจิตใจที่ชั่วร้าย เมื่อตายไปวิญญาณของนางก็ยิ่งอาฆาตแค้นยิ่งขึ้น นางถูกขังเอาไว้ในกรงหมูและถูกนำไปถ่วงน้ำจนตาย…แน่นอนว่าจะต้องเป็นนาง!”

สีหน้าของชาวบ้านพลันเปลี่ยนไปทันที พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาบ้าง แต่ตอนนี้ยิ่งเชื่อจนสนิทใจและเกิดอาการตกใจ “โดนผีฆ่า? เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นไม่ได้! มีชายคนหนึ่งในหมู่บ้านของเราที่ฆ่าภรรยาของตัวเองตาย แล้วมีอยู่วันหนึ่งเขาก็เมากลับมาบ้าน เห็นภรรยาของตัวเองกลับมาบ้านทำอาหารให้! หลังจากสร่างเมาแล้วพบว่าเป็นผี แต่หลังจากที่เขากินอาหารนั้นเข้าไป เขากลายเป็นบ้าทันที!”

“อา! มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? ในหมู่บ้านของเราก็มีเรื่องอย่างนี้ด้วย…”

“…”

บนโลกแห่งนี้มีผีที่ไหนกัน มีแต่คนกุเรื่องเหลวไหลขึ้นมาทั้งนั้น! ทุกคนกำลังติดกับดักของซูเสี่ยวเหยียนที่วางเอาไว้ใน และตอนนี้นางกำลังเดินออกไปแล้ว!

ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาพร้อมกับปรบมือ “แม่นางซูเสี่ยวเหยียนนี่น่าทึ่งนัก! โยนความผิดให้นักบวชคนนี้ว่าขโมยเงิน และโยนความผิดให้กับวิญญาณของพี่สาวตัวเองว่าเป็นคนฆ่า!”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ ทุกคนก็คิดอะไรบางอย่างออก พลันเกิดความโกลาหลขึ้นทันที พวกเขาทั้งหมดเริ่มคาดเดาออกไปต่าง ๆ นานา

สีหน้าของซูเสี่ยวเหยียนพลันหมองลงและพูดออกมาอย่างโกรธเคืองว่า “คุณชายเป่ยฉวน เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! วันนั้นข้าไม่ได้อยู่ที่บ้าน! คนที่อยู่บ้านมีแต่พ่อกับแม่ของข้า! การตายของพี่สาวข้าเกี่ยวข้องอะไรกับข้า? นอกจากนี้นักบวชผู้นี้ก็เป็นพระ เขาจะมาโกหกเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“ดูเหมือนว่าเจ้านั้นจะยังไร้เดียงสาเกินไป เจ้าเป็นคนฆ่าศิษย์น้องของข้าแล้วยังไม่ยอมรับออกมาอีกรึ? ช่างน่าตลกสิ้นดี!” ใบหน้าของซูหวานหว่านพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา และนางก็พูดออกมาราว ๆ ว่าซูเสี่ยวเหยียนนั้นเป็นคนวางแผนเอาไว้ พร้อมกับหันไปกระซิบพูดกับท่านนายอำเภอ หลังจากพูดคุยกันไปครู่หนึ่ง ท่านนายอำเภอก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิดและพูดว่า “ตามคนมาให้ข้าที แล้วพาครอบครัวแม่นางเจิ้นออกไป ไต่สวนทั้งสองคนแยกกันซะ!”

พลลาดตระเวนเดินเข้ามาและปิดตาของแม่เจิ้นด้วยผ้าสีดำก่อนจะนำตัวนางออกไป จากนั้นก็พานางเดินกลับเข้ามา ทำเช่นนั้นอยู่ประมาณสองสามรอบ เมื่อพานางกลับเข้ามาอีกครั้ง ซูเสี่ยวเหยียนกำลังจะเอ่ยถามบางสิ่ง แต่กลับถูกพลลาดตระเวนนำเศษผ้ามายัดใส่ปากนางเอาไว้

ผ้าสีดำบนดวงตาของแม่เจิ้นยังไม่ถูกปลดออก พลลาดตระเวนก็พูดออกมาว่า “ถึงแล้ว”

แม่เจิ้นคุกเข่าลงและแก้ตัวออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านนายอำเภอ! พวกข้าสองแม่ลูกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตาของนักบวชจริง ๆ! ที่ซูหวานหว่านตายไปก็เป็นเพราะว่านางมันเป็นวิญญาณชั่วร้าย พวกเราสองคนแม่ลูกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรทั้งนั้น!”

“เฮอะ! หากเจ้าบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็คือไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” ท่านนายอำเภอรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ตอนนี้คดีหนึ่งแตกออกมาเป็นสามคดีที่ทับซ้อนกัน เมื่อเขาคิดว่าผู้หญิงฉลาดอย่างซูหวานหว่านนั้นตายแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจและโกรธเคืองขึ้นเป็นอย่างมาก ชายชรานั่งลงมองดูซูเสี่ยวเหยียนและพูดออกมาว่า “ข้าจะยังไม่ไต่สวนเรื่องการตายของซูหวานหว่าน แต่มาคุยกันว่าเจ้าอยู่ที่ไหนเมื่อคืนนี้? ซูเสี่ยวเหยียนอยู่ที่ใด? พวกเราพบว่านักบวชคนนี้มีปิ่นติดผมอยู่กับตัว และบนศีรษะของเขานั้นก็มีรูที่มาจากการถูกปิ่นปักผมแทงเข้าไป! แน่นอนว่าผีนั้นฆ่าใครไม่ได้แน่ ๆ! ที่พวกเราสรุปได้ก็คือซูเสี่ยวเหยียนนั้นเป็นคนฆ่านักบวช!”

“ฮะ?” แม่เจิ้นเกิดตกใจทันที!

ซูเสี่ยวเหยียนตื่นตระหนกขึ้นมา นายอำเภอต้องการเค้นความจริงจากปากของแม่เจิ้นอย่างแน่นอน! และแม่เจิ้นก็รู้ว่านางออกจากห้องไปเมื่อคืนนี้!

ซูเสี่ยวเหยียนดื้อดึงพยายามคายเศษผ้าออกจากปากของนางออก เมื่อซูหวานหว่านเห็นนางก็ปิดปากของซูเสี่ยวเหยียนทันทีและกระซิบข้างหูนางว่า “ซูเสี่ยวเหยียน เจ้าไม่รอดแน่”

ความกังวลในหัวใจของซูเสี่ยวเหยียนพลันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่มือของซูหวานหว่านกลับพันธนาการไว้แน่นหนาไม่สามารถหลุดออกไปได้

ขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองไปยังแม่เจิ้น นางก็พูดออกมาว่า “เป็นซูเสี่ยวเหยียนจริง ๆ อย่างงั้นหรือ? นางได้ออกไปข้างนอกเมื่อคืนเป็นเวลานาน นานมากกว่านางจะกลับมา ถึงว่าตอนที่นางกลับมา นางได้เปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองเป็นตัวใหม่กลับมาที่โรงเตี๊ยม นางบอกว่าเปลี่ยนมันหลังจากหกล้ม แต่ข้ายังได้กลิ่นเลือดตามตัวของนางอยู่นิดหน่อย…”

ยิ่งเอ่ยออกมา นางก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ นายอำเภอได้ข้อสรุปของคดีนี้แล้ว เขาสั่งให้พลลาดตระเวนเปิดผ้าปิดตาของแม่เจิ้นออก พร้อมกลับแกะเชือกที่มือของซูเสี่ยวเหยียน เมื่อหันไปเห็นว่าลูกสาวของตนเองนั่งอยู่ข้าง ๆ นางก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คือกับดัก

แม่เจิ้นรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนางจึงคุกเข่าลงและตบปากของตัวเองทันที “ที่จริงข้าเป็นคนฆ่านักบวชคนนั้น! มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับลูกสาวของข้าเลย! พวกเจ้าห้ามทำอะไรนางนะ!”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทุกคนก็ได้รู้ความจริง! รับรู้ได้เลยว่าซูเสี่ยวเหยียนนั้นเป็นคนทำ! แม่เจิ้นยอมรับออกมาแบบนี้ก็เพียงเพื่อปกป้องไม่ให้ซูเสี่ยวเหยียนถูกจับไปทรมาน!

ใบหน้าของซูเสี่ยวเหยียนพลันซีดลงทันที นึกตำหนิแม่เจิ้นอยู่ในใจว่าเหตุใดถึงโง่ได้แบบนี้!

เมื่อซูหวานหว่านเห็นเช่นนี้ มุมปากของนางพลันกระตุกขึ้น “ซูเสี่ยวเหยียน เจ้ายังไม่ยอมรับผิดอีกรึ เจ้าอยากให้แม่ของเจ้าถูกขังแทนเจ้าหรืออย่างไร?”

ท่านนายอำเภอเห็นแบบนี้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อ เขาต้องการปิดคดี และตัดสินลงโทษ แต่ก็มีเสียงกลองร้องทุกข์ดังอยู่นอกประตูและได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดว่า “ข้ามาสารภาพความผิด! ข้าเป็นคนฆ่านักบวชคนนั้น!”

ฆาตกรไม่ใช่ซูเสี่ยวเหยียน? ทุกคนต่างตกตะลึง!

ซูหวานหว่านขมวดคิ้วทันที รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ!

แม้แต่ซูเสี่ยวเหยียนเองก็ยังตกใจ นางไม่ได้จ้างใครให้มาสารภาพรับความผิดนี้แทนนางเสียหน่อย!