นางเดินวนรอบสวนดอกไม้ทิศใต้หนึ่งรอบ วันนี้สวนดอกไม้ที่เคยเงียบเหงาดูแน่นขนัดเพราะมีศิษย์จากตำหนักอื่นกว่าร้อยคน และเหล่าเทพรับใช้ตัวน้อยกลุ่มหนึ่งวิ่งวุ่นคอยบริการชาและขนมจนเหนื่อยหอบ
ศิษย์หลายคนพูดคุยยิ้มแย้มกัน แต่ว่ากลับไม่เห็นเซ่าอี๋ ที่แท้เขาก็มีความสามารถหลบซ่อนสูงไม่เบา
เสวียนอี่กำลังเดินวนอย่างหงุดหงิด ทันใดนั้นที่ไหล่ก็มีมือมาตบเบาๆ จื่อซีที่ยุ่งกับการต้อนรับศิษย์จากตำหนักอื่นเหนื่อยจนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ นางยื่นจานขนมมาให้นางแล้วยิ้มน้อยๆ “หิวแล้วสิ ข้าแอบเก็บของดีไว้ให้เจ้า กู่ถิงกับฝูชางอยู่ทางนั้น ไปนั่งกินเถอะ หากข้าว่างแล้วจะไปหา”
พูดจบนางก็วิ่งไป นางไม่มีเวลาแม้แต่จะนั่งพักเหนื่อย วิ่งวนราวกับลูกข่าง
เสวียนอี่ก้มหน้าลงมองจานกระเบื้องในมือ บนนั้นคือขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้งสี่ชิ้น ไม่ถือว่าเป็นของดีอะไร แต่ว่าครั้งที่แล้วขนมที่กู่ถิงเอามาอันนี้ถือว่าดีหน่อย นางจึงหยิบกินแต่มัน ถึงได้ทำให้จื่อซีเข้าใจไปว่านางชอบกิน
พวกกู่ถิงและฝูชางนั่งอยู่ใต้ต้นหลิว กู่ถิงกำลังกวักมือมาทางนาง ในใจนางนั้นไม่ได้ยินดีที่จะเข้าไปเลย แต่ว่านางไม่อยากให้จื่อซีต้องเสียน้ำใจ ชะงักไปครู่หนึ่ง นางจึงค่อยๆเดินเข้าไปทางต้นหลิวต้นนั้นช้าๆ
“แผลเจ้าหายดีแล้วหรือ” กู่ถิงเห็นนางเดินได้คล่องแคล่วแล้วก็อดที่จะตกใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่า บาดแผลของตระกูลจู๋อินจะหายดีได้ช้ามากหรือ นางใช้เวลาแค่หนึ่งปีก็สามารถทำให้แผลที่ต้องใช้เวลารักษานานถึงสามสิบปีหายได้แล้ว นี่มันน่าอัศจรรย์จริงๆ
เสวียนอี่ยิ้มแล้วนั่งลงบนม้านั่งหิน แล้วกล่าวว่า “พลังเทพของข้าเบาบาง ไม่มีฝีมืออะไร บาดแผลจึงหายได้เร็ว”
กู่ถิงไม่เข้าใจคำพูดที่นางพูดนัก นางกับเขามักจะพูดด้วยกันไม่ค่อยได้ นางพูดออกมาประโยคหนึ่ง เขาต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจความคิดประหลาดของนางได้ จึงเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า แล้วเอาชาให้นางหนึ่งถ้วย พลางยิ้มแล้วคุยหัวข้อเมื่อครู่นี้กับฝูชางต่อ “วิถีกระบี่เจ้าตื่นแล้ว ก็ควรจะไปหลับใหลพันปีแล้ว เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง นอนหลับพันปีไม่ค่อยสบายนัก”
เสวียนอี่ก้มหน้าดื่มชากินขนม “ หลับใหลพันปี” สี่คำนี้ดังเข้ามาในหูนาง นางมือสั่นและทำถ้วยชาหกทันทีจนน้ำชาหกเลอะกระโปรง
ไม่เคยเห็นองค์หญิงน้อยเลินเล่อเช่นนี้มาก่อน กู่ถิงมองไปยังกระโปรงสีขาวของนางที่เลอะน้ำชาจนเปลี่ยนสีอย่างประหลาดใจ เขาดีดนิ้ว น้ำชาเหล่านั้นก็ค่อยๆซึมออกมาจากกระโปรงทีละหยดแล้วรินลงไปบนพื้นหญ้า กระโปรงสีขาวก็กลับมาสะอาดดังเดิม
เสวียนอี่ประหลาดใจ “ศิษย์พี่กู่ถิง นี่มันเวทอะไร”
กู่ถึงรู้สึกภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย “หลายเดือนมานี้ ท่านพ่อเป็นคนถ่ายทอดให้ข้า พวกเราควรจะเรียนเวทกันบ้างแล้ว หากว่าเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นอีก จะได้มีวิชาไว้คุ้มครองตัวเอง”
เขาไม่ได้โง่ เสวียนอี่มาถึงฝูชางก็นิ่งเงียบไม่พูดจา พอพูดถึงหลับใหลพันปีนางก็ทำชาหกกระจาย การที่เขาอยู่ที่นี่ดูจะเกะกะ จึงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไปช่วยศิษย์พี่หญิงจื่อซีต้อนรับศิษย์ตำหนักอื่น อีกสักพักค่อยมา”
…นี่ต่างหากที่เป็นสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ใต้ต้นหลิวเงียบสนิท เสวียนอี่กินขนมช้าๆ ส่วนฝูชางที่อยู่ตรงข้ามก็นั่งนิ่งราวกับรูปสลัก นางเองก็ไม่ขยับ ทำไมนางต้องไปด้วย ถ้าจะไปก็ให้เขาไป
ต่อมาเขาก็ขยับตัว เสวียนอี่แทบจะกระโดดขึ้นมาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ชาถ้วยนั้นของกู่ถิงคว่ำอีกแล้ว
ฝูชางยกกาน้ำชาไว้แล้วปรายตามองมาที่นางนิ่งๆ ที่แท้เขาก็แค่จะรินชา
นางถือขนมชิ้นหนึ่ง แล้วเบือนหน้าไปไม่มองเขาอีก ไม่ดีเลย วันนี้พอนางได้เจอเขาแล้วกลับดูผิดปกติไป ลุกลี้ลุกลน แย่เกินไปแล้ว
เสวียนอี่วางถ้วยชาเปล่าของตัวเองลงบนโต๊ะ แล้วกระดิกนิ้ว “กาน้ำชา”
นางกำลังโอหังสั่งการใคร ฝูชางมองนาง แต่ก็ยังดันกาน้ำชาไปทางนาง เสวียนอี่ค่อยๆรินชาให้ตัวเองด้วยท่าทียโส นางก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง พลันเอ่ยปากว่า “ท่านจะไปหลับใหลพันปีแล้วหรือ”
เทพชุดขาวตรงข้ามมีสีหน้าเรียบเฉยไร้การเปลี่ยนแปลง ดวงตาดำสนิทลึกล้ำประสานกับนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “แล้วจะทำไม”
เสวียนอี่ชะงักไปนาน นางไร้คำพูดทันที นางไม่สามารถจะ “แล้วจะทำไม” ได้
นางขมวดคิ้วแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ก็ไม่ทำไม ยินดีกับศิษย์พี่ฝูชางด้วย”
ขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้งรสชาติแย่ขึ้นทุกที นางจึงดันทิ้งไปอีกด้าน แล้วใช้เล็กมือเกี่ยวไปยังลายปักมังกรหลับตาบนแขนเสื้อนางช้าๆ ผ่านไปนาน ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น นางพลันกล่าวออกมาอย่างระวังว่า “ศิษย์พี่ฝูชาง ต้องรออีกหนึ่งพันปีใช่ไหมถึงจะได้พบท่านอีก”
ฝูชางนึกถึงวันนั้นท่ามกลางสายหมอก วันนั้นนางเองก็ถามคำถามที่แทบจะเหมือนกันนี้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหงาและโดดเดี่ยว รวมถึงเรือนผมยาวเย็นยะเยือกที่เขากุมไว้ในมือ…เขารีบหลับตาลง ทุกการดิ้นรนของเขาช่างยากลำบากและทรมาน จนถึงตอนนี้ นางก็ยังคงคิดจะลากเขาลงไป
เขาจะจมดิ่งลงไปอีกไม่ได้ ความรู้สึกที่ไม่ควรนั่นสิ้นสุดไปตั้งแต่ที่ชิงชิวแล้ว
เสวียนอี่รออยู่นาน แต่สิ่งที่ได้ก็คือการที่เขาจิบชาอยู่อีกด้านเงียบๆ มารยาทของตระกูลหวาซวีเล่าเมื่อครู่นี้เองก็เหมือนกัน เขาไม่แม้แต่จะกล่าวทักทายนาง ก่อนหน้านี้ก็ใช่ การกระทำเลวร้ายทุกอย่างทั้งการบีบไหล่ รัดคอและกำข้อมือ ที่เขาทำต่อนางทั้งหมดนั่น
นางลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางพลันรู้สึกว่าไม่อยากจะอยู่ตรงนี้อีกต่อไปอีกแม้แต่เค่อเดียว นางเองก็บอกไม่ถูกว่านางไม่อยากจะเห็นท่าทางเย็นชาของเขา หรือไม่อยากเห็นสภาพความพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพของตัวเองกันแน่
เสวียนอี่หมุนตัวเดินจากไปด้วยความโมโหขัดเคือง
ไม่มีทางได้จับอีกแล้ว ลายปักด้ายสีเงินที่แขนเสื้อของเขา มีแค่นางเท่านั้นที่รู้ว่าความรู้สึกตอนที่เกี่ยวด้ายปักเหล่านั้นเป็นอย่างไร และมีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าการนอนในแขนเสื้อของเขารู้สึกอย่างไร ร่างเขาไม่มีกลิ่นแปลกปลอม มันสะอาดบริสุทธิ์ราวกับสายลมของแดนเทพ
ยังมีรสชาติของริมฝีปากร้อนจัดของเขาที่แตะมายังปลายนิ้วนาง
ใบหน้าของเสวียนอี่พลันแดงก่ำขึ้นมา แต่ไม่นานก็กลับมาขาวซีดดังเดิม
พวกนั้นก็ไม่ได้มีอะไร นางเดินเร็วขึ้น เรื่องพวกนั้นมันไม่นับเป็นอะไรเลย ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น
เสียงหัวเราะราวกับกระดิ่งของบรรดาเทพธิดาลอยมาตามสายลมจากทะเลสาบ เสวียนอี่หรี่ตามองไป เซ่าอี๋ที่หาตัวไม่เจอก่อนหน้านี้กำลังถูกพวกนางล้อมไว้ตรงกลางราวกับดาวล้อมเดือน เขานี่ช่างว่างเสียจริง และยังหัวเราะได้อย่างมีความสุขอย่างนั้น
นางจะทำให้เขาหัวเราะไม่ออกอีก
…
ตอนที่เสวียนอี่เดินมาถึงสวนดอกไม้ เซ่าอี๋กำลังพูดคุยแย้มยิ้มอยู่กับเทพธิดากลุ่มหนึ่ง นางคิดว่าศิษย์หญิงต่างสำนักในสวนดอกไม้นี่ อย่างน้อยก็มีกว่าครึ่งที่มาอยู่ตรงนี้กับเขา ไม่รู้จริงๆว่าเขามีวิธีอะไร
เทพธิดาคนหนึ่งใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดตาเขาไว้ เทพธิดาอีกคนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เซ่าอี๋ ท่านอยากกินขนมเกาลัดชุบน้ำผึ้งหรือว่าขนมแป้งข้าวเหนียวถั่วเขียว”
เสียงของเซ่าอี๋ฟังแล้วดูมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างหนึ่ง “อยากกินเจ้า”
เหล่าเทพธิดาหัวเราะกันจนตัวสั่น ทันใดนั้นพลันมองเห็นเสวียนอี่เดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ เหล่าเทพห็เนลายปักมังกรหลับตาบนชุดของนางเข้า ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที นี่คือองค์หญิงของตระกูลจู๋อิน! เสวียนอี่ใช้นิ้วจรดริมฝีปากเป็นนัยไม่ให้พวกนางส่งเสียง ส่วนอีกมือก็ชี้ไปทางนอกสวนดอกไม้
แย่แล้ว หรือว่าองค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อินจะหึง ในบรรดาพวกนางใครบ้างกล้าไปหาเรื่องตระกูลจู๋อิน ดังนั้นเหล่าเทพธิดาจึงพากันนิ่งเงียบแล้วถอยออกไปด้านหลัง วิ่งออกไปจากสวนดอกไม้
เสวียนอี่เดินไปข้างกายเซ่าอี๋อย่างเงียบเชียบ แล้วพลิกฝ่ามือขึ้น หิมะจู๋อินกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมาและโยนเข้าไปในปากเขา เขาร้อง “อุบ” ออกมา มันขมจนเขาได้แต่ก้มหน้ากุมปากไว้
“อร่อยไหม” นางนำผ้าเช็ดหน้ามาปูบนพื้น นั่งลงข้างกายเขาอย่างสง่างามแล้วถามออกมาช้าๆ
เซ่าอี๋ดึงผ้าออกจากหน้า พลางกุมปากแล้วหันไปมองนางด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปม
เสวียนอี่ยกกาน้ำชาขึ้นจากพื้น และรินชาส่งไปให้เขาอย่างมีน้ำใจ “กลั้วปากก่อน”
เซ่าอี๋กรอกชาเข้าไปโดยไม่พูดอะไร พอวางถ้วยชาลง ใบหน้าที่มักจะประดับไปด้วยรอยยิ้มของเขากลับปรากฏความเยือกเย็นออกมา “เจ้าจะเหลวไหลเกินไปแล้วนะ”
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ข้าก็ไม่ได้เพิ่งจะมาเหลวไหลวันสองวันนี้ ขอท่านอย่าได้อภัยให้ข้าเด็ดขาด ท่าทางปิดบังไม่ยอมพูดของท่านทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาก และหากว่าข้าไม่สบายใจ ก็จะต้องทำให้คนที่ทำให้ข้าไม่สบายใจคนนั้นรู้สึกไม่สบายใจกว่าข้า”
“แล้ว?” เซ่าอี๋ถามกลับ
“ท่านชอบอยู่ใกล้ชิดกับเหล่าเทพธิดาสินะ” เสวียนอี่มองเขาแล้วยิ้ม “คำพูดของท่านที่ชิงชิวในวันนั้นทำให้ข้าคิดมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้น หากว่าท่านไม่ยอมบอกความจริงกับข้า ข้าก็จะตามไปทำให้ท่านไม่ได้ใกล้ชิดกับเหล่าเทพธิดาเรื่อยไป ตระกูลเทพมังกรแห่งเขาจงซาน พูดได้ทำได้”