บทที่ 67.3 ถล่มเมือง ทำลายแคว้น! (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ฉู่ฉีเหยียนเพียงมองนางอย่างลึกซึ้งเงียบๆ “เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดว่าเจ้าทะเยอทะยานมากเหมือนกัน ต้องได้เป็นที่หนึ่งและต้องอยู่เหนือตำแหน่งฮ่องเต้ใต้หล้านี้ แต่เวลานี้ความจริงพิสูจน์แล้วว่าอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เจ้าใช้อารมณ์เป็น เจ้าก็ไม่คิดถึงส่วนรวมเป็น และเจ้าก็เห็นแก่ตัวเป็นเช่นกัน จนกล้าไปต่อสู้กับคนอื่นอย่างดุเดือดโดยไม่คำนึงถึงอนาคตและผลที่จะตามมา เจ้าเห็นตำแหน่งฮ่องเต้ในใต้หล้านี้เป็นอะไร? เมื่อก่อนเจ้าต้องการช่วงชิงให้ได้มา เพียงเพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่จะคุ้มครองให้พ่อและพี่ของเจ้าตั้งตัวได้เท่านั้น แต่ดูเหมือนเวลานี้…เจ้ากับข้าก็พอจะมีทางปรองดองกันได้”

ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยพลางยกยิ้มมุมปากที่ดูจริงใจมากขึ้นทีละน้อย

เขาคิดมาตลอดว่าฟ้าลิขิตมาให้เขากับฉู่สวินหยางเป็นศัตรูกัน เพราะการแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ ทว่าเพิ่งจะได้รู้โดยบังเอิญจากเรื่องครั้งนี้ว่าหญิงสาวที่ภายนอกดูเหมือนแข็งแกร่งยิ่งนักคนนี้ก็พอจะมีทางกำจัดนางได้เช่นกัน

เพียงแต่พอสืบสาวไปถึงเบื้องหลังของเรื่องนี้ สายตาที่เพิ่งจะทอประกายสว่างไสวเพียงชั่วครู่ของเขาก็หม่นหมองตามไปด้วยอีกโดยไม่รู้ตัว เขากลับมาเย็นชาอีกครั้งและเอ่ยเหน็บแนมว่า “แค่เหยียนหลิงจวินคนเดียวก็สามารถทำให้เจ้าว้าวุ่นใจเหลือเกิน สวินหยาง เมื่อก่อนข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นคนแบบนั้น เจ้าเฉลียวฉลาด เย่อหยิ่ง เย็นชา และสูงส่ง จนข้าคิดว่าเจ้าจิตใจแข็งแกร่งและสามารถอดทนต่อความลำบากได้ แต่เจ้าในวันนี้และตอนนี้…”

ฉู่ฉีเหยียนพูดไปได้เพียงครึ่งเดียวก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและเงียบไปในทันใด

แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ

เขามองว่านางเป็นคนสูงส่งและเป็นผู้หญิงที่จิตใจแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ชายมาตลอด ทว่าแค่ชั่วข้ามคืนกลับรู้สึกตกใจที่ได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองเท่านั้น…

แค่เหยียนหลิงจวินที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเพียงคนเดียว ก็ทำให้นางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ราวกับเสียสติไปหมดแล้ว!

ใช่ เขาคิดว่าฉู่สวินหยางเป็นบ้าไปแล้ว!

ถึงแม้นางจะยังคงจัดการทุกสิ่งได้เรียบร้อยเช่นเดิม ดูเหมือนมีสติควบคุมอารมณ์ตนเองได้และดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่นางปล่อยออกมาจากใจได้อย่างชัดเจน

ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับมากนัก แต่ในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงเช่นนี้…

เพราะเหยียนหลิงจวินประสบเหตุอันตราย จึงทำให้ผู้หญิงคนนี้เปิดเผยนิสัยอีกด้านหนึ่งที่นางเก็บซ่อนไว้ในใจไม่ให้ใครรู้ออกมา

ท้ายที่สุด…

นางก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาเท่านั้นเช่นกัน!

“แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่ได้ทะเยอทะยานมากขนาดนั้น!” ฉู่สวินหยางเบือนหน้าหนีและหันตัวเดินไปทางประตูเข้ากระโจม

ฉู่ฉีเหยียนหันกลับไปมองภาพเงาด้านหลังของนาง พลางเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง จนกระทั่งฉู่สวินหยางยกมือไปเลิกประตูผ้าสักหลาดนั้นขึ้น ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะอย่างขนขื่นและหันหลังกลับไปอีก แล้วเอ่ยว่า “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง!”

นิ้วมือของฉู่สวินหยางที่จับประตูผ้าสักหลาดนั้นชะงักไปอย่างน่าประหลาด แต่สุดท้ายก็ไม่หันกลับไป นางเลิกประตูผ้าสักหลาดขึ้นและเดินเข้าไปข้างใน

ฉู่ฉีเหยียนยืนท้าลมมองกระโจมที่ตั้งเรียงรายอยู่ไกลๆ นานมาก แล้วเขาก็หลับตาลงและหัวเราะเยาะอีก

นางเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่มีอารมณ์ความรู้สึกและความปรารถนาแบบคนทั่วไปเท่านั้น และเพราะความธรรมดานี้กลับทำให้นิสัยอีกด้านหนึ่งที่ทำอะไรอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดของนางแลดูน่าสนใจและไม่เหมือนใคร

หลี่หลินเดินหาอยู่แถวนั้น ตอนที่มองเห็นเขาในที่สุดก็รู้สึกโล่งอก และรีบเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็วว่า “ซื่อจื่อ เตรียมสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะออกเดินทางเมื่อไรขอรับ?”

“ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!” ฉู่ฉีเหยียนลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างเยือกเย็น เขายังคงเป็นซื่อจื่ออ๋องหนานเหอที่เย็นชา จริงจัง และสุขุมเช่นเดิม

เรื่องของฮั่วกังก็รอช้าไม่ได้แม้แต่นิดเดียวเช่นกัน เขาต้องชิงกลับไปจัดการก่อน ในระหว่างที่ฉู่สวินหยางยังปลีกตัวไปจากทางนี้ไม่ได้

“แต่ว่ากลับเมืองหลวงโดยพลการโดยไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาทเช่นนี้ได้จริงๆ หรือขอรับ?” หลี่หลินเอ่ยอย่างเป็นกังวล

“ไม่เป็นไร!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย พลางก้าวเดินไปข้างหน้า “อีกไม่กี่วันพระองค์ก็ไม่มีอารมณ์มาสนใจว่าข้าทำอะไรแล้ว พูดถึง…”

เขาเอ่ยพลางหันกลับไปมองกระโจมทางด้านหลังอย่างลุ่มลึกอีกครั้ง “ข้าก็ต้องขอบคุณผู้หญิงคนนั้น!”

พูดจบเขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับไปอีก

ในกระโจมนั้นฉู่สวินหยางกางแผนที่ออกและตั้งใจศึกษาอย่างไม่สนใจใครหรือเรื่องอื่นใดอีก

นางอยู่ในกระโจมเกือบหนึ่งชั่วยามแล้วก็เดินออกไปอีก ทว่าครั้งนี้กลับไม่พาใครไปด้วยทั้งนั้น นางขี่ม้าออกจากค่ายไปเพียงคนเดียว

ฉู่ฉีเฟิงอยู่ในกระโจมของตนเอง และได้ยินเสียงนางขี่ม้าผ่านไปดังมาจากข้างนอก เขายกมือคลึงระหว่างคิ้วและถามองครักษ์ข้างกายว่า “คนที่ออกไปค้นหาและช่วยเหลือกลับมาหมดแล้วหรือ?”

“ขอรับ!” องครักษ์รายงานว่า “ทยอยกลับกันมาหมดตั้งแต่หลังเที่ยงแล้วขอรับ”

ฉู่ฉีเฟิงเงียบไปอีกพักหนึ่ง ต้องยอมรับว่าเขาไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงชื่อของคนนั้นจริงๆ แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายจึงเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “ปลอดภัยดีหรือ?”

องครักษ์ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งถึงจะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ แล้วก้มหน้ารายงานว่า “เรื่องนี้ยังไม่ค่อยแน่ชัดขอรับ ทหารที่ส่งออกไปช่วยไม่มีใครพบตัวเขาด้วยตนเองเลย แต่ในเมื่อท่านหญิงสั่งให้ทุกคนกลับมาแล้ว ใต้เท้าเหยียนหลิงก็น่าจะปลอดภัยดีขอรับ เพียงแต่…ไม่รู้ว่าเวลานี้เขาอยู่ที่ไหน!”

องครักษ์เอ่ยพลางลังเลไปอีกชั่วครู่ แล้วถึงจะลองเอ่ยอีกว่า “หากท่านจวิ้นอ๋องยังไม่วางใจจริงๆ ก็ส่งคนติดตามท่านหญิงไปด้วยดีกว่าขอรับ!”

ฉู่ฉีเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น แต่กลับไม่พูดอะไร เขาเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทนว่า “ฉู่ฉีเหยียนเตรียมตัวกลับเมืองหลวงแล้วหรือ?”

“ขอรับ!” องครักษ์รายงานว่า “ออกเดินทางไปตั้งแต่ครึ่งเค่อ[1]ก่อนแล้วขอรับ”

อำนาจทางการทหารของเมืองฉู่นี้ได้มาอย่างยากลำบาก ไม่ว่าเขาหรือฉู่ฉีเหยียนต่างก็ให้ความสำคัญกับโอกาสครั้งนี้มากทั้งนั้น ทว่าเวลานี้กลับกลายเป็นของไร้ค่าที่จะทิ้งก็เสียดาย และไม่มีใครอยากได้มากอีกแล้ว มีแต่อยากจะกลับเมืองหลวงให้ได้ทันทีเท่านั้น

“หากซื่อจื่อจวนอ๋องหนานเหอกลับเมืองหลวง อย่างไรสถานการณ์ภายในเมืองหลวงก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง ท่านจวิ้นอ๋อง พวกเราก็ควรออกเดินทางอย่างเร็วที่สุดด้วยหรือไม่ขอรับ?” องครักษ์ครุ่นคิดพลางสังเกตสีหน้าของฉู่ฉีเฟิง

“รออีกหน่อย!” แต่ฉู่ฉีเฟิงกลับโบกมือ

ท่าทางของฉู่สวินหยางในตอนนี้ทำให้เขาไม่สบายใจจริงๆ ต่อให้เรื่องทางฝั่งเมืองหลวงจะเร่งด่วนอีกมากแค่ไหน เขาก็ไม่สบายใจที่จะทิ้งฉู่สวินหยางไว้ที่นี่คนเดียวทั้งนั้น

องครักษ์ไม่กล้าเอ่ยอะไรมากอีกเช่นกัน พอเห็นเขาไม่มีคำสั่งอื่นอีกแล้วก็ถอยออกไปก่อน

ตอนที่ฉู่สวินหยางกลับมานั้นก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว นางเพิ่งจะเข้าไปในกระโจม แต่เจิงจีกลับพาท่านเก่อมาขอพบอยู่ด้านนอก

พวกเขาสองคนเป็นคนที่ฉู่อี้อันสั่งให้มาคอยช่วยเหลือฉู่ฉีเฟิง ก่อนหน้านี้ฉู่ฉีเฟิงเกิดเรื่องระหว่างทางที่ไปรับเสบียงและหญ้าที่ส่งมาจากเมืองชาง ทั้งสองคนก็รีบมุ่งหน้าไปจัดการไส้ศึกที่เมืองชางทันที พอกลับมาถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ในค่ายทหาร

“ท่านหญิง!” เจิงจีรีบเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าจริงจังปนกังวล

“พวกเจ้าเจอท่านพี่หรือยัง?” ฉู่สวินหยางเดินไปข้างโต๊ะและรินน้ำให้ตนเอง พลางเอ่ยถามไปด้วย

“ขอรับ!” เจิงจีรายงานว่า “เรื่องทางเมืองชางจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ คนมากมายที่เกี่ยวข้องก็ส่งต่อให้ทางการแล้ว และให้คนส่งตัวนักโทษกลับไปเมืองหลวงให้ฝ่าบาทจัดการลงโทษแล้วขอรับ”

“อืม!” ในเมื่อยังไม่คิดจะทำอะไรฉู่ซิ่นตอนนี้ ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้คิดจะสนใจมากนัก นางเดินไปหน้าโต๊ะเขียนหนังสือและหยิบแบบร่างที่นางทำสัญลักษณ์ไว้ก่อนหน้านี้ส่งให้ท่านเก่อว่า “ท่านนำของชิ้นนี้ไปปรึกษากับเหล่าแม่ทัพอีกสักหน่อย หากไม่มีปัญหาก็ส่งคนมาให้ข้า ข้าต้องใช้ด่วน”

——————————————————

[1] หนึ่งเค่อ = 15 นาที ดังนั้นครึ่งเค่อ = 7-8 นาที