บทที่ 77 ยังมีอะไรไม่พอใจอีก

บุหลันเคียงรัก

ใจจื่อซีเต้นรัวราวกับกลอง

 

 

นางก้มหน้าลงอย่างขาดความมั่นใจแล้วถอยหลังไปหลายก้าว

 

 

เซ่าอี๋ลูบไล้นกเพลิงตัวน้อยบนแขน พลางยิ้มตาหยีมองไปยังใบหน้าของเทพธิดาหมิงซิ่วตรงหน้าที่เปลี่ยนเป็นซีดเผือด ไม่ว่าอย่างไรนางก็เรียกนกเหล่านั้นกลับมาไม่ได้ ราวกับว่าพวกมันกลายเป็นของเทพหนุ่มตรงหน้านางไปเสียเฉยๆ

 

 

เขาขยับแขน นกเพลิงตัวน้อยทั้งหลายก็ต่างโผบินขึ้นแล้วกลับไปบนฝ่ามือของเทพธิดาหมิงซิ่วอย่างนุ่มนวลพร้อมสลายไป ริมฝีปากของเทพธิดาหมิงซิ่วสั่นระริก ราวกับอยากจะกล่าวอะไรออกมาแต่กลับพูดไม่ออก จึงได้แต่เดินก้มหน้ากลับไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ

 

 

มหาเทพเจินอู่โมโหมาก “เหยียนฟ่าน เจ้าไปขอคำชี้แนะจากศิษย์น้องตระกูลชิงหยางคนนี้เสียหน่อย!”

 

 

เทพหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก้าวออกมาแล้วประสานมือคารวะ

 

 

ในใจจื่อซีค่อยๆบันดาลโทสะขึ้น มหาเทพเจินอู่คนนี้ไม่พอใจมหาเทพไป๋เจ๋อขนาดไหนกัน ทำไมเขายังต้องการสู้ให้รู้ผลอีก เซ่าอี๋ที่อยู่ข้างๆพลันหันหน้ากลับมาแล้วถามนางเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่หญิง หากข้ายอมแพ้ท่านคงไม่โทษข้าหรอกนะ”

 

 

จื่อซีกระทืบเท้าอย่างอดไม่อยู่ “เจ้า ทั้งๆที่สู้ได้แท้ๆทำไมต้องยอมแพ้ด้วย”

 

 

เซ่าอี๋เลิกคิ้ว “ท่านดูเทพที่เดินเข้ามาคนนั้นสิ เขาทั้งร่างหนาตัวดำ หน้าตาน่าเกลียด ข้าไม่อยากสู้กับเขา”

 

 

แต่ละคนเอาแต่ใจกันทั้งนั้น! จื่อซีคลำกระบี่อ่อนที่เอว หากเขาไม่สู้ นางสู้เอง!

 

 

เสวียนอี่ยืนดูอยู่ด้านข้างอย่างได้อารมณ์ และอดที่จะสอดปากขึ้นมาไม่ได้ “นี่คือจะใช้วิธีสู้แบบเวียนกันแล้ว”

 

 

พอได้ยินดังนั้น สีหน้าของมหาเทพตรงหน้าทั้งสองก็ย่ำแย่ขึ้นมาอย่างมาก นางพูดกระแทกใจดำจริงๆ ศิษย์ของมหาเทพเจินอู่กำลังผลัดกันเข้ามาสู้จริงๆ และยังทำได้ไม่น่าดูอย่างมาก

 

 

มหาเทพไท่จางมีนิสัยอ่อนโยนกว่า วันนี้เขาถูกมหาเทพเจินอู่ลากมา จึงรีบไกล่เกลี่ยว่า “เจินอู่ มหาเทพไป๋เจ๋อยังไม่ถึงที่นี่เลย เจ้าโมโหเหล่าศิษย์พวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์”

 

 

มหาเทพเจินอู่เองก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว เขาเป็นพวกนิสัยมุทะลุอารมณ์ร้อน จึงถูกคำพูดเหล่านั้นของมหาเทพไป๋เจ๋อทำเอารู้สึกไม่สงบไปหลายวัน และรู้สึกว่าต้องมากู้หน้าคืนให้ได้ แต่ว่าศิษย์ที่ตัวเองภาคภูมิใจกลับถูกเอาชนะไปได้ง่ายๆทำให้เขาได้สติขึ้นมา ศิษย์ที่มหาเทพไป๋เจ๋อรับมาในสำนักมีแต่เทพจากตระกูลมีชื่อ แต่ละคนต่างก็มีสายเลือดสูงศักดิ์ทั้งนั้น เทพหนุ่มเมื่อครู่นี้ก็คือตระกูลชิงหยาง ส่วนเทพธิดาตัวน้อยที่เพิ่งเอ่ยปากพูดนั้น มีลายปักมังกรหลับตาเต็มชุด น่าจะคือตระกูลจู๋อิน ได้ยินว่ายังมีตระกูลหวาซวีที่กราบเข้ามาในตำหนักหมิงซิ่งอีกด้วย เขาวู่วามมากู้หน้าคืน แต่จริงๆแล้วก็คือการมาเสียหน้าข้างนอก

 

 

แต่ว่าคำพูดที่เขาพูดไปแล้วจะเก็บกลับมาอย่างไร ใครก็ได้หาทางลงให้เขาที

 

 

ในตำหนัก เทพอายุน้อยสองคนวิ่งมาอย่างร้อนรน ทั้งสองคนก็คือไท่เหยาและกู่ถิงที่เพิ่งมาถึง พอได้เห็นสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้า ไท่เหยาก็รีบยิ้มแล้วเข้ามาประสานมือคารวะพลางกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นมหาเทพไท่จางกับมหาเทพเจินอู่นี่เอง ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองจะมาเยี่ยมเยียน ไท่เหยามาสายแล้ว ขอท่านทั้งสองโปรดอภัยให้ด้วย”

 

 

โอรสองค์ที่เก้าแห่งจักรพรรดิสวรรค์หาทางลงให้ มหาเทพเจินอู่ก็รีบลงมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าพลันอ่อนลง “องค์ชายเก้า ไม่ได้เจอกันนาน ท่านสูงขึ้นมาไม่น้อยเลย”

 

 

ไท่เหยายิ้มแล้วกล่าว “คิดว่ามหาเทพทั้งสองคงจะมาเยี่ยมอาจารย์ เหล่าศิษย์น้องหญิงชายของข้าไม่รู้อะไรควรมิควร ทำให้ดูแลท่านทั้งสองได้ไม่ดีนัก ขออย่าได้ถือสา จื่อซี รบกวนเจ้าดูแลเหล่าศิษย์ของมหาเทพด้วย หลายวันนี้สวนดอกไม้ทิศใต้ต่างผลิบานแล้ว ถือเป็นเวลาดีที่จะไปชมบุปผา ต้อนรับแขกให้ดี”

 

 

เขาพูดไป ก็ส่งสายตาให้กู่ถิง ให้เขารีบไปลากมหาเทพไป๋เจ๋อออกมา

 

 

ดูเหมือนว่าแค่พริบตาเดียว ลานที่แน่นขนัดก็ดูเบาบางลงไปมาก มหาเทพทั้งสองได้รับการดูแลจนไปนั่งจิบชารอที่โถงด้านหน้าอย่างอารมณ์ดี ส่วนเหล่าศิษย์ต่างสำนักกว่าร้อยคนก็ถูกจื่อซีและเทพรับใช้สองคนพาไปที่สวนดอกไม้ทิศใต้ เสวียนอี่กะพริบตาอย่างประหลาดใจ นางคิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่ปกติมักจะเอาแต่ประนีประนอมเป็นคนดีจะมีฝีมือไม่น้อย

 

 

ไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว นางจึงหมุนตัวไปอย่างเสียดาย ศิษย์ส่วนมากต่างก็ตามจื่อซีไปที่สวนดอกไม้ทิศใต้ ไท่เหยาดื่มชาเป็นเพื่อนมหาเทพที่มาหาเรื่องทั้งสอง ส่วนกู่ถิงก็ตรงไปลากมหาเทพไป๋เจ๋อและปลุกให้ตื่นที่เรือนฟางซิน

 

 

ดูเหมือนจะขาดใครไป เงาร่างสีขาวราวกับหิมะนั่นหายไป

 

 

ไม่อยู่ก็ดี

 

 

สายตาของเสวียนอี่มองไปที่ร่างของเซ่าอี๋ข้างดอกจื่อหยาง ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรกับเทพธิดาที่ปล่อยนกเพลิงตัวน้อยออกมาเมื่อครู่ เขาก้มหน้าลงน้อยๆและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ด้วยท่าทีอ่อนโยนและให้ความสนใจ ไข่มุกสีแดงเพลิงที่หน้าผากสั่นไหวไปมา

 

 

เสวียนอี่จัดกระโปรงแล้วค่อยๆเดินเข้าไป นางคล้องแขนเขาเอาไว้แล้วมองไปที่เทพธิดาหมิงซิ่วตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร

 

 

เทพธิดาหมิงซิ่วชะงักไป และรู้สึกขัดเคืองขึ้นมา แต่พอได้เห็นลายปักมังกรหลับตาที่ชุดของนาง ก็รีบถอยออกไปด้านหลังหนึ่งก้าวพร้อมฝืนยิ้ม “เทพเซ่าอี๋ ข้าต้องไปหาเพื่อนในสำนักแล้ว มีโอกาสค่อยคุยกัน”

 

 

มองเงาร่างที่รีบร้อนจากไปของนาง เซ่าอี๋สูดลมหายใจเข้าแล้วก้มหน้าลงไปมองเสวียนอี่ “…เจ้าจะให้ข้าโมโหจนกระอักเลือดให้ได้ใช่ไหม”

 

 

เสวียนอี่คลี่ยิ้มบาง “ชีวิตข้าเป็นของศิษย์พี่เซ่าอี๋ แล้วข้าจะทนได้อย่างไร”

 

 

เซ่าอี๋โอบบ่านางไว้ แล้วเดินไปตามทางเดินสายเล็กที่เต็มไปด้วยดอกจื่อหยางผลิบานตลอดทาง พลางกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ข้ารู้ว่าปลาดุกอุยน้อยอย่างเจ้าเวลาจะวางแผนอะไรต้องมีการวนอ้อมเสียก่อน แต่ว่าทำให้เทพธิดาข้างกายข้าต้องตกใจหนีไปอย่างนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่กระมัง”

 

 

เสวียนอี่กล่าวช้าๆ “ถึงแม้ว่าข้ากับศิษย์พี่เซ่าอี๋จะเพิ่งรู้จักกันได้แค่หนึ่งปีกว่า แต่ว่ากลับรู้สึกเหมือนรู้จักมานาน ขนาดชีวิตข้ายังเป็นของท่านเลย ท่านยังไปทำตัวสนิทสนมกับเทพธิดาคนอื่นอีก แล้วท่านจะให้ข้ายินดีได้อย่างไร แต่ก่อนเป็นเพราะข้าเขินอายเกินไป ไม่กล้ามาสนิทกับท่าน แต่นับจากนี้ไป ข้าจะต้องสนิทกับท่านให้มากแล้ว จะได้ไม่ต้องผิดกับชีวิตตัวเอง”

 

 

เซ่าอี๋เห็นท่าทางนางอ้อมค้อมเจ้าเล่ห์อย่างนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาหยุดเท้าลง ตาเรียวดุจหงส์ของเขามองพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับกำลังพินิจสิ่งของ และยังจับปกเสื้อที่เบี้ยวไปของนางให้ด้วย สุดท้ายก็ดีดหน้าผากของนางเบาๆ “รอให้เจ้าโตขึ้นก่อนแล้วค่อยมาพูดเรื่องพวกนี้กับข้า ตอนนี้เจ้ายังเล็ก แทะไปก็ไม่อร่อย”

 

 

เสวียนอี่ผลักมือเขาออกไป และเชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งยโส พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ท่านสายตาไม่ดีเอง ถึงได้ไปชอบพวกที่ดีแต่แต่งตัวแต่งหน้า หน้าตาธรรมดาอย่างนั้น”

 

 

นางพูดเสียจนเขาจุกพูดไม่ออก นางมักจะพูดจนทำให้เขาไร้คำพูดได้เสมอ

 

 

เซ่าอี๋ถอนหายใจแล้วมองนางอีกครั้ง ใบหน้าอ่อนเยาว์ของนาง ท่าทางห่างเหินและหยิ่งยโสของนาง หากว่าโตขึ้นอีกหน่อยจะต้องเป็นอาหารเลิศรสแน่ นอกจากนี้นางยังฉลาดเป็นกรดและเข้าใจสถานการณ์อย่างนี้อีก พอคิดอย่างนี้แล้ว เทพธิดาคนอื่นก็ดูจืดจางลงไปจริงๆ

 

 

น่าเสียดาย ใครก็ได้ทั้งนั้น แต่ว่ามีแค่นางที่ไม่ได้

 

 

อารมณ์เสียดายในใจเขาทำให้เขาไม่อยากพูดอะไรออกมา เขาถอนหายใจและใช้มือตบศีรษะนางเบาๆ “เจ้าไปเล่นเองเถอะ ศิษย์พี่จะไปหาพวกที่แต่งตัวแต่งหน้าโบกแป้งหนาแล้ว”

 

 

คิดจะหนี?

 

 

เสวียนอี่ออกแรงกอดแขนเขาไว้พลางแย้มยิ้มงดงาม “ข้าไปด้วย ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะคุยกับศิษย์พี่”

 

 

เซ่าอี๋จนใจ รู้สึกเหมือนเขาทำตัวเองลำบากเสียแล้ว เขามองไปรอบด้านแล้วพลันเลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องฝูชาง ไม่ได้เจอกันนานเลย”

 

 

เสวียนอี่ปล่อยเขาแล้วหมุนตัวไปอย่างไม่รู้ตัว ร่างเงาสีขาวที่เยือกเย็นเดินผ่านหน้านางไป จังหวะเดินของเขายังคงกระฉับกระเฉงไม่มีเชื่องช้าลังเล

 

 

ไม่ได้เจอฝูชางมาสามเดือน เขาเดินเฉียดไหล่นางไปโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง ไม่มีแม้แต่ประโยคทักทาย ราวกับนางเป็นแค่หินก้อนเล็กข้างทางที่เขามองไม่เห็น

 

 

 นางหมุนกลับไปอีกครั้ง อารมณ์พลันไม่ดีขึ้นมา พอเห็นเซ่าอี๋หนีไปแล้ว อารมณ์นางยิ่งแย่เข้าไปอีก

 

 

เสวียนอี่เดินหน้าคล้ำง้ำงอไปทางสวนดอกไม้ทิศใต้ นางชักจะหมดความอดทนแล้ว หากครั้งหน้าเขาตกอยู่ในมือนางอีก นางไม่มีทางอ้อมค้อมกับเขาแน่ นางต้องถามเรื่องทุกอย่างให้ชัดเจนไม่ว่าต้องใช้วิธีอะไรก็ตาม