แต่ว่าคำพูดของฉู่สวินหยางตรงไปตรงมาเกินไป ทันใดนั้นสายตาของเขาพลันทอประกายวาบเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาหัวเราะเยาะอย่างนึกไม่ถึงว่า “เมื่อวานคนที่ซุ่มโจมตีเจ้าอย่างไม่ทันตั้งตัวใต้หน้าผาไม่ใช่คนของฉู่ซิ่น? งั้น…”
เขายังคงเอ่ยพลางหัวเราะเยาะออกมาอย่างเหลือเชื่ออีก “งั้นเจ้ายังคิดว่าเป็นกับดักที่ฝ่าบาทของข้าวางไว้จัดการเจ้าหรือ? ฉู่สวินหยาง แค่เด็กสาวที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้า อย่าได้สำคัญตัวผิดนักเลย!”
ฉู่สวินหยางไม่ได้ต้องการยึดเมืองของหนานฮวาห้าเมืองจริง เห็นได้ชัดว่านางกำลังหาเหตุแสดงพลังของตนเองเพื่อท้าทายฮ่องเต้หนานฮวา
ก็แค่เด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกโอ๋จนไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเท่านั้น นางไปเอาความคิดนี้มาจากไหนถึงได้ว่ากล้าท้าทายฮ่องเต้หนานฮวาอย่างเปิดเผย?
องค์รัชทายาทหนานฮวาทำหน้าดูถูก แต่กลับคอยแอบจับสังเกตฉู่สวินหยางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตลอดทุกฝีก้าว
ฉู่สวินหยางก้มหน้าลงพลางหยิบแส้ม้าในมือขึ้นมาดู และมุมปากก็ยกยิ้มอย่างเย็นยะเยือกและเยาะเย้ยโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
“อย่างช้าที่สุดคือคืนพรุ่งนี้ หากเจ้ายังยืนกรานว่าจะไม่ไป งั้นทุกคนก็เจอกันในสนามรบแล้วกัน!” ฉู่สวินหยางเอ่ยและไม่พูดอะไรกับเขาอีก นางพูดจบก็หันหัวม้ากลับ ฟาดแส้ม้าและค่อยๆ จากไปอย่างเยือกเย็น
เสียงลมพัดหวีดหวิวหอบเอาเส้นผมสีดำด้านหลังและกระโปรงของนางให้ปลิวไสว ภาพเงาด้านหลังนั้นดูคล้ายกับภาพทิวทัศน์ที่ค่อยๆ ผสานเข้ากับดินแดนแห่งความฝัน แม้ไม่ค่อยสวยนัก แต่พอได้เห็นแล้วก็เหมือนจะอยู่ชั่วนิรันดร์
ราวกับ…
พอได้เข้าไปอยู่ในหัวใจและดวงตาแล้วก็ยากที่จะลบทิ้งและลืมได้อีก
หญิงสาวคนนี้ไม่เหมือนใครจริงๆ
พอเห็นคนกลุ่มนั้นของนางค่อยๆ จากไปไกลแล้ว หลี่เหวยถึงจะตั้งสติกลับมาได้ทีละน้อย เขาขยับเข้าไปใกล้ด้านหลังองค์รัชทายาทหนานฮวาและเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “องค์ชาย เหมือนท่านหญิงสวินหยางจะไม่ได้ล้อเล่นนะขอรับ”
องค์รัชทายาทหนานฮวามีสีหน้าเย็นชา เขาดึงสายตาที่ฉายแววเย็นเยียบอย่างเลือนรางกลับมาจากที่ไกลๆ นั้น พลางเหลือบมองกระสอบผ้าสีดำที่เขาถืออยู่ในมือ
หลี่เหวยรู้ใจจึงเปิดกระสอบผ้านั้นออกดู ในนั้นมีหัวกลมๆ ของคนอยู่สี่หัว และส่วนใหญ่ยังดูเหมือนคุ้นตาด้วย
“นี่มัน…” หลี่เหวยตกใจมากจนหน้านิ่งไป “เหมือนจะเป็นคนขององค์ชายหกขอรับ!”
ทว่าองค์รัชทายาทหนานฮวากลับเยือกเย็นมาก เขาแค่มองอย่างเฉยชาเพียงครั้งเดียวแล้วก็มองไปทางอื่นอีก…
นี่ฉู่สวินหยางกำลังขู่เตือนเขาหรือ?
คนพวกนี้เป็นคนที่ตามเขามาจากค่ายทหารทั้งนั้น
ทีแรกเขาไม่ได้ให้หลี่เหวยกำจัดทิ้ง เพราะประมาทน้องหกของตนเอง แต่ฉู่สวินหยางกลับลงมือโดยไม่บอกกล่าว
คนขององค์ชายหกถูกฆ่าตาย อย่างไรก็ต้องสงสัยและระแวงเขา
“วิธีการของผู้หญิงคนนี้แปลกประหลาดมาก ให้คนไปสืบอีก ข้าอยากรู้สาเหตุที่นางทุ่มสุดกำลังโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา!” องค์รัชทายาทหนานฮวาเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ พลางยกมือปิดปากแผลที่ยังมีเลือดไหลออกมาบนไหล่ซ้าย “ลูกชายและลูกสาวขององค์รัชทายาทซีเยว่สองคนนี้ต่างไม่ธรรมดา ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมทำอะไรโดยไม่นึกถึงผลที่จะตามมาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้แน่นอน”
ถึงแม้จะแค่เพราะไม่อยากทำให้ฉู่อี้อันลำบาก แต่ฉู่สวินหยางก็ไม่น่าจะทำเกินตัวเช่นนี้ที่นี่ นางพุ่งเป้าไปที่ฮ่องเต้หนานฮวาโดยตรง
“ขอรับ!” หลี่เหวยขานรับอย่างระมัดระวัง คิดแล้วคิดอีกก็ยังอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “องค์ชาย เช่นนั้นพวกเรา…”
“น้องหกมาที่นี่เพราะต้องการอำนาจทางการทหารไม่ใช่หรือ? งั้นข้าก็ช่วยให้เขาสมหวังก็พอแล้ว!” องค์รัชทายาทหนานฮวาเอ่ยและหันหลังกลับ หลังจากปีนขึ้นหลังม้าแล้วถึงจะเอ่ยต่อว่า “ปล่อยข่าวออกไปก่อนฟ้ามืดว่าเสด็จพ่อทรงพิโรธมากเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในกองทัพ!”
“ขอรับ!” หลี่เหวยรับคำ แล้วคนทั้งกลุ่มก็ขี่ม้ากลับไปทางเดิม
หลังจากพบกับองค์รัชทายาทหนานฮวาแล้ว ฉู่สวินหยางก็กลับมาที่ค่ายทหารของซีเยว่ นางเพิ่งจะปีนลงจากหลังม้าและจะเข้าไปในกระโจม ทว่าตอนที่เผลอเงยหน้าขึ้นมานั้นกลับเห็นเงาร่างสูงของฉู่ฉีเหยียนยืนอยู่หน้ารั้วที่อยู่ข้างๆ ไม่ไกลนัก
ฉู่สวินหยางลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วก็ตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้เขา นางยืนข้างเขาโดยเว้นระยะห่างหนึ่งช่วงตัวกล่าวว่า “ท่านมีธุระกับข้าหรือ?”
“หากรุ่ยชินอ๋องกลับเมืองหลวง อย่างไรฝ่าบาทก็ต้องวางแผนการรบที่นี่ใหม่ เจ้าอยากได้อำนาจทางการทหารที่นี่มาตลอดไม่ใช่หรือ? ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้กลับไม่คิดหาทางที่ทำให้มั่นใจได้ว่าฉีเฟิงจะรักษาตำแหน่งในกองทัพไว้ได้ แต่พยายามกระตุ้นให้เกิดสงครามทุกวิถีทาง เจ้าคิดจะบีบให้ฮ่องเต้เปลี่ยนผู้บัญชาการอีกหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยโดยไม่หันกลับไปมองนาง น้ำเสียงของเขาเย็นชาปนหนักแน่นอย่างปกติและดูไร้อารมณ์ “ถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในกองทัพ ครั้งนี้ฝ่าบาทย่อมต้องรู้สึกกลัวและระวังตัวมากขึ้น เจ้ามั่นใจแค่ไหนกันว่าจะกุมอำนาจได้อีกครั้ง? ใช้อารมณ์เช่นนี้ ไม่เหมือนเจ้าเลย ฉู่สวินหยาง!”
ฉู่สวินหยางไม่ได้เปิดโปงเรื่องอื้อฉาวที่รุ่ยชินอ๋องสมคบคิดกับศัตรู ดังนั้นสุดท้ายเมื่อเรื่องนี้ไปถึงบนโต๊ะของฮ่องเต้ จะเปิดเผยออกไปเพียงว่าข้าศึกแทรกซึมเข้ามาในกองทัพของเมืองฉู่จนเกือบจะเกิดหายนะเท่านั้น
ด้วยนิสัยขี้ระแวงของฮ่องเต้แล้ว ต่อไปก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่และจัดระเบียบกองทัพใหม่ทั้งหมด
เดิมทีสุดท้ายตำแหน่งที่นี่อาจจะตกเป็นของเขากับฉู่ฉีเฟิง สองราชนิกุลหนุ่มผู้ก้าวเข้าสู่งานด้านการทหารเป็นครั้งแรก แต่พอฉู่สวินหยางก่อกวนอย่างไม่นึกเกรงกลัว เพราะมีคนหนุนหลังเช่นนี้ อย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องโมโหและเปลี่ยนให้คนอื่นมาแทนอีก
“ที่จริงแล้วเจ้าสนว่าข้าจะอยู่หรือไป หรือว่ากำลังเสียดายโอกาสที่ตนเองเกือบจะพลาดไปต่อหน้าต่อตากันแน่?” ฉู่สวินหยางหัวเราะเยาะและไม่มองเขาเช่นกัน เพียงแค่ทอดมองไปที่ขอบฟ้าแสนไกล “หากมีเวลามาสนใจข้าเช่นนี้ ลองไปคิดว่าควรจัดการปัญหาที่จะตามมาของเจ้าเองอย่างไรดีกว่า เรื่องที่เจ้าซื้อตัวฮั่วกังมาวางแผนฆ่าหลัวอี้ แต่ทิ้งจุดอ่อนใหญ่มากไว้บนมือของฮั่วกังนั้น หากถูกเปิดโปงออกไป ทั้งตระกูลของฮองเฮาคงไม่ยอมรามือจากเจ้าง่ายๆ แน่ วิกฤตของข้ายังมาไม่ถึง แต่เจ้า…ที่จริงแล้วเวลานี้ไม่ควรจะเป็นเวลาที่เจ้ามาเทศนาข้าอย่างสบายอกสบายใจด้วยซ้ำ!”
ฉู่ฉีเหยียนยิ้มมุมปากเยาะเย้ยตนเอง
ตอนนั้นเขาสิ้นเปลืองแรงไปมากกว่าจะชิงตัวฮั่วกังมาได้ และยังจัดการเรื่องของหลัวอี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ แท้จริงแล้วตอนนั้นก็สร้างความลำบากให้กับวังบูรพาไม่น้อย แต่ตอนนี้เขาทิ้งจุดอ่อนใหญ่ขนาดนั้นไว้ในมือฮั่วกัง
หากวันหนึ่งแตกคอกับฮั่วกัง ผลที่ตามมาก็คงจะร้ายแรงทีเดียว
“เจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าฮั่วกังเป็นคนอย่างไร เขากุมอำนาจทางการทหารมาสิบกว่าปี สำหรับเขาแล้วเรื่องลอบฆ่าปิดปากนั้น…อย่าไปพูดถึงเลย!” ฉู่สวินหยางเอ่ยอีก ในที่สุดนางก็ดึงสายตากลับมาจากที่ไกลและมองเขา “เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาใส่ความข้าตรงนี้ เรื่องสำคัญที่ต้องจัดการอย่างด่วนที่สุดในเวลานี้คือไปดับไฟที่เรือนด้านหลังของเจ้าเองก่อนเถิดหากเจ้ายังไม่สนใจและปล่อยทิ้งไว้ต่อไปอีก ข้าคงต้องรับพระราชโองการจากฝ่าบาท จับเจ้ามัด[1]และพากลับไปขึ้นศาลตอนกลับเมืองหลวงครั้งหน้าใช่หรือไม่?”
พอรู้สึกได้ถึงสายตาของนางที่จับจ้องมายังใบหน้าของตนเอง ฉู่ฉีเหยียนก็แอบขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาหันมาเผชิญหน้ากับนาง นัยน์ตาสีนิลฉายแววลึกซึ้ง “สวินหยาง ระหว่างเจ้ากับข้าจะต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งหรือ?”
“เจ้าจะเป็นฮ่องเต้ให้ได้ไม่ใช่หรือ?” ฉู่สวินหยางยิ้มมุมปาก พลางย้อนถามแทงใจ
ฉู่ฉีเหยียนก็รู้สึกกลัวโดนจับได้เช่นกัน แต่ยังคงจ้องนางเขม็งว่า “แต่เจ้าไม่ใช่!”
ฉู่สวินหยางอึ้งไปเล็กน้อย ราวกับชั่วครู่นั้นไม่ทันได้คิดถึงความหมายลึกซึ้งในคำพูดของเขา
—————————————————
[1] 五花大绑 มัดแบบใช้เชือกคล้องคอพร้อมกับผูกแขนทั้งสองข้างไพล่พลัง