ทางนี้ฉู่สวินหยางเพิ่งจะพูดออกไป ทางฝั่งนักธนูที่อยู่นอกหุบเขานั้นก็ยิงธนูชุดสุดท้ายหมดในที่สุดแล้วเช่นกันและเงียบหายไป
หุบเขาแสนโล่งกว้างเงียบสงบลงในชั่วพริบตา มีเพียงเสียงลมพัดผ่าน
สายตาเย็นเยียบขององค์รัชทายาทหนานฮวาจับจ้องนางอย่างไม่วางตา
หญิงสาวคนนั้นมีสีหน้าเย็นชา ทว่าท่าทางเมินเฉยเช่นนั้นกลับทำให้คนรู้สึกว่าไม่อาจมองข้ามนางไปได้
หลี่เหวยเผลอกลั้นหายใจและแอบมองสลับไปมาระหว่างเจ้านายของตนเองกับฉู่สวินหยางที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ฉู่สวินหยางหลบสายตามาทางด้านข้างเล็กน้อยอย่างไร้อารมณ์ พลางขยับแส้ม้าในมือเล่นและค่อยๆ เอ่ยต่อว่า “ข้าเองก็รู้ฐานะของเจ้าในราชสำนักดีมาก กระทั่งทำไมเจ้าสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้มาได้ตลอดจนถึงทุกวันนี้ ข้ายิ่งรู้เบื้องหลังของเรื่องนี้ดี ตำแหน่งที่เจ้าเล่นละครตบตามาตั้งหลายปีขนาดนี้ถึงจะรักษาเอาไว้ได้อย่างยากลำบาก เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าวันนี้จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่เพื่อกู้หน้าคืนจากข้าเพียงชั่วคราว?”
น้ำเสียงของนางเฉยชา แต่กลับไม่ได้คิดจะเสียดสีเขา เพียงแค่พูดไปตามความเป็นจริงด้วยท่าทีสงบนิ่งอย่างที่สุดเท่านั้น
“เพราะว่าเจ้าธรรมดาและไม่โดดเด่น เฉินฮองเฮาถึงได้วางใจที่จะช่วยเหลือเจ้ามาตลอดจนถึงวันนี้” ฉู่สวินหยางเอ่ย พลางกลอกตาระหว่างที่พูดและยกยิ้มมุมปาก “เจ้าคิดว่าเวลานี้เหมาะที่จะให้พวกเขารู้เบื้องหลังของเจ้าจริงๆ หรือ?”
เดิมทีฝั่งมารดาขององค์รัชทายาทหนานฮวาคนนี้แซ่โจว ย้อนกลับไปเมื่อสิบยี่สิบปีก่อน แซ่โจวนั้นสมกับที่เป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในแคว้นหนานฮวา ผู้หญิงแซ่โจวเข้าวังจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาทันที พ่อของนางก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่เจี้ยนเวย และกุมอำนาจคุมทหารนับล้านนาย จึงเรียกได้ว่าโดดเด่นจนไม่มีใครเทียบได้
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของหนานฮวาเป็นคนอ่อนแอ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้สร้างความดีความชอบ ทว่าสันดานเดิมนั้นแก้ยาก พอเห็นว่าตระกูลโจววางท่าใหญ่โต ดูเหมือนขุนนางที่สร้างความดีความชอบมากเกินหน้าเกินตาและยังไม่รู้จักเก็บซ่อนความสามารถของตนเองจนฮ่องเต้รู้สึกหวาดระแวง ในที่สุดฮ่องเต้หนานฮวาผู้ไร้ความสามารถคนนี้ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมก่อเรื่องใหญ่ที่แปลกประหลาดมากในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา…
เขาใช้การทะเลาะวิวาทกันของผู้หญิงในวังหลังเป็นเครื่องมือ ด้วยการทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ โดยเริ่มจากจงใจให้ท้ายและเข้าข้างโจวฮองเฮาจนนางกำราบสนมในวังหลังอย่างได้ใจ ถึงขั้นฆ่าสนมและรัชทายาทไปมากมายในช่วงหลายปีนั้น
จนกระทั่งได้โอกาสฮ่องเต้ที่มีท่าทีไม่ชัดเจนต่อเรื่องนี้มาตลอดกลับลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างกะทันหันผิดจากปกติโดยสิ้นเชิง
โจวฮองเฮาถูกปลดเพราะได้ชื่อว่าเป็นคนขี้อิจฉาและอารมณ์ร้าย หลังจากนั้นพวกผู้หญิงวังหลังที่แค้นฝังลึกมานานก็พากันลุกฮือขึ้นโจมตีนาง ตระกูลของสนมแต่ละคนต่างคอยซ้ำเติม และยังยกโทษสถานหนักของตระกูลโจวขึ้นมากล่าวถึงสิบหกข้อด้วยกัน
ดังนั้นฮ่องเต้หนานฮวาจึงได้แก้ไขภาพลักษณ์เก่าที่เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาและไร้ความสามารถ เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมปลดคนของตระกูลโจวออกจากตำแหน่ง อีกทั้งยังตรวจสอบ ยึดทรัพย์สิน และกำจัดทั้งตระกูลโจวจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนนั้นตระกูลอันดับหนึ่งของหนานฮวาก็ตกลงมาจากข้างบัลลังก์ พวกเขาต้องโทษทั้งตระกูล บางคนถูกตัดหัว บางคนถูกเนรเทศ จนเรียกได้ว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ
ตอนนั้นองค์ชายสามที่เป็นลูกของฮองเฮายังเด็กและอายุไม่ถึงสองขวบ แต่เพราะว่าก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ถูกตระกูลโจวข่มขู่และกดขี่ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว
ถึงแม้ฮ่องเต้หนานฮวาจะไม่ฆ่าลูกชายของตนเองคนนี้ทิ้งให้สิ้นซาก แต่ก็เกลียดมากเช่นกัน ทว่าจะทำอย่างไรได้ในเมื่อสมัยก่อนลูกชายของเขาตายด้วยฝีมือของโจวฮองเฮาหมด องค์ชายใหญ่ตายตั้งแต่อายุยยังน้อย องค์ชายรองกับองค์ชายสี่ก็เกิดมาสติปัญญาธรรมดา ดังนั้นจึงปล่อยเขาไปก่อน
หลังจากนั้นสามปีวังหลังก็เต็มอีกครั้ง ฮ่องเต้ค่อยๆ มีลูกชายเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย
ตอนที่ฮ่องเต้หนานฮวากำลังรอพิจารณาเรื่องจะแต่งตั้งองค์รัชทายาทใหม่นั้น คนแซ่เฉินที่มารับตำแหน่งฮองเฮาต่อกลับขอเลี้ยงดูองค์รัชทายาทไว้ข้างกายด้วยตนเอง หลังจากที่ได้คิดดูดีแล้ว เพราะนางได้รับการตรวจแล้วว่าไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ตลอดชีวิต
ฮ่องเต้นั้นคิดทบทวนแล้วก็ยังรู้สึกหวาดกลัวตระกูลโจวอยู่ จึงมีพระราชโองการให้สังหารคนของตระกูลโจวที่ถูกเนรเทศทั้งหมด
เมื่อมีตระกูลโจวเป็นบทเรียนแล้ว หลังจากนั้นพวกผู้หญิงในวังหลังของฮ่องเต้ก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ดี แม้เรื่องนั้นจะผ่านไปแล้วก็ตาม ตระกูลขุนนางใหญ่แต่ละตระกูลต่างๆ ก็สงบลงไม่น้อยไปด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นสิบหกปี ไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยที่สุดการปกครองของฮ่องเต้หนานฮวาภายนอกดูมั่นคง และยังคิดเอาเองว่าควบคุมผู้หญิงและพวกลูกชายทั้งหมดในวังหลังของตนเองให้อยู่ในกำมือได้หมดแล้ว
ทว่าองค์รัชทายาทหนานฮวากลับไม่ใช่คนที่มีความสามารถธรรมดา ตั้งแต่เล็กอาจารย์ก็ชมว่าเฉลียวฉลาด และด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้หนานฮวาจึงเคยคิดจะปลดเขาจากตำแหน่งองค์รัชทายาทและตั้งคนอื่นแทนอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายพอชั่งใจดูแล้วก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปอีก
หลายปีมานี้ คนที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ตามการเติบโตของเหล่าองค์ชายด้วยเช่นกัน
ความนิยมขององค์ชายสี่ที่ตอนเด็กสุขุมเยือกเย็นกับองค์ชายหกที่เฉลียวฉลาดและมีไหวพริบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เทียบกันแล้วความนิยมขององค์รัชทายาทคนนี้กลับไม่ค่อยดีนัก
ไม่ใช่ว่าเขาโง่และไร้ความสามารถ เพียงแต่ไม่รู้จักพลิกแพลงวิธีจัดการเรื่องราว หลายครั้งจะเห็นว่าเขาไม่ได้ทำผิดเรื่องใหญ่ แต่ทำผิดเรื่องเล็กเรื่องน้อยตลอด จึงมักจะถูกฮ่องเต้ว่ากล่าวตักเตือนอย่างรุนแรง
แต่เพราะเฉินฮองเฮาพยายามปกป้องอย่างเต็มที่ และฮ่องเต้เองก็คล้ายกับคิดปิดบังบางอย่างอยู่เช่นกัน ตำแหน่งองค์รัชทายาทของเขาจึงมั่นคงมาโดยตลอด และเหมือนกึ่งแขวนอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายเช่นนี้
ไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลฝ่ายมารดา ตกอยู่ในกำมือของแม่เลี้ยงโดยสิ้นเชิง ฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยโปรดปรานอีก
ฐานะขององค์รัชทายาทหนานฮวาคนนี้…
ความจริงแล้วกลับไม่มีเกียรติดังที่เห็นภายนอก
แต่ก็เพราะแบบนี้…
เขาถึงยังนั่งอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้มายี่สิบปีอย่างมั่นคง ไม่ว่าพวกพี่น้องของเขาจะเล่นตุกติกอย่างไน อย่างน้อยที่สุดจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสั่นคลอนตำแหน่งของเขาได้
ทุกคนต่างคิดว่าเก้าอี้ตัวที่เขานั่งนี้ไม่มั่นคงและอาจจะพลิกคว่ำได้ตลอดเวลา ทว่า…มีเพียงสายตาคมกริบของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้นที่มองไพ่ตายที่เขาซ่อนเอาไว้ลึกๆ ออกจนหมด
“ตบตาฮ่องเต้และยังใช้ตระกูลเฉินเป็นเครื่องมือคอยคุ้มกันเจ้า ทำให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาได้ใจและคิดไปเองว่าจัดการเจ้าได้อยู่หมัด แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัวว่าตกอยู่ในกำมือเจ้าตั้งนานแล้ว หากวันหนึ่งพวกเขารู้ว่าตนเองถูกหลอกเข้า ผลจะเป็นอย่างไน ยังต้องให้ข้าบอกอีกหรือ?” ฉู่สวินหยางมองสีหน้าขององค์รัชทายาทหนานฮวาที่เปลี่ยนไปมาอย่างน่าประหลาด “ข้าต้องการเมืองของหนานฮวาห้าเมือง แลกกับที่เจ้าได้เป็นองค์รัชทายาทของแคว้นเจ้าต่อไปอย่างราบรื่นแล้ว ดูอย่างไรเจ้าก็ไม่ต้องเสียอะไรสักอย่าง”
องค์รัชทายาทหนานฮวามีสีหน้ากลัดกลุ้ม นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่น นานมากกว่าเขาจะสูดหายใจลึกและเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าพูดทุกอย่างไปหมดแล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก? แต่เจ้าก็อย่าได้คิดจะหลอกข้าเชียว เจ้าเห็นเมืองห้าเมืองที่ไม่ได้มีความสำคัญในเขตฉางสุ่ยนี้เป็นอะไร? หากเจ้าอยากได้ ข้ายอมยกให้เจ้าแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ? เพียงแต่เจ้าน่าจะรู้ว่าการแย่งเมืองห้าเมืองไปจากแคว้นข้านั้นหมายถึงอะไร…”
เขาพูดไปก็ชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าเหมือนเย็นชาปนเหยียดหยาม พลางเดินเอามือไพล่หลังขยับไปข้างๆ เล็กน้อยว่า “ใช้เมืองห้าเมืองที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร แลกกับการสู้รบกันอย่างดุเดือดที่พอเกิดขึ้นแล้ว ก็หยุดยั้งได้ยากจนยืดเยื้อมานานหลายปีระหว่างสองแคว้น? ข้าอย่างไรก็ได้ แต่ว่าซีเยว่เพิ่งจะตั้งแคว้นมานานแค่ไหนกัน? แม้แต่บัลลังก์ของฮ่องเต้ยังนั่งไม่ทันร้อนเต็มที่ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฐานะขององค์รัชทายาทซีเยว่ก็ไม่มั่นคงเช่นกัน เจ้ามาท้าทายและสร้างศัตรูในเวลานี้ อยากให้พ่อของเจ้าตกที่นั่งลำบากจริงๆ ใช่หรือไม่?”
“เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามากังวล” ฉู่สวินหยางเอ่ย “ข้าก็ไม่ได้อยากมาพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้าเหมือนกัน เรื่องครั้งนี้ข้าไม่ได้มีเจ้าเป็นเป้าหมาย หากเจ้าไม่รู้จักอยู่ให้เป็นก็ต้องแยกตัวออกจากบ่อโคลนนี้ให้ไว ไม่เช่นนั้น…ตอนที่เจอกันครั้งหน้า ข้าคงไม่พูดดีๆ กับเจ้าเช่นนี้แล้ว!”
ระหว่างที่เอ่ยนั้นนักธนูแปดคนที่นางทิ้งไว้นอกหุบเขาก็เตรียมตัวพร้อมอีกครั้งและกำลังขี่ม้ามาที่นี่แล้ว
พอนึกถึงตอนที่ถูกนางต้อนจนจนมุมเมื่อครู่ องค์รัชทายาทหนานฮวาก็รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาอีก
————————