“ท่านตา งานใหญ่ของนครเมฆาที่พูดถึงคืองานอะไรหรือเจ้าคะ ?”

หลังจากครุ่นคิดเรื่องราวต่าง ๆ อยู่สักพักใหญ่ ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนประเด็นและเอ่ยถามเกี่ยวกับงานใหญ่ของนครเมฆาที่อวี๋จวินซานกล่าวถึง

“ฮ่า ๆ ๆ เสี่ยวโม่เอ๋อร์อาจจะยังไม่รู้ งานใหญ่ที่ว่าแท้จริงแล้วมีชื่อเรียกขานเป็นทางการว่า *‘งานชุมนุมเมฆา’*นครเมฆาจัดงานนี้ขึ้นทุก ๆ ร้อยปี ที่ผ่านมาการชุมนุมใหญ่นี้จะมีขุมกำลังใหญ่น้อยจากทั่วทุกสารทิศในดินแดนหวนหลิงมารวมตัวกันเพื่อเข้าร่วมแข่งขันประลองฝีมือด้านต่าง ๆโดยผู้ที่ได้อันดับดี ๆ จะได้รับของรางวัลจากนครเมฆาในตอนท้าย ในส่วนของรางวัลนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทุกครั้งที่จัดงาน แต่รับประกันได้ว่าเป็นของล้ำค่ามากอย่างแน่นอน”

จ้าวนครเมฆากล่าวอธิบายให้หลานสาวฟังด้วยรอยยิ้ม

งานชุมนุมเมฆา คือเทศกาลชุมนุมชาวยุทธ์ครั้งใหญ่ของนครเมฆาที่ในหนึ่งร้อยปีจะจัดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น งานชุมนุมนี้เป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนมากและสามารถดึงดูดเอาเหล่าจอมยุทธ์และผู้มีทักษะโดดเด่นในด้านต่าง ๆ ทั่วทั้งใต้หล้ามารวมตัวกันได้ สำหรับงานแห่งรอบศตวรรษนี้ถูกกำหนดให้จัดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานกว่าสามเดือน

ขณะนี้ขุมกำลังน้อยใหญ่ในหวนหลิงต่างก็ตอบรับจดหมายเชิญเข้าร่วมงานกันเกือบหมดแล้ว แน่นอนว่าอีกไม่นานนัก ตัวแทนมากมายจากขุมกำลังทั้งหลายรวมถึงผู้คนที่สนใจจะหลั่งไหลไปรวมตัวกันที่นครเมฆาเพื่อเข้าร่วมงาน

ในงานชุมนุมเมฆานี้ นอกจากการประลองยุทธ์ของเหล่าจอมยุทธ์ทั่วแผ่นดินแล้ว ยังมีการจัดการแข่งขันอื่นขึ้นอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันด้านทักษะการหลอมอาวุธ การแข่งขันทักษะหลอมโอสถ หรือทักษะอาชีพอื่น ๆ ซึ่งในทุกครั้งจะมียอดฝีมือด้านต่าง ๆ เข้าร่วมงานกันอย่างหนาแน่น

และเนื่องจากเจ้าภาพของงานนี้คือนครเมฆา ของรางวัลสำหรับผู้ชนะการแข่งขันก็จะมีมูลค่าสูงและพิเศษกว่างานใด ๆ  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะได้พบเจอผู้คนจากทุกขุมกำลังในแผ่นดิน หรือหากจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  นี่นับเป็นงานที่ทุกผู้คนจะได้แสดงความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่

หลังจากได้ฟังคำอธิบายของอวี๋จวินซานจนจบ ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าน้อย ๆ นางพอจะเข้าใจจุดประสงค์และภาพรวมของงานชุมนุมดังกล่าวบ้างแล้ว ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็รู้สึกกระตือรือร้นอยากจะเห็นบรรยากาศภายในงาน ‘…งานยิ่งใหญ่ที่รวมเอายอดฝีมือทั้งดินแดนมาประชันความสามารถจะน่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด’

อย่างไรก็ตาม งานชุมนุมเมฆาในคราวนี้จะต้องอลังการมากกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา เพราะนี่คืองานสำคัญและใหญ่ที่สุดในแผ่นดินหวนหลิง ดังนั้นนครเมฆาในฐานะผู้จัดงานจึงจัดให้งานแต่ละครั้งมีความเข้มข้นและน่าตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ

“เอาล่ะ สำหรับข้า การมาเยือนไป๋อวิ๋นในวันนี้ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ข้ารู้สึกยินดีมากที่ได้เห็นเสี่ยวโม่เอ๋อร์ปลอดภัย”

ทันใดนั้น อวี๋จวินซานก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยคำ ดูเหมือนว่าผู้มาเยือนจากนครเมฆาเตรียมตัวจะลากลับแล้ว

“มีงานอีกหลายอย่างที่รอให้ข้ากลับไปจัดการ ก่อนงานชุมนุมเมฆาจะเริ่มต้นขึ้นเป็นช่วงเวลาที่ข้ายุ่งมากเหลือเกิน ใจจริงข้าก็อยากจะอยู่ที่นี่สักหลาย ๆ วัน แต่ไม่มีเวลาอีกแล้ว ขอบคุณทุกท่าน ข้าคงต้องขอตัวกลับไปที่นครเมฆาก่อน”

อวี๋จวินซานกล่าวลาด้วยความรู้สึกแสนเสียดาย  เขาได้มาเห็นหน้าหลานสาวด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก ทว่าก็ต้องรีบกลับเพราะเขามีงานมากมายรออยู่ทำให้ไร้ทางเลือก ที่สำคัญ สถานการณ์ในหวนหลิงช่วงนี้ก็ไม่ปกตินัก เวลานี้ยอดฝีมือจากดินแดนหนเหนือเพ่นพ่านไปทั่ว ยิ่งกว่านั้นยังมีที่เล็ดลอดเข้ามาเพิ่มไม่หยุด ตัวเขาในฐานะของจ้าวนครเมฆา ขุมกำลังที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ จึงจำเป็นต้องคอยจับตาดูคนเหล่านั้นเพื่อความปลอดภัยของหวนหลิงทั้งหมด

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าอยากจะไปที่นครเมฆากลับข้าล่วงหน้าก่อนหรือไม่ ? ท่านยายของเจ้าอยากจะพบเจ้ามากเหลือเกิน”

จ้าวนครเมฆากล่าวกับฉินอวี้โม่ เป็นธรรมดาที่เขาจะหวังอยากให้หลานสาวตัวน้อยตามเขากลับไปเยือนบ้านเกิดของตนด้วย

“ท่านตา ใจจริงข้าเองก็อยากไปด้วยเจ้าค่ะ แต่ที่นี่มีอีกหลายเรื่องที่ข้ายังทำไม่สำเร็จ หากว่าข้าจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะไปเยือนนครเมฆา ไปพบท่านและท่านยายให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”

ฉินอวี้โม่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม นางเองก็อยากพบหน้าท่านยายโดยเร็วเช่นกัน ทว่ายังมีบางเรื่องที่นางต้องจัดการเสียก่อน ในตอนนี้จึงยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

“เอาเถอะ ข้าจะกลับไปก่อนและจะช่วยบอกยายของเจ้าให้ ถ้าเจ้าพร้อมเมื่อไหร่ขอให้รีบไปที่นครเมฆาทันที พวกเราจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น”

อวี๋จวินซานพยักหน้าอย่างอ่อนโยน เพียงมองดูก็รู้ได้ว่าหลานสาวผู้นี้เป็นเด็กที่มีความคิดเป็นของตัวเอง นางไม่ต่างจากอวิ๋นเอ๋อร์ธิดาของเขามากนัก เขาจึงไม่คิดบีบบังคับหากนางไม่เต็มใจ

“ข้าต้องไปแน่เจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ตอบก่อนจะพยักหน้าพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง

หลังจากส่งจ้าวนครเมฆากลับแล้ว คุณหนูสี่ก็กลับไปที่เรือนพักของตัวเองทันที เวลานี้ ณ ที่แห่งนั้นมีบุรุษน้ำแข็งที่ทำตัวคล้ายภูตผีมารออยู่ก่อนแล้ว

“โม่ฉือ เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอย่างเป็นกังวลขณะกุมมือใหญ่ของหานโม่ฉือ

ก่อนหน้านี้คนตรงหน้าต่อสู้อยู่กับสองอสูรจากดินแดนเทพมายาโดยที่นางไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือ แม้ว่านางจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของเขามาก แต่ยังก็ยังอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“ฮ่า ๆ ๆ อย่าห่วงเลย อย่างอสูรสองตนนั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

หานโม่ฉือเผยรอยยิ้มมาดมั่นก่อนจะแสร้งวางท่าหยิ่งยโสพร้อมกับเอ่ย

แท้จริงแล้ว แม้หลงจื้อและสหายจะไม่แข็งแกร่งมากพอจนสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ แต่ทว่ายอดฝีมือทั้งสองก็สร้างแรงกดดันให้เขาอยู่ไม่น้อยเลย

เมื่อได้ฟังวาจาคล้ายอวดโอ้ มองเห็นท่าทีสบาย ๆ รวมถึงรอยยิ้มนั้นของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าอย่างหมดห่วง นางเชื่อคำพูดของเขาเสมอ

“ว่าแต่เจ้าเถอะ ! เกิดเรื่องอะไรขึ้นในดินแดนต้องห้ามรึ ?”

หานโม่ฉือกุมมือน้อยของฉินอวี้โม่พลางประคองร่างเล็กให้นั่งลง ปีศาจเย็นชาที่บัดนี้กลายเป็นมนุษย์ผู้อบอุ่นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้นแต่กลับแฝงความอ่อนโยนเต็มเปี่ยม เขาทราบเรื่องที่ฉินอวี้โม่เข้าไปในดินแดนต้องห้ามจากมู่อวิ๋นแล้ว ทว่าหานโม่ฉือก็ไม่คิดว่านางจะเข้าไปนานถึงเพียงนั้น

เรื่องนี้ทำให้เขาเป็นกังวลเพราะคิดว่าอาจจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับโฉมงามยอดดวงใจ แต่ในตอนนี้เมื่อได้เห็นว่านางปลอดภัยดี ความกังวลดังกล่าวก็จางหาย อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือยังคงต้องการรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ฉินอวี้โม่แย้มยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยด้วยใบหน้ายียวน “ที่ข้าไปนานก็เพราะต้องใช้เวลาในการกอบโกย ในนั้นมีสมบัติให้เก็บเกี่ยวมากมายมหาศาล คนขี้สงสารอย่างข้ามีหรือจะยอมเหลือทิ้งเจ้าพวกนี้ไว้ให้เดียวดายอยู่ในนั้น”

สิ้นคำพูดติดตลก คุณหนูคนงามก็ล้วงเอาหีบใบเล็กและตำราเก่าแก่ สมบัติจากถ้ำลึกลับที่นางยังไม่มีโอกาสได้เปิดดูออกมาแล้วกล่าวต่อ “ไหน ๆ เจ้าก็ถามถึงเรื่องนี้แล้ว งั้นเราก็มาดูไปพร้อม ๆ กันเถอะ”

หานโม่ฉือยิ้มตอบก่อนจะโอบกระชับร่างบางในอ้อมแขนพลางพินิจดูสิ่งของที่อยู่ในมือเล็กด้วยความสนใจ

“ตอนเข้าไปในดินแดนต้องห้าม ข้าโชคดีได้พบมรดกของเทพมายาทำให้ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ยิ่งกว่านั้น ข้ายังได้ทำลายวิญญาณของมารทรชนที่ถูกจองจำอยู่ที่นั่นพร้อมกับได้รับพลังสืบทอดของเทพมายาจนสามารถคลายผนึกขั้นแรกของกายวิเศษนี้ได้”

ฉินอวี้โม่บอกเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับหานโม่ฉือไปตามตรง ขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็ค่อย ๆ พลิกปกหนังของตำราเก่าคร่ำคร่าแต่ทว่ายังอยู่ในสภาพดีเยี่ยมนั้นออกดู

หน้าแรกของตำราหนังสัตว์ถูกทำขึ้นจากวัสดุประหลาด มันคล้ายคลึงกับแผ่นกระดาษแต่ก็ทั้งหนาและเหนียวเกินกว่ากระดาษทั่วไปมาก บนหน้าแรกนี้เกือบจะว่างเปล่า มีเพียงอักษรงดงามขนาดใหญ่สามตัวจารึกไว้ ซึ่งมันอ่านได้ความว่า*‘ทักษะข่ายอาคม’*

เมื่อเห็นอักษรทั้งสาม ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นางถูกใจตำราเล้มนี้มาก ต้องบอกเลยว่า ตอนนี้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูรู้สึกชื่นชอบความลึกลับของวิชาข่ายอาคมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทักษะด้านข่ายอาคมเป็นสิ่งที่ทรงพลังและแปลกประหลาด แต่หากใช้อย่างเหมาะสมจะสร้างประโยชน์ให้ได้มหาศาล

บ่อยครั้งที่ข่ายอาคมสามารถช่วยให้จอมยุทธ์พลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างไม่คาดฝัน ถ้าได้เรียนรู้ทักษะด้านนี้จนเชี่ยวชาญก็เท่ากับได้ไพ่ตายใบสำคัญไว้ใช้ในอนาคต

“หึ ๆ ๆ ตำรานี้คือสุดยอดสมบัติโดยแท้”

หานโม่ฉือยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “เสี่ยวโม่เอ๋อร์ของข้าช่างมีโชควาสนาระดับฟ้าประทานจริง ๆ”

เมื่อได้ยินคำเยินยอปนหยอกล้อของบุรุษข้างกาย ฉินอวี้โม่ก็ฉีกยิ้มกว้างเต็มหน้า ใบหน้านวลขึ้นสีแดงระเรื่อ  ความสุขใจและความยินดี ผสมปนเปไปกับความเขินอายจนทำให้นางไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้ สาวงามตระกูลฉินจึงเลือกที่จะบรรจงเก็บตำราล้ำค่ากลับเข้าไปในแหวนมิติ ไม่ว่าอย่างไรทักษะด้านข่ายอาคมก็ไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกฝนกันได้โดยง่ายด้วยระยะเวลาสั้น ๆ ฉะนั้นนางจำเป็นต้องเก็บมันไว้ก่อนและค่อย ๆ เอาออกมาศึกษาในอนาคต

ถัดจากนั้นก็เป็นคราวของสมบัติชิ้นต่อไป ฉินอวี้โม่ค่อย ๆ พิจารณาดูรูปลักษณ์ภายนอกของหีบใบน้อยที่ได้มาจากดินแดนต้องห้ามโดยละเอียด พลางนึกสงสัยในใจว่าจะมีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่

หานโม่ฉือเองก็มองดูด้วยความใคร่รู้เช่นกัน ด้วยเพราะเป็นถึงสมบัติของเทพมายา สิ่งของที่อยู่ข้างในจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่

เมื่อแน่ใจว่าไม่น่าจะมีสิ่งที่เป็นอันตราย ฉินอวี้โม่ก็เปิดหีบปริศนาออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะพบว่าภายในมีเพียงม้วนหนังสัตว์เก่า ๆ ที่ทำจากหนังแกะธรรมดาม้วนหนึ่งเท่านั้น สองหนุ่มสาวหันมองหน้ากันด้วยความฉงน คุณหนูตระกูลฉินจึงล้วงเอาม้วนกระดาษดังกล่าวออกมาคลี่ดูเพื่อให้คลายสงสัย

แม้จะไม่ได้ทำจากวัสดุล้ำค่าราคาแพง แต่ภายในม้วนหนังสัตว์แผ่นนี้ไม่ได้ว่างเปล่า บนหนังแกะเก่า ๆ นี้มีสัญลักษณ์และข้อความกำกับมากมายขีดเขียนไว้ แท้จริงแล้วมันคือแผนที่ที่มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนมากฉบับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่กลับไม่เคยรู้จักหรือแม้แต่ได้ยินชื่อสถานที่ที่ถูกบันทึกอยู่บนแผนที่ฉบับนี้มาก่อน  ดูไปแล้วมันต้องไม่ใช่แผนที่ของดินแดนหวนหลิงเป็นแน่

ณ จุดกึ่งกลางของแผนที่นั้นมีวงกลมสีแดงเข้มขนาดไม่ใหญ่นักถูกวาดไว้ นี่ดูราวกับเป็นสัญลักษณ์สำหรับบ่งชี้ว่าสถานที่นี้มีความสำคัญบางอย่าง

“นี่น่าจะเป็นแผนที่ของดินแดนอ้างว้าง”

เมื่อได้พิจารณาแผนที่บนโต๊ะโดยละเอียด หานโม่ฉือก็มีอาการตกตะลึง บุรุษน้ำแข็งขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยปาก

“แผนที่ของดินแดนอ้างว้างอย่างนั้นหรือ ?”

ฉินอวี้โม่เองก็ชะงักไปด้วยความงุนงง เดิมทีนางคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นแผนที่ของดินแดนเทพมายา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นแผนที่ของดินแดนอ้างว้าง สถานที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คนให้ความสนใจมากนักไปได้

‘นายหญิง นี่คือแผนที่ของดินแดนอ้างว้างจริง ๆ และจุดสีแดงตรงกลางก็คือถ้ำที่เทพมายาสร้างขึ้น นี่เป็นสถานที่ที่ท่านจะสามารถปลดผนึกขั้นที่สองของกายเทพมายาได้’

เสียงของซิวดังขึ้นมาในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ และมันก็ช่วยยืนยันชัดเจนว่านี่คือแผนที่ของดินแดนอ้างว้างที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่เทพอสูรกล่าวก็ฟังคล้ายเป็นเพียงคำบอกเล่าเท่านั้น ซิวไม่ได้บอกให้ฉินอวี้โม่รีบเร่งเดินทางไปหรือกล่าวกำชับให้นางทำสิ่งใดต่อ อย่างไรเสียสตรีผู้ครองกายเทพมายาคนปัจจุบันก็มีหลายเรื่องที่ต้องทำก่อนเป็นอันดับแรก แม้ว่ามันจะเป็นอสูรในพันธสัญญาของนาง แต่สำหรับนางในตอนนี้ ซิวยังไม่อยากบอกความลับให้ล่วงรู้มากเกินไป ความลับบางอย่างต้องรอให้สตรีน้อยผู้นี้แข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้ก่อนจึงจะรู้ได้

สิ้นเสียงของซิว ฉินอวี้โม่พยักหน้าเบา ๆ

ก่อนหน้านี้เทพมายาคนก่อนเคยบอกไว้ว่านางเพิ่งจะปลดผนึกขั้นแรกได้ มาถึงตอนนี้นางได้ทราบแล้วว่าวิธีที่จะปลดผนึกขั้นที่สองคงจะต้องอยู่ในดินแดนอ้างว้างไม่ผิดแน่ เห็นทีว่าหลังจากนี้นางต้องหาหนทางและวิธีไปเยือนดินแดนอ้างว้างอันแสนลึกลับนั้นให้ได้โดยเร็วเสียแล้ว

ฉินอวี้โม่บอกเล่าให้หานโม่ฉือฟังถึงสิ่งที่นางได้ยินมาจากซิว บุรุษน้ำแข็งพยักหน้าก่อนจะกล่าว

“ในถ้ำที่เป็นมรดกของเทพมายาจะต้องมีสิ่งล้ำค่าอยู่แน่ เมื่อทุกอย่างในหวนหลิงลงตัวแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปที่ดินแดนอ้างว้างเอง”

หานโม่ฉือกล่าวถึงสิ่งที่เขาตัดสินใจขณะกระชับร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นราวกับกำลังถ่ายทอดความอบอุ่นจากร่างใหญ่โตนี้ให้นาง

หากสามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ในหวนหลิงจนเสร็จสิ้น เขาจะไปดินแดนอ้างว้างพร้อมกับฉินอวี้โม่ เหตุผลหนึ่งคือตามหาฉินเทียนบิดาของนาง และอีกเหตุผลก็เพื่อช่วยคนร่างบางในอ้อมกอดปลดผนึกพลังในขั้นที่สอง

ฉินอวี้โม่พยักหน้าขณะทิ้งตัวลงซบเจ้าของร่างใหญ่ที่ไม่เย็นเฉียบอีกต่อไปแล้วอย่างเป็นสุข เนิ่นนานที่สองร่างอิงแอบแนบชิดถ่ายเทความอบอุ่นให้ซึมลึกเข้าสู่หัวใจของกันและกัน

“อวี้โม่ มีความลับอย่างหนึ่งที่ข้าต้องบอกเจ้า”

จู่ ๆ หานโม่ฉือก็กล่าวขึ้น ในน้ำเสียงของเขามีร่องรอยความเคร่งเครียดเจืออยู่ไม่น้อย แต่ที่สำคัญมันดูเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างยิ่งแต่ทว่ากลับแฝงความไม่มั่นใจในบางสิ่งอยู่หลายส่วน

ตั้งแต่ได้รับรู้ความลับดังกล่าว เขาก็ต้องการจะบอกเรื่องราวนี้กับสตรีผู้อยู่ในหัวใจมาโดยตลอด ทว่าเขาก็ไม่แน่ใจว่าหากบอกไปแล้วฉินอวี้โม่จะรู้สึกอย่างไร ที่สำคัญตัวนางจะนึกรังเกียจเขาหรือไม่ ดังนั้นแล้ว เขาจึงเก็บงำซ่อนเร้นและยื้อเวลามาจนถึงวันนี้ ทว่าในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเรื่องนี้ได้

เมื่อได้ฟังวาจาแสนเคร่งเครียดของคนข้างกาย ฉินอวี้โม่ก็ยกมือใหญ่ขึ้นมากุมไว้พลางพยักหน้าอย่างหนักแน่น กิริยานั้นคล้ายต้องการบอกให้เขาคลายใจและทดแทนถ้อยคำว่านางพร้อมรับฟังทุกสิ่ง

ไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นหานโม่ฉือเป็นเช่นนี้ อันที่จริงต้องกล่าวว่าไม่เคยมีเลยสักครั้งเสียมากกว่า แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ย่อมอยากทราบว่าสิ่งใดกันแน่ที่ทำให้บุรุษน้ำแข็งของนางเป็นเช่นนี้ เรื่องใดกันที่เขาต้องการจะบอกนาง

หานโม่ฉือจ้องลึกลงไปในดวงตาเนื้อทรายของคนตรงหน้าพร้อมเผยรอยยิ้มอ่อนก่อนจะขอให้นางสบตาเขา

ฉินอวี้โม่ทำตามอย่างว่าง่าย ทันใดนั้นเอง หญิงสาวอดีตนักฆ่าก็พบว่าดวงตาลุ่มลึกที่เคยดำสนิทแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานเจิดจ้า ยิ่งไปกว่านั้นในนัยน์ตาคมยังมีประกายแสงประหลาดที่ดูลึกลับปรากฏขึ้น หากจะว่างดงามก็ชวนให้ลุ่มหลงจนไม่อาจละสายตา แต่หากจะว่าน่าหวาดหวั่นก็ชวนให้ร่างกายสั่นสะท้านขวัญผวา ราวกับว่านางกำลังเผชิญหน้ากับปีศาจร้าย ปีศาจผู้ลึกลับ ดวงตาสีแดงแสนลึกลับ*…ดวงตาของปีศาจ !*

“นี่เจ้า…”

ฉินอวี้โม่ผงะไปชั่วครู่ นางมองตาหานโม่ฉือโดยไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใด

“หึ ๆ ๆ ข้าเกิดมาพร้อมกับดวงตาสีแดงคู่นี้ ตอนที่ข้าเกิดหลายต่อหลายคนบอกว่าข้าเกิดมาพร้อมกับความโชคร้ายและนี่เป็นลางร้าย ทว่าเรื่องมันยังไม่ใช่เพียงเท่านั้น…”

หานโม่ฉือยิ้มขมขื่นก่อนจะเล่าถึงประสบการณ์ในชีวิตของเขาให้ฉินอวี้โม่ฟัง

แท้จริงแล้ว เขาไม่ใช่บุตรชายแท้ ๆ ของผู้นำตระกูลหาน

อันที่จริง บิดาบังเกิดเกล้าของหานโม่ฉือและผู้นำตระกูลหานแห่งหวนหลิงนั้นเป็นสหายที่สนิทกันถึงขั้นสาบานเป็นพี่น้อง บิดาของหานโม่ฉือคือว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในดินแดนเทพมายาที่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ตระกูลหาน’ เช่นกัน ครั้งหนึ่งในระหว่างที่บิดาของหานโม่ฉือเข้ามาผจญภัยในดินแดนหวนหลิง เขาได้พบกับหานปิ่งเซียนที่ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลหานแห่งหวนหลิงคนปัจจุบันโดยบังเอิญ

ส่วนมารดาของหานโม่ฉือนั้นคือธิดาแห่งเผ่าโบราณเผ่าหนึ่งในดินแดนเทพมายา

บิดาและมารดาของเขาพบรักกันและให้กำเนิดเขาขึ้นมา แต่เป็นเพราะเขาเกิดมาพร้อมกับดวงตาสีแดงคู่นี้ จึงทำให้ถูกมองว่าเป็นตัวกาลกิณีที่จะนำภัยมาสู่วงศ์ตระกูล

นอกจากนี้ เป็นเพราะภายในตระกูลหานแห่งดินแดนเทพมายานั้นเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ตัวบิดาของเขามีศัตรูอยู่ไม่น้อย ในที่สุดบิดาของเขาก็ถูกบีบบังคับให้สังหารบุตรชายผู้มีนัยน์ตาประหลาดทิ้งเสีย

แต่แน่นอนว่าบุรุษผู้ให้กำเนิดย่อมมิอาจตัดใจทำร้ายสายเลือดในอุทรของตนได้ ท้ายที่สุดเขาจึงตัดสินใจพาภรรยาและลูกหลบหนีออกจากตระกูลหาน

อย่างไรก็ตาม ศัตรูในคราบสมาชิกร่วมตระกูลกลับไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปโดยง่าย คนเหล่านั้นต้องการตัดรากถอนโคนอำนาจทั้งหมดของเสี้ยนหนามของตน สมาชิกครอบครัวเล็ก ๆ ทั้งสามคนจึงถูกตามล่าตัวอย่างหนัก

พวกเขาถูกไล่ล่าเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งต้องระหกระเหเร่ร่อน เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยความสงสารบุตรชายที่ยังเป็นทารก ในที่สุดสองสามี-ภรรยาจึงต้องตัดสินใจ

แม้ว่าทั้งบิดาและมารดาของหานโม่ฉือมีฝีมือสูงส่ง แต่เพื่อจะปกป้องบุตรชายให้ได้ พวกเขาจึงได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้ง และหลายคราก็ไม่ได้รับการรักษาเยียวยา ในที่สุดทั้งสองก็รู้ตัวว่าหากเป็นเช่นนั้นต่อไปคงไม่อาจจะปกป้องยอดดวงใจตัวน้อยได้อีก ด้วยเส้นสายที่ยังพอมี ทั้งสองจึงตัดสินใจส่งตัวหานโม่ฉือไปให้ผู้นำตระกูลหานแห่งหวนหลิงอย่างลับ ๆ และอ้อนวอนให้ช่วยชุบเลี้ยง

กาลเวลาล่วงเลยมา ทารกน้อยเติบใหญ่จนกลายเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งแห่งหวนหลิง เขาซ่อนเร้นนัยน์ตาสีประหลาดของตนจากสายตาผู้คนทั้งใต้หล้า ทว่าความจริงที่เกิดกับบิดามารดามิอาจซ่อนเร้นไปจากความรู้สึกนึกคิดนี้ได้

.