ตอนที่ 212 คำร้องขอของหวังรั่วอี

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากได้รับรู้เรื่องราวภูมิหลังที่แท้จริงของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็มองบุรุษน้ำแข็งของนางด้วยสายตาแสนรวดร้าว

บุรุษผู้นี้มักจะคอยช่วยเหลือนางอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด เขาคอยช่วยนางปัดเป่าอันตรายรวมทั้งขจัดความกังวลทั้งปวง แต่หารู้ไม่ว่าความกังวลในใจของเขาก็ไม่ได้น้อยไปกว่านางเลยหรือบางทีอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาคนตรงหน้าต้องทนเจ็บปวดหัวใจมากเพียงใด

“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเพราะเรื่องของข้า ที่จริงข้าไม่ได้คิดว่าชีวิตที่ผ่านมาของข้ามันลำบากยากเย็นอะไรนัก”

หานโม่ฉือย่อมรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของฉินอวี้โม่ บุรุษน้ำแข็งส่งยิ้มให้สตรีผู้ครองหัวใจอย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงตัวนางให้ซบลงกับอกอีกครั้งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

แท้จริงแล้ว ช่วงหลายปีมานี้หานโม่ฉือรู้สึกดีขึ้นมามาก

แม้ว่าหานปิ่งเซียนผู้นำตระกูลหานแห่งหวนหลิงจะไม่ใช่บิดาที่แท้จริงของเขา แต่ก็ยังปฏิบัติกับเขาอย่างดี บางทีอาจถึงขั้นที่ดียิ่งกว่าบุตรแท้ ๆ ของตัวเองเสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญหานปิ่งเซียนยังช่วยเก็บซ่อนความลับเรื่องภูมิหลังของหานโม่ฉือเอาไว้

หานปิ่งเซียนบอกใครต่อใครว่าหานโม่ฉือก็คือบุตรชายของเขามาโดยตลอด ในตอนนั้นผู้นำตระกูลหานสร้างเรื่องบอกกับผู้คนว่าทารกโม่ฉือตัวน้อยเกิดจากสตรีที่เขารักมากผู้หนึ่ง ทว่านางกลับโชคร้ายสิ้นใจไปด้วยพิษประหลาดที่บังเอิญได้รับเมื่อคราวให้กำเนิดบุตรชาย หานปิ่งเซียนจึงต้องฟูมฟักดูแลบุตรคนโตที่ไร้มารดามากเป็นพิเศษ

หลายปีต่อมา หานโม่ฉือเติบใหญ่เป็นเด็กชายแสนฉลาด แม้จะไม่เคยรู้ความจริงใด ๆ มาก่อนแต่เขาก็ได้ระแคะระคายเรื่องนี้เข้าในวันหนึ่ง เด็กชายโม่ฉือสอบถามกับบิดาโดยไม่ลังเล ทว่าเพื่อความปลอดภัย หานปิ่งเซียนจึงเลือกบอกความจริงแก่บุตรชายที่เขารับเลี้ยงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ในตอนนั้นหานโม่ฉือรู้เพียงว่ามารดาอุ้มท้องเขาเดินทางรอนแรมมาจากดินแดนหนเหนือด้วยสภาพน่าเวทนา เมื่อพบกับหานปิ่งเซียน ผู้นำตระกูลหานจึงรับดูแลสตรีตั้งครรภ์จากแดนไกลจนกระทั่งให้กำเนิดบุตรชาย แต่โชคร้ายนางสิ้นใจไปเสียก่อนจะได้มีโอกาสเลี้ยงดูลูกของตน

ผู้นำตระกูลหานให้ทารกน้อยใช้แซ่หานเรียกขานนามว่าโม่ฉือ และบอกให้เขาจดจำไว้ว่าเขาคือคนของตระกูลหาน เป็นสายเลือดของหนึ่งในตระกูลมีอำนาจแห่งนครไป๋อวิ๋นที่แท้จริง

ทว่าสำหรับหานโม่ฉือนั้น เป็นเพราะทราบว่าตนเป็นเพียงเด็กที่ถูกชุบเลี้ยง ไม่ใช่คนของตระกูลหานที่แท้จริงจึงทำให้แม้ว่าตลอดมาจะถูกทั้งหานโม่หยวนและหานฮูหยินกลั่นแกล้งเพียงใด เขาก็ยังอดทนอดกลั้นเสมอ แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญเพียงหนึ่งเดียวคือเห็นแก่บุญคุณที่ตระกูลหานให้การช่วยเหลือและเลี้ยงดู

หลังจากนั้นอีกนานหลายปี เมื่อมีโอกาสเขาก็แอบสืบเสาะหาเบื้องหลังการตายของมารดา ในเวลานั้นสิ่งที่เขาค้นพบกลายเป็นว่าพิษประหลาดที่ทำให้มารดาเขาสิ้นใจน่าจะเกิดจากฝีมือของหานฮูหยิน ซึ่งนั่นเป็นเวลาใกล้เคียงกันกับที่หานโม่หยวนล่อลวงและตามล่าเพื่อจะสังหารเขาในป่าแสงจันทร์ ทว่าแม้จะรู้ความจริงเช่นนั้น ทั้งยังถูกอีกฝ่ายไล่ฆ่า แต่หานโม่ฉือก็ไม่คิดจะสังหารสองแม่ลูกผู้แสนอาฆาต ด้วยเพราะสำนึกในบุญคุณของหานปิ่งเซียน

ไม่นานหลังจากนั้น หานโม่ฉือก็ได้รู้ความจริงทั้งหมดจากปากของหานปิ่งเซียนโดยละเอียด แท้จริงแล้ว พิษเย็นที่ติดกายมาไม่ได้เกิดจากฝีมือของหานฮูหยินอย่างที่เขาเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาถือกำเนิดในดินแดนเทพมายา ทว่าที่สำคัญคือ เขาเกิดมาพร้อมนัยน์ตาสีแดงฉานราวปีศาจ นัยน์ตาที่ซึ่งเป็นต้นเหตุให้บิดามารดาของเขาถูกตามล่าและเขาก็ต้องพลัดพรากจากท่านทั้งสองมาอยู่ที่นี่

“เพราะอย่างนั้น ที่ผ่านมาเจ้าถึงไม่เคยคิดจะฆ่าหานโม่หยวนเลยสินะ ?”

ฉินอวี้โม่ซบแก้มลงกับอกกว้างของหานโม่ฉือพลางเอ่ยถามหาคำตอบ

อันที่จริงในเรื่องนี้ ตัวนางเองก็นึกสงสัยมานานแล้ว เพราะด้วยความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือเขาย่อมจัดการหานโม่หยวนที่อ่อนด้อยกว่าในทุกด้านได้ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะถูกหานโม่หยวนยั่วโทสะหรือทำร้ายเพียงใด หานโม่ฉือกลับไม่คิดจะโต้ตอบ คงเพราะเขารู้ตัวดีว่าตนไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของหานปิ่งเซียน ยิ่งกว่านั้น ผู้นำตระกูลหานยังกลับอุ้มชูดูแลเขาเป็นอย่างดีราวกับเป็นบุตรในอุทรก็มิปาน ฉะนั้นแล้วไม่ว่าจะด้วยบุญคุณของหานปิ่งเซียน หรือความผูกพันที่มีต่อตระกูลหานแห่งนี้ หานโม่ฉือก็ย่อมไม่มีทางสังหารหานโม่หยวนได้

“หึ ๆ เขาคือบุตรชายแท้ ๆ ของผู้นำตระกูลและเป็นสายเลือดแท้จริงของตระกูลหาน แม้ว่าเขาจะเล่นงานข้ามาหลายครั้งแถมยังหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ แต่ข้าก็จำเป็นต้องไว้ชีวิตเขา”

หานโม่ฉือกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องหานโม่หยวนมากนัก

ทว่ากลับเป็นฉินอวี้โม่ที่เคร่งเครียดและเจ็บปวดกับเรื่องนี้แทน กระนั้นคุณหนูโฉมงามก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ

นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถามถึงอีกเรื่องหนึ่งที่อยากรู้

“โม่ฉือ ตอนนี้ท่านลุงกับท่านป้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ?”

ก่อนหน้านี้หานโม่ฉือได้บอกว่าบิดามารดาบังเกิดเกล้าส่งเขามายังดินแดนหวนหลิงเพื่อความปลอดภัย หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใด ๆ ของพวกท่านอีก ฉินอวี้โม่จึงสงสัยและรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางนึกภาพไม่ออกเลยว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะเป็นอย่างไรบ้างในเวลานี้

“ข้าเองก็ไม่รู้เลย ตอนนี้พวกท่านอาจจะถูกคนตระกูลหานฝั่งนู้นควบคุมตัวอยู่ หรืออาจจะหนีรอดไปได้โดยไม่ถูกจับ เรื่องนี้ข้าคงต้องไปที่ดินแดนหนเหนือเท่านั้นถึงจะรู้คำตอบที่ชัดเจน”

หานโม่ฉือส่ายศีรษะ เขาเองก็มืดแปดด้านในเรื่องนี้เช่นกัน

ตั้งแต่จำความได้ เขาก็รับรู้ว่าตนเป็นคนในดินแดนนี้และเรียกขานผู้นำตระกูลหานว่าท่านพ่อแล้ว ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิด เวลานี้หานโม่ฉือได้รู้ข้อมูลจากเพียงคำบอกเล่าของหานปิ่งเซียนเท่านั้น ตัวเขาเองจึงไม่แน่ใจสิ่งใดเลย

ช่วงหลังมานี้ทั้งหานโม่ฉือและหานปิ่งเซียนต่างก็อยากจะไปที่ตระกูลหานในดินแดนหนเหนือเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ของมารดาและบิดาของหานโม่ฉือ

อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นตระกูลโบราณขนาดใหญ่ในดินแดนอันเกรียงไกรไร้ที่สิ้นสุด ตระกูลหานจึงมีพลังอำนาจมหาศาลจนน่าสะพรึงกลัว

แม้ว่าตัวหานโม่ฉือเองจะนับว่ามีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ แต่อย่างมากที่สุดเขาก็เป็นหนึ่งได้แต่เพียงภายในดินแดนหวนหลิงเท่านั้น หากเขาไปที่ดินแดนหนเหนือ เป็นไปได้ว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับยอดฝีมือระดับสูงของที่นั่นได้

ดังนั้นแล้ว ถึงแม้จะอยากจัดการเรื่องนี้มากเพียงใด แต่บุรุษต่างวัยทั้งสองก็จำต้องปล่อยวางเอาไว้ ถึงกระนั้นหานโม่ฉือก็ยังเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า สักวันเขาจะสามารถไปที่ตระกูลหานในดินแดนหนเหนือได้ และถ้าหากเวลานั้นมาถึงเขาก็จะได้รู้แน่ชัดว่าบิดาและมารดาที่พลัดพรากยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

ฉินอวี้โม่ยกแขนเล็ก ๆ ขึ้นกอดกระชับร่างของหานโม่ฉือ ขณะนี้คล้ายเปลี่ยนคนร่างบางที่กำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อมอบความอบอุ่นให้กับบุรุษข้างกาย นางอยากให้ความอุ่นจากกอดนี้ซึมลึกลงสู่หัวใจเขา

จนถึงวันนี้ นางเพิ่งจะพบว่าหานโม่ฉือมีภูมิหลังของชีวิตที่เลวร้ายกว่าตัวนางมาก

อย่างน้อย ๆ ฉินอวี้โม่ก็ยังทราบว่าบิดามารดาของตัวเองมีชีวิตอยู่และปลอดภัยดี ต่างจากทางหานโม่ฉือที่ไม่ทราบชะตากรรมของผู้ให้กำเนิดทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

“ในอนาคต ข้าจะไปที่ตระกูลหานกับเจ้าด้วย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าพลางกล่าวอย่างหนักแน่น

ไม่ว่าพ่อแม่ของหานโม่ฉือจะเป็นหรือตาย นางก็จะไปตามหาทั้งคู่พร้อมกับเขา ไม่ว่าจะร้ายหรือดี นางก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันยอมแพ้หรือถอดใจเป็นอันขาด

นางจะไปตามสืบหาความจริงให้กับชายหนุ่มอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม

หานโม่ฉือยิ้มตอบกลับสตรีในอ้อมแขนผู้แสนมุ่งมั่นโดยไม่กล่าวสิ่งใด เพียงแค่ได้กอดยอดดวงใจของเขาเอาไว้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกอบอุ่นและสบายใจขึ้นมากแล้ว

หลังจากซึมซับความอบอุ่นอันแสนอ่อนโยนจากบุคคลที่รักและปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปสักพักใหญ่ หานโม่ฉือก็เอ่ยคำลา ก่อนจากกัน บุรุษน้ำแข็งกล่าวย้ำเตือนฉินอวี้โม่ในหลาย ๆ เรื่อง เขากำชับเสียงหนักแน่นว่าช่วงนี้ให้นางใช้ความระมัดระวังให้มาก ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็จงอย่าประมาท

หลังจากส่งหานโม่ฉือกลับไปแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รีบผลัดเสื้อผ้าลงแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ช่วงที่ผ่านมานางพบเจอเรื่องหนักหนาสาหัสมามาก อย่างไรก็ตามเพราะมีคนรอบข้างคอยช่วยเหลือนางจึงมีวันนี้ได้

อดีตนักฆ่าสาวครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ จนกระทั่งผล็อยหลับไป

สองสามวันต่อมา ยามเช้าตรู่ ณ จวนตระกูลฉิน

หลังมื้อเช้า ฉินอวี้โม่ออกจากห้องพักส่วนตัวไปยังเรือนใหญ่เพื่อพบฉินเฟิน

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้เหนือชั้นเกินกว่าทุกคนในตระกูลฉินแล้ว เจ้าคือยอดฝีมือระดับแนวหน้าของดินแดนนี้ หากท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าได้รู้เรื่องนี้ พวกเขาคงจะภูมิใจไม่น้อย”

ฉินเฟินมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่ดูพึงพอใจและภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก

การเติบโตของหลานสาวผู้นี้เหนือกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้  ตอนนี้นางเกือบจะอยู่ในระดับสูงสุดของดินแดนหวนหลิงแล้ว ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าดรุณีน้อยผู้เริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นมากจะมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว

ฉินเฟินไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับอนาคตของสาวน้อยตรงหน้า ฉินอวี้โม่จะต้องทำให้ทั่วทั้งใต้หล้าตกตะลึงได้อย่างแน่นอน

ทว่าหลานสาวที่น่าชื่นใจของผู้เป็นปู่ทำเพียงส่งยิ้มกลับไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดตอบ

ในความคิดของฉินอวี้โม่ ความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้นั้นไม่นับว่าเพียงพอให้ตัวนางเองรู้สึกภูมิใจ ยังมีศัตรูที่ลึกลับและแข็งแกร่งอีกมากมายรอคอยอยู่เบื้องหน้า ทั้งในดินแดนหนเหนือ หรือแม้กระทั่งในดินแดนอ้างว้าง หากตัวนางในตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น ก็คงไม่ต่างจากมดปลวกไร้พลังที่พร้อมให้พวกเขาบดขยี้ได้โดยง่ายเท่านั้น

“ท่านปู่ ในตอนที่ข้าไปเก็บตัวในดินแดนต้องห้าม ข้าพบบางสิ่งเข้า”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ที่นางมาพบฉินเฟินในตอนนี้ก็เพื่อบอกเล่าถึงเรื่องของสองเส้นทางที่สามารถพาข้ามไปยังดินแดนหนเหนือและดินแดนอ้างว้างได้

“ข้าพบเส้นทางที่จะนำเราไปสู่ดินแดนหนเหนือและดินแดนอ้างว้างได้แล้วเจ้าค่ะ”

“เจ้าพูดจริงอย่างนั้นรึ ?!”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้นของฉินอวี้โม่ ผู้เฒ่าฉินเฟินก็ตกใจอย่างมาก ทว่าไม่นานนักใบหน้าชราก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นยินดี

ถึงแม้จะทราบดีว่าการหายตัวไปของสะใภ้และบุตรชายเกี่ยวข้องกับดินแดนหนเหนือ แต่จนป่านนี้พวกเขากลับยังไม่สามารถค้นหาเส้นทางและวิธีการเหมาะสมที่จะไปให้ถึงยังดินแดนทั้งสองแห่งนั้นได้ แท้จริงแล้วทุกคนล้วนทราบดีว่ามีหลายเส้นทางที่มีอยู่จริง แต่ทว่าทุกเส้นทางกลับมีขุมกำลังหรือตระกูลใดตระกูลหนึ่งคอยพิทักษ์รักษา ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนเป็นข้อมูลลับสุดยอดที่ไม่อาจให้คนภายนอกล่วงรู้

ตอนนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่บอกย่อมทำให้ผู้เฒ่าอย่างเขาตื่นเต้นเป็นธรรมดา

เมื่อพบเส้นทางที่จะนำพาไปยังดินแดนทั้งสอง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาสามารถออกไปตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินเทียนได้แล้ว ข่าวดีเช่นนี้ทำให้ผู้นำตระกูลฉินมีความสุขเหลือจะกล่าว

“เป็นความจริงเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า เรื่องเส้นทางทั้งสองนี้เป็นความจริงที่จริงแท้แน่นอน เพราะมันได้รับการยืนยันจากเทพอสูรผู้เคยอยู่ในช่วงเวลาที่เส้นทางดังกล่าวถูกสร้างขึ้น ข้อมูลนี้จึงไม่ใช่แค่เพียงน่าเชื่อถือ แต่กลับเชื่อได้อย่างยิ่ง

“วิเศษมาก วิเศษจริง ๆ หลังจากเสร็จงานชุมนุมเมฆา พวกเราจะเริ่มออกตามหาพ่อแม่ของเจ้า”

ผู้นำตระกูลฉินพยักหน้าแล้วกล่าว เขาไม่อาจซ่อนเร้นความสุขที่อยู่ในใจได้เลย

ฉินอวี้โม่ฉีกยิ้มกว้าง ตัวนางเองก็ต้องการเช่นนั้น หลังจากงานชุมนุมเมฆาสิ้นสุดลง คุณหนูสี่ตระกูลฉินหมายใจจะออกเดินทางตามหาบิดามารดาของตนในดินแดนหนเหนือ

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้นางยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องการบอกกล่าวและหารือกับผู้เฒ่าฉินเฟิน

“ท่านปู่ พวกเราสืบจนได้รู้ว่าตอนนี้ท่านพ่ออยู่ในดินแดนอ้างว้าง ส่วนท่านแม่อยู่ในดินแดนหนเหนือ ข้าได้ยินมาว่าในดินแดนอ้างว้างเต็มไปด้วยอันตรายที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าในดินแดนหนเหนือมาก ข้าจึงคิดว่าในระหว่างที่ข้าเข้าไปในดินแดนอ้างว้าง ข้าอยากขอให้พวกท่านนำคนล่วงหน้าไปที่ดินแดนหนเหนือก่อน ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของท่านปู่ การจะสร้างฐานกำลังในดินแดนหนเหนือนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก หลังจากที่ข้าพบท่านพ่อแล้วข้าจะรีบไปสมทบกับคนของเราที่นั่นทันที แผนการนี้ท่านปู่คิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ ?”

ฉินอวี้โม่บอกความต้องการและเล่าถึงสิ่งที่นางคิดเอาไว้ให้ฉินเฟินฟังก่อนจะจ้องมองเขาอย่างรอคอยคำตอบ

นี่คือแผนที่นางคิดว่าดีที่สุดแล้ว ถ้าหากยกพลไปที่ดินแดนอ้างว้างด้วยกันทั้งหมดก่อนจะเคลื่อนย้ายเข้าไปยังดินแดนหนเหนือ ไม่เพียงแต่จะทำให้คนในตระกูลฉินมีอันตรายแต่ยังทำให้ทุกอย่างล่าช้ามากขึ้นด้วย

ทว่าหากพวกเขาแยกย้ายกันทำงาน จะทำให้ทุกอย่างสะดวกง่ายดายและได้ผลที่รวดเร็วกว่า

ผู้เฒ่าฉินเฟินพยักหน้า เขารู้สึกว่าแผนการของฉินอวี้โม่ดีที่สุดในเวลานี้แล้วจริง ๆ

“ที่ข้าเป็นห่วงอีกเรื่องหนึ่งก็คือพวกเรายังไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ชายของเจ้าอยู่ ณ ที่แห่งใดในดินแดนหนเหนือ”

เมื่อคิดถึงฉินอี้เฟยผู้เป็นหลานชายที่บุกเดี่ยวล่วงหน้าไปยังดินแดนหนเหนือก่อน คิ้วของบุรุษผู้เฒ่าก็ขมวดมุ่นอย่างเป็นกังวล

“เรื่องพี่ใหญ่ ท่านปู่ไม่ต้องเป็นห่วง ด้วยพรสวรรค์ที่เขามี ข้าเชื่อว่าไม่ว่าพี่ใหญ่จะไปที่ใดก็ย่อมไร้ปัญหา”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม สำหรับเรื่องของฉินอี้เฟยนั้น นางไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย

ต้องอย่าลืมว่าฉินอี้เฟยมีพรสวรรค์ในด้านการหลอมโอสถที่สูงส่งถึงขั้นอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นดินแดนแห่งใดความสามารถในด้านการหลอมโอสถก็เป็นที่ต้องการของทุกขุมกำลัง ดังนั้นเขาจะต้องมีหนทางเอาตัวรอดได้

“เอาเถอะ ข้าเชื่อเจ้า”

ฉินเฟินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ตอนนี้ข้ายังไม่รู้จำนวนคนที่ต้องการจะติดตามข้าไปยังดินแดนหนเหนือ พวกเราจะรอให้จบงานชุมนุมใหญ่ที่นครเมฆาเสียก่อนแล้วค่อยมาจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย…”

สองปู่หลานพูดคุยกันต่อในเรื่องของนครเมฆา ทว่าในระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น จู่ ๆ บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาหา

“เรียนท่านผู้นำตระกูลและคุณหนูสี่ หวังรั่วอีแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรมาขอพบขอรับ”

บ่าวรับใช้ผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะหวาดหวั่นและเป็นกังวล เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกกดดันกับสถานการณ์ที่กำลังพบเจออยู่ไม่น้อย เรื่องที่ทุกคนในตระกูลฉินไม่ใคร่ชอบใจสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรนั้นเป็นที่ทราบกันดี ฉะนั้นในตอนที่รู้ว่าต้องมาแจ้งเรื่องนี้เขาจึงรู้สึกตึงเครียดอย่างยิ่ง

อันที่จริง เหตุผลที่เหล่าสมาชิกตระกูลฉินไม่ชอบสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรนั้นก็มีอยู่หลายเรื่อง

แต่เรื่องที่เลวร้ายที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัวที่สมาคมมีชื่อเสียงแสดงออกมา ก่อนหน้านี้ สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรปฏิเสธเสียงแข็งที่จะเข้าร่วมกู้วิกฤตในยามที่นครไป๋อวิ๋นถูกกองทัพศัตรูรุกราน หน้ำซ้ำยังกล่าวโทษและออกปากประณามต่าง ๆ นานาว่าความผิดทั้งหมดเป็นของตระกูลฉิน พวกเขาไม่สมควรต้องเดือดร้อนด้วย เรื่องนี้ทำให้ทุกขุมกำลังในนครายิ่งใหญ่แห่งนี้เอือมระอากับความเห็นแก่ตัวของพวกเขามาก

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อหวังรั่วอีกล้าบากหน้ามาขอพบ ทั้งผู้นำตระกูลและฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดจะไล่นางกลับไป เจ้าบ้านชราบอกให้บ่าวรับใช้เชิญนางเข้ามา

ใบหน้าของหวังรั่วอีดูไม่ดีเท่าไหร่นัก ความอึดอัดใจผสมปนเปกับความกังวลจนใบหน้าแทบไม่เหลือเค้าความงามพร้อมที่นางเคยปรุงแต่งอย่างประณีต ยิ่งกว่านั้นที่หางตาทั้งสองข้างยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตาแลดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง

“คุณหนูอวี้โม่ ได้โปรดไปช่วยท่านปู่ของข้าด้วย”

หวังรั่วอีพุ่งตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่และพยายามคว้าจับมือของนาง ทว่าคุณหนูตระกูลฉินกลับหลบเลี่ยงซ้ำยังรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทางด้านหนึ่ง นั่นทำให้สีหน้าของหวังรั่วอีย่ำแย่ลงยิ่งกว่าเดิม

ทว่าด้วยคำพูดอันแปลกประหลาดและน่าตกใจที่ได้ยินจากปากของสตรีดอกบัวขาวเมื่อครู่ คุณหนูสี่จึงกล่าวถาม “ปู่ของเจ้าเป็นถึงประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร เช่นนั้นแล้วคุณหนูหวังยังมีสิ่งใดจะให้คนอย่างข้าช่วยอีกเล่า ? มาอ้อนวอนข้าทั้งที่ไม่ชอบหน้ากันเช่นนี้ คุณหนูไม่คิดว่ามันน่าขำหรอกหรือ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หวังรั่วอีก็ทอสีหน้าปั้นยากถึงขีดสุดราวกับกินยาขม

ท่านปู่ของนางซึ่งเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรได้รับผลสะท้อนจากความพยายามในการสยบอสูรสวรรค์จนทำให้จิตวิญญาณของเขาแทบจะแตกสลาย วิธีการเดียวที่จะช่วยเขาได้คือต้องหาผู้ที่มีความสามารถสูงส่งเพียงพอที่จะสยบอสูรสวรรค์ได้ หาไม่แล้วผู้เฒ่าหวังเหลียงก็จะไม่มีโอกาสรอดชีวิตอีก

ทว่านอกเหนือจากตัวเขาที่เป็นประธานสมาคมแล้วก็ไม่มีผู้ใดในสมาคมที่สามารถสยบอสูรสวรรค์ได้อีก หวังรั่วอีรู้ถึงพรสวรรค์ในด้านนี้ของฉินอวี้โม่ดี ถึงแม้จะไม่ทราบแน่ชัดว่าทักษะในการสยบอสูรของสตรีตระกูลฉินอยู่ในระดับใดกันแน่ แต่เท่าที่รู้มาเพียงแค่การสยบอสูรสวรรค์ก็น่าจะไร้ปัญหาสำหรับนาง

ดังนั้นแล้วคุณหนูใหญ่ตระกูลหวังจึงไม่ลังเลที่จะมายังตระกูลฉินเพื่อขอความช่วยเหลือจากฉินอวี้โม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทีเย็นชาและได้ยินวาจาเชือดเฉือนของฉินอวี้โม่ หวังรั่วอีก็รู้ทันทีว่าวันนี้ตนคงต้องผิดหวังเสียแล้ว

ก่อนหน้านี้สมาคมของพวกเขามีเรื่องหมางใจกับฉินอวี้โม่หลายเรื่อง และเมื่อเป็นเช่นนั้นจะหวังให้นางยอมช่วยพวกเขาด้วยความยินดีก็คงมิอาจเป็นไปได้

.