บทที่ 212 – ประโยชน์ที่คาดไม่ถึง (3)
หลังจากได้ยอมรับข้อเสนอของยูเรลแล้ว ซอลจีฮูก็ได้สั่งให้ทีมของเขาตั้งแคมป์กันบริเวณนี้ ในตอนนี้พวกเขาได้รับอนุญาตจากสหพันธรัฐแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเดินเตร่ไปตามบริวเณชายแดนอีกต่อไป
แถมเขายังค่อนข้างโชคดีที่ได้มาเจอเข้ากับแฟรี่ถ้ำ
เนื่องจากแฟรี่ถ้ำเป็นเผ่านพันธุ์สุดท้ายที่ได้รับการยอมรับจากสหพันธรัฐ ทำให้แฟรี่ถ้ำจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกว่าเหตุผล การกระทำของยูเรลเป็นตัวอย่างดีในเรื่องนี้ มันชัดเจนมากว่าเธอได้มาที่นี่เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเธอมากกว่าการที่จะมาจับตามองพวกเขา
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนี้ ยูเรลไม่ใช่แฟรี่ธรรมดาๆ แต่เธอเป็นแม่ทัพแฟรี่ที่่คอยดูแลทั้งเผ่าพันธุ์ การสร้างความสัมพันธ์กับเธอก็ไม่ใช่เรื่องที่แยเลย
‘ทำยังไงดีนะ?’
หลังจากครุ่นคิดกับตัวเองแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ตัดสินใจที่จะใช้มื้อเย็นโชว์ฝีมือของเขา
น่าบังเอิญที่เขามีวัตถุดิบดีๆมากมายที่ได้พกมาด้วยในตอนที่กลับไปที่โลกคราวก่อน
‘แค่ราเมนคงไม่พอ’
เขาได้ยิ้มออกมาพร้อมกับหยิบเส้นก๋วยเตี๋ยวออกมาจากกระเป๋า
หลังจากหั่นเนื้อโรยเกลือบางๆ ทอดไข่ และจากนั้นก็สับเห็ดกับบวบแล้ว ซอลจีฮูก็ต้มเส้นบะหมี่ให้สุก ก่อนที่จะย้ายมาที่ชามเปล่า และตกแต่งหน้าด้วยผักต่างๆ
จากนั้นเขาก็เทน้ำซุปที่ปรุงด้วยซีอิ้ว สาหร่าย หอม และไวน์ข้าวกลั่น สุดท้ายเมื่อเขาได้ใส่เม็ดงาบดที่ผสมกับเกลือและกิมจิลงไป ก๋วยเตี๋ยวหม้อใหญ่สำหรับงานปาร์ตี้ก็พร้อมแล้ว
เขาได้พยายามที่จะทำอาหารมื้อนี้เป็นอย่างมาก และแม้กระทั่งในสายตาของเขามันก็ยังดูน่าอร่อยเลย
และก็เป็นอย่างที่คาดไว้ อาหารมือนี้ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
“น่าทึ่ง! น่าทึ่งมาก! อ๊า! ขออีกชาม!”
ฮิวโก้ได้ยกน้ำซุปซดอย่างเร่งรีบ เขาเป็นเหมือนกับเครื่องดูดฝุ่นที่ดูฝุ่นออกไปจนเกลี้ยง
“กรีดดด! น้ำซุปนี่มันเข้มข้นจริงๆเลย!”
โชฮงได้ยิ้มกว้างออกมา
ซอลจีฮูก็ได้ยินขึ้น
“มันเยี่ยมเลยใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่! มันสดชื่นมากเลยล่ะ! ฮ่าาาห์!”
โชฮงได้หัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า และยกชามน้ำซุปขึ้นมาซด
“…ฉันไม่เข้าใจเลย!”
ฟีโซราก็ยังขยับตะเกียบของเธออย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเอียงหัวออกมาตลอดเวลา
“อ๊าา นี่นายไม่ได้ใส่ยาอะไรลงไปใช่ไหม? ปกติแล้วฉันไม่ชอบก๋วยเตี๋ยวนะ!”
“เชี้ย เชี้ย!”
มาเรียก็เป็นเช่นเดียวกัน
ซอลจีฮูได้ลูบคางอย่างพอใจพร้อมกับมองดูพรรคพวกของเขาเพลิดเพลินไปกับอาหารยิ่งกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้ จากนั้นเขาก็ได้ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาในตอนที่ทุกๆอย่างจบลงแล้ว
[เฮ~ น่ากินจังเลย!]
“โฟลน?”
ซอลจีฮูได้มองลงไปในทันที ก้อนควันเล็กๆได้โผล่ออกมาจากจี้ของเขา เธอได้หลับอยู่ตลอดทั้งบ่าย แต่ดูเหมือนว่ากลิ่นอาหารจะทำให้เธอตื่นแล้ว
“อยากจะลองไหมล่ะ?”
[อื้อ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอยากจะลองกินหรอกนะ… แต่ว่าทุกๆคนกินดูน่าอร่อย]
ตัดสินจากคำเสียงของเธอแล้ว มันดูเหมือนตอนนี้เธอจะอยากกินมากจริงๆ
“ได้สิ ฉันทำเผื่อไว้ให้เธอเหมือนกัน”
[ฮิฮิ]
หลังจากส่งชามก๋วยเตี๋ยวให้กับโฟลนแล้ว ซอลจีฮูก็ได้หันหน้าไปทางที่สมาชิกของสหพันธรัฐกำลังนั่งอยู่ ก๋วยเตี๋ยวของเขาอาจจะถูกปากกับมนุษย์ แต่ว่าเขาก็ไม่เข้าใจว่าเผ่าพันธุ์อื่นจะชอบสิ่งที่เขาทำเหมือนกันหรือเปล่า
ยังไงก็ตามไม่นานนักเขาก็รู้ว่าเขาไม่ควรจะไปกังวลเลย
เฮเรียวกับเฮย่าแทบจะก้มหัวจุ่มลงไปในชาม แถมหางของพวกเธอยังส่ายไปมาแสดงให้เห็นว่าเธอชอบขนาดไหน
สำหรับยูเรล…
ซูดดดดดดด!
“…”
เธอได้ดูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าไปเต็มปากจนเกิดเสียงดังออกมา ปากเล็กๆเข้ารูปของเธอในตอนนี้กำลังยัดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าไปจนเต็มปาก
ยิ่งได้เห็นห่อกิมจิอยู่ข้างๆ ซอลจีฮูก็ผงะไป
‘ธะ เธอรู้วิธีกินด้วย’
“อร่อย!”
หลังจากกินหมดชามในพริบตาเดียว ยูเรลก็หันหน้ามาหาซอลจีฮู และผลักชามออกมา
“ขออีกชาม!”
มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเธอบอกว่า ‘รีบเติมเร็วเข้า!ง มากกว่าคำว่า ‘ขออีก’ ซะอีก
‘ดีนะที่ฉันทำน้ำซุปเอาไว้เยอะ’
ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมาพร้อมทั้งใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวลงไปในหม้อ ไม่ว่าจะยังไงยูเรลก็ดูจะชอบอาหารที่เขาทำ
‘ถ้าเอาเธอไปเป็นยูทูปเบอร์กินอาหาร เธอคงจะได้รับโดเนทเยอะแน่เลย…’
ใช้คริสตัลสื่อสารแสดงภาพที่เธอกินไปทั่วทั้งพาราไดซ์ นี่มันเป็นการโฆษณาที่น่าทึ่งไปเลยไม่ใช่หรอ?
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังคิดเรื่องธุรกิจของเขา ยูเรลก็กินอาหารต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย
งั่ม งั่ม
“ฟุฮ่าห์!”
ยูเรลได้อุทานออกมาอย่างพอใจหลังจากที่ยกน้ำซุปขึ้นมาซด หลังจากกินหมดไปถึงสี่ชามเธอถึงได้นั่งลูบท้องของเธอ เธอได้นั่งอย่างอิ่มเอมใจ จากนั้นก็พยักหน้าและพูดขึ้นว่า “อย่างที่คิดเลย”
ต่อด้วย
“มนุษย์นี่ช่างเป็นสัตว์ประเสริฐ…”
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา มันค่อนข้างจะเป็นคำชมที่มากเกินไปหน่อยสำหรับปาร์ตี้ก๋วยเตี๋ยวธรรมดาๆ
“ในวันแบบนี้เราจะขาดเจ้านี้ไปไม่ได้!W
ยูเอลได้ควานหากระเป๋าที่ข้างเอว และจากนั้นก็หยิบกระป๋องหนังออกมา
“โอ้? ฉันเอาด้วย ฉันเอาด้วย!”
เมื่อเห็นเหล้า ฮิวโก้ก็โพล่งขึ้นทันที จากนั้นเขาก็มองดูปฏิกิริยาของซอลจีฮู เนื่องจากว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น ซอลจีฮูจึงคิดว่าหากปล่อยตัวไปซักหน่อยคงไม่เป็นไร และเขาก็ได้พยักหน้าออกมา
“อย่าดื่มมากไปซะล่ะ”
“นายไม่เอาสักแก้วหรอ?”
ยูเรลได้ถามออกมาหลังจากที่เทเหล้าให้กับฮิวโก้ ซอลจีฮูก็ไม่ได้ปฏิเสธออกมา
“นี่เป็นเหล้าโปรดของฉันเลยนะ ไวน์แมงมุมน้ำผึ้งกระจ่าง”
“ไวน์แมงมุมน้ำผึ้งกระจ่าง?”
“มันทำขึ้นมาจากการใช้ใยของแมงมุมมาบ่ม มันยอดเยี่ยมไปเลยล่ะ”
ยูเรลได้ตอบออกมาพร้อมกับเทของเหลวเหนียวหนืดสีขาวลงไปในแก้ว
“เอาสิ ลองดู”
“ขอบคุณครับ!”
ไวน์นี่มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์มากจริงๆ เพราะมันข้นมากจึงทำให้เขาอยากจะอมมันเอาไว้ในปาก และเมื่อเขากลืนมันลงคอไป กลิ่นหอมของนมก็กระจายออกมา
“ซอล ไม่สิ ซอลจีฮู การทำแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง?”
“?”
ทำไมนายถึงได้วางมือเอาไว้ใต้แก้ว แล้วก็เอียงหัวไปด้านหลังในตอนดื่มล่ะ? นี่เป็นธรรมเนียมการดื่มของชาวโลกงั้นหรอ?”
“อ่อ ใช่แล้วครับ”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับไป
“มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอกครับ แต่ว่าผมได้เรียนเรื่องนี้มาในตอนยังเด็กว่าผมควรจะทำแบบนี้ในตอนที่กำลังดื่มกับผู้อาวุโสกว่า”
“โฮ่! แล้วนายไปเรียนเรื่องนี้มาจากใครล่ะ?”
“พ่อผม”
“อ่อ… เข้าใจแล้ว ยอดเยี่ยมไปเลย ยอดเยี่ยมจริงๆ! นายบอกว่าอาวุโสกว่าสินะ! ฮ่าฮ่า!”
ยูเรลได้ระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง เธอดูจะมีความสุขมากๆเลย
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา แต่ว่าดูเหมือนการที่เขาเรียกเธอว่าผู้อาวุโสกว่าจะได้ผลอย่างดี
แฟรี่ถ้ำเป็นเผ่าพันธุ์ที่ให้ความสำคัญกับลำดับชั้นมากเท่าๆกับกองทัพ พวกเขาจะใส่ใจเป็นอย่างมากในเรื่องคำสั่ง ระเบียบวินัย และมีความเข้มงวดมากจนถึงขนาดที่จะทำการประหารคนที่ก่อกบฏหรือไม่เชื่อฟังได้เลย
เพราะงั้นเธอจะไม่มีความสุขได้ยังไงที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสต่อหน้าลูกน้องของเธอ?
ยิ่งไม่ต้องพูดว่าคนๆนั้นเป็นวีรบุรุษของมนุษยชาติ ผู้ที่ได้ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งของปรสิตอีกด้วย!
“ค่ำคืนที่เงียบสงบ อาหารที่ยอดเยี่ยม แล้วก็สหายใหม่! นี่มันช่างเป็นวันดีมากจริงๆ!”
ยูเรลได้ลุกขึ้นยืน และเอียงหัวระเบิดกัวเราะออกมา
‘เธอสวยมาก’
ซอลจีฮูรู้สึกว่าเธอคงจะเข้ากันได้ดีกับฮ่าวอวิ่น
จากนั้นยูเรลก็วางแก้วลง
“โอ้ จริงสิ นายบอกว่านายมีเรื่องที่อยากจะถามนี่?”
ตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้าประเด็นหนักแล้ว
“เอาเลย ฉันจะตอบคำถามส่วนใหญ่ให้เอง”
มันดูเหมือนกับว่าเธอจะตอบแทบทุกๆอย่างจริงๆ ซอลจีฮูมีอยู่หลายคำถามที่อยากจะถามออกไป เพราะงั้นเขาจึงใช้เวลาจัดการกับความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
‘อย่างแรก’
“ทำไมคุณถึงบอกว่าเราไม่ควรจะนอนหลับจนกว่าจะมาเจอกับพวกคุณ?”
“นั่นเพราะว่าหากพวกนายหลับ พวกนายก็จะฝัน”
ยูเรลได้ตอบกลับมาชัดๆก่อนจะชี้ไปข้างๆ
“สองคนนั้น”
เฮเรียวกับเฮย่ากำลังกอดกันนอนหลับอยู่
“เด็กหน้าด้านสองคนนั้นได้แหกกฎ เข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม ในทันทีที่พวกเธอก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม พวกเธอก็ได้ติดคำสามจากเวทมนต์กับคาถาเวทย์ไปแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือนี่เป็นคำสาปที่ติดต่อกันได้ มันสามารถจะกระจายไปสู่คนที่อยู่ใกล้ๆได้”
ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา
“อ่า เพราะงั้นคุณถึงได้บอกให้เรายืนนิ่งๆ… จากนั้นก็ทำพิธีชะล้างคำสาป”
“ถูกต้อง”
“ผมได้ยินมาว่าเฮเรียวกับเฮย่าได้ตามแฟรี่ท้องฟ้าไปดูการทำพิธี… นี่มันหมายความว่าพวกเขากำลังไปชะล้างคำสาปที่เจดีย์งั้นหรอครับ?”
ความจริงแล้วนี่เป็นคำถามที่สำคัญที่สุดแล้ว หากว่าสหพันธรัฐกำลังอยู่ระหว่างการพิชิตเจดีย์ มันก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะอ้างสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงได้
“ไม่เลย ถ้ามันชะล้างคำสาปได้ สหพันธรัฐก็คงจะพิชิตเจดีย์ไปนานแล้ว พวกเราได้ยอมแพ้ก็เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะแบบนี้แหละมันถึงได้ถูกตั้งให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม”
ซอลจีฮูได้โล่งใจขึ้นมา แต่ว่าภายในใจลึกๆของเขาส่วนหนึ่งก็รู้สึกเป็นกังวล เขาพอจะจินตนาการได้เลยว่าปฏิบัติการครั้งนี้ต้องยากลำบากขนาดไหนในเมื่อสหพันธรัฐที่ทรงพลังก็ยังต้องยอมแพ้
“เหตุผลที่แฟรี่ท้องฟ้าได้ไปทำพิธี-“
“เดี๋ยวก่อน”
ในตอนนี้เอง หญิงสาวที่กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ก็ได้ขัดขึ้นมา
เธอคือหญิงสาวที่สวมใส่ชุดคลุมพิธีกรรม แฟรี่ท้องฟ้า
“พิธีของแฟรี่ท้องฟ้านั่นเป็นเรื่องภายใน มันไม่มีทางที่เราจะเผยทุกๆอย่างออกไปได้”
“ชิ ขี้เหนียวจัง”
ยูเรลได้เดาะลิ้นออกมา
“ทั้งหมดที่ฉันบอกได้คือคุณต้องไม่ลงรายละเอียดลึกลงไป”
“เขาได้ทำอาหารเย็นสุดหรูให้เรา แล้วเธอก็ยังกินไปตั้งสองชามด้วยนะ เธอกำลังบอกว่าแค่บอกข้อมูลเขาไปก็ไม่ได้เนี้ยนะ?”
หากว่านี่เป็นเรื่องภายในของแฟรี่ท้องฟ้า ซอลจีฮูก็ไม่อยากจะคาดคั้นเอาคำตอบ และขณะที่เขากำลังจะถามคำถามต่อไป
“อึก!”
แฟรี่ท้องฟ้าได้สะอึกไป เห็นได้ชัดว่าเธออารมณ์เสียและรู้สึกละอายเล็กน้อย
ซอลจีฮูได้สับสนขึ้นมา
‘ทำไมเธอถึงดูไม่พอใจ แต่ก็ยอมรับในเวลาเดียวกันล่ะ?’
“เธอรู้ไหมว่านี่มันก็แค่ปัญหาขี้ปะติ่วเอง เธอกับใบหน้าโง่ๆเธอน่ะ หากว่ามีปัญหาอะไร ก็แค่พูดออกมาแล้วก็รับการช่วยเหลือสิ! จะไปยึดถือศักดิ์ศรีอันไร้ค่าไปเพื่ออะไร? ชิ…”
ยูเรลได้ใช้โอกาสนี้ร่ายยาวออกมา
แน่นอนว่าแฟรี่ท้องฟ้าก็ไม่ได้อยู่นิ่ง
“ขะ ขี้่ปะติ่ว? เธอรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรไป?”
“แล้วจะทำไมล่ะ?”
“นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะปล่อยผ่านได้ ฉันจะไปรายงานในระหว่างการประชุมสภาครั้งถัดไป!”
“เอาเลย”
“มาดูกันว่าพอเรากลับไปแล้ว เธอจะยังพูดไร้สาระแบบนี้ได้อีกไหม!”
“มาาาดูวววกันว่าพอเรากลับไปล้าว เธวจะยังพูดร้ายสาระแบบนี้ด้ายอีกไหม!”
ยูเรลได้พูดล้อเลียนคำพูดของแฟรี่ท้องฟ้าออกมา
ซอลจีฮูแทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่ได้ นี่มันก็เพราะว่าคอของแฟรี่ท้องฟ้าได้แดงขึ้นพร้อมทั้งสั่นอย่างแรง
“มันน่าตลกดีนะ เผ่าพันธุ์โง่นี่เอาแต่พูดเรื่องอะไรแบบนี้!”
ซอลจีฮูได้แต่หัวเราะแห้งๆ
“ยังไงก็ตาม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปข้องเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของพวกเธอเลยนะ แค่ดูสิ่งที่พวกเธอทำกันก็พอแล้ว! ช่างหัวเรื่องภายในหรือเรื่องเล็กน้อยอะไรแบบนั้นไปสักทีเถอะ มันน่าเบื่อสุดๆไปเลยจริงไหมล่ะ?”
“โอ้ นี่เธอ?”
แฟรี่ท้องฟ้าได้กระแทกชามลงกับพื้น หลังจากลุกขึ้นจากที่นั่ง เธอก็ชี้มาที่ซอลจีฮูและพูดออกมา
“มนุษย์ นายอยากจะรู้ไหมว่าทำไมแฟรี่ถ้ำถึงได้ปิดตา?”
‘โอ้!’
พูดตรงๆเขาก็อยากจะรู้ จริงๆแล้วนี่เป็นหนึ่งในคำถามที่เขาคิดว่าจะถามด้วย
“ฉันจะบอกให้นะ นายเคยเห็น-“
“อ๊าาา! อย่ามาทำลายความสนุกสิ! ลากเธอออกไป!”
ในทันทีที่คำสั่งของยูเรลได้ดังออกมา แฟรี่ถ้ำทั้งสิบคนก็ลุกขึ้นยืน และลากแฟรี่ท้องฟ้าออกไป
“ดะ เดี๋ยวก่อน! ปล่อยฉันนะ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
แฟรี่ท้องฟ้าได้พยายามดิ้นออกมาอย่างสุดกำลัง
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว! อย่างน้อยก็ให้ฉันได้กินก๋วยเตี๋ยวของฉัน… อ๋า เฮ้! ปล่อยมือจากชมของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”
ระหว่างความวุ่นวายนี้มีแฟรี่ถ้ำคนหนึ่งแอบเข้าไปขโมยชามก๋วยเตี๋ยวของแฟรี่ท้องฟ้ามา
“นั่นมันของฉัน! ฉันอุส่าห์ค่อยๆกัดทีล่ะคำ! อื้อ อื้อออ!”
ไม่นานนักเสียงร้องของแฟรี่ท้องฟ้าก็สงบลงไป หลังจากวุ่นวายได้ไม่นานนัก…
“เอาล่ะ! กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า!”
ยูเรลได้พูดราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ซอลจีฮูได้ยกมือก่ายหน้าผาก มันให้ความรู้สึกเหมือนพายุเพิ่งผ่านไปเลย
“มันมีเหตุผลง่ายๆที่พวกเขายังไปทำพิธีอยู่ นั่นเพื่อการสื่อสาร”
“สื่อสาร?”
“ตามคำกล่าวของแฟรี่ท้องฟ้าคือมีจิตวิญญาณที่ทรงพลังหลับใหลอยู่ภายในเจดีย์แห่งความฝัน”
ทันใดนั้นยูเรลก็ได้ถามออกมา
“นายรู้ไหมว่าแฟรี่ท้องฟ้าต้องเสียพลังจิตวิญญาณไปมากเท่าไหร่?”
‘พลังจิตวิญญาณ?’
“ในตอนนี้พอคุณพูดถึงมันแล้ว ฉันก็ได้ยินว่าการสื่อสารระหว่างแฟรี่ท้องฟ้า กับอาณาจักรจิตวิญญาณเพิ่งจะถูกตัดไปเอง”
เทเรซ่าที่ยืนอยู่ใกล้ๆได้แทรกเข้ามา
ซอลจีฮูได้ถามขึ้น
“มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าฉันก็ไม่ค่อยรู้อะไรหรอก”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…?”
“ฉันคิดว่ามันก็น่าจะหลังจากที่เรากลับมาจากเดลฟิเนี่ยนดัชชี่นั่นแหละ”
ถูกแล้ว แฟรี่ท้องฟ้าได้ใช้พลังจิตวิญญาณของพวกเขาออกไปจำนวนมากในระหว่างที่พวกเขาหลบหนีออกมาจากพวกปรสิตในป่าแห่งการปฏิเสธ
ยูเรลได้ยืนัยนออกมาในทันที
“ในตอนนั้นได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นมา พลังรบของแฟรี่ท้องฟ้าได้ลดลงไปกว่าครึ่งเพราะแบบนี้”
นี่มันคือเรื่องร้ายแรงอย่างแท้จริง ความสำคัญของแฟรี่ท้องฟ้ามาจากความสามารถในการอัญเชิญจิตวิญญาณธาตุ หากว่าพวกเขาสูญเสียความสามารถนี้ไป แฟรี่ท้องฟ้าก็จะไม่ต่างอะไรไปจากนักธนูที่ปราดเปรียวเท่านั้น
“พูดตรงๆแล้ว มันก็มีอยู่หลายครั้งที่การสื่อสารกลายเป็นไม่เสถียร เพราะแบบนี้ทำให้สหพันธรัฐรีบรับพวกเรามาไง”
[มันน่าแปลกใจใช่ไหมล่ะ? พวกเขาอาจมีต้นตอบรรพบุรุษคนเดียวกัน แต่ว่าสองเผ่าพันธุ์ที่เป็นศัตรูกันอย่างแฟรี่ท้องฟ้ากับแฟรี่ถ้ำกลับมาจับมือกันได้]
[นี่มันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสิ้นหวังขนาดไหนกัน]
‘เข้าใจแล้ว นี่คือเรื่องราวจริงๆสินะ’
ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจถึงเรื่องราวจริงๆของการสนทนาที่เขาเคยคุยกับเอียนและดีแลนด์แล้ว
เทเรซ่าได้พูดขึ้นมา
คุณพอจะให้รายละเอียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไหม? จากที่ฉันรู้มา มีบางอย่างเกิดขึ้นในตอนที่ผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดของปรสิตบุกเข้ามาในอาณาจักรจิตวิญญาณภายใต้คำสั่งของราชินี”
“หืมมม”
“แต่นั่นก็แค่ทำให้การอัญเชิญไม่เสถียรเท่านั้นเอง การสื่อสารไม่เคยถูกตัดขาดเลยสักครั้งเดียว อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่ใช่จนถึงก่อนหน้านี”
“เธอพูดถูกแล้วล่ะ”
“ในตอนที่ฉันได้ยินข่าวลือ ฉันก็คิดว่าผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดได้รับชัยชนะในสงครามอาณาจักรจิตวิญญาณ แต่ว่าหากมันเป็นแบบนั้นความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็น่าจะกลับมาที่โลกส่วนกลางได้แล้วสิ แต่นี่กลับยังไม่เคยมีใครเห็นเขาเลย”
“นั่นมันเป็นไปได้มากที่สุด”
ยูเรลได้ตอบกลับมาอย่างสงบ
“เหตุผลก็ง่ายมาก อาณาจักรจิตวิญญาณยังไม่ได้พ่ายแพ้ แต่บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ในสงครามรุนแรงระหว่างที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ก็ได้นะ”
ใบหน้าของเทเรซ่าได้ดูเหมือนจะถามว่า ‘นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?’ สิ่งที่ยูเรลพูดออกมาไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย
จากนั้นจู่ๆยูเรลก็กลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา
“หืมม…”
หลังจากครุ่นคิดอยุ่นาน เธอก็ได้เริ่มต้นด้วยคำว่า
“มันก็ไม่น่าจะสำคัญหรอกในเมื่อมันเป็นความลับที่รู้กันทั่วสหพันธรัฐ”
“เจดีย์แห่งความฝันเป็นโบราณสถานจากเมื่อร้อยปีก่อน”
ทันใดนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่องไป ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็ยังคงนั่งฟังเงียบๆ เขารู้สึกว่าทุกๆอย่างที่ยูเรลกำลังพูดมันเกี่ยวข้องกัน
“ฉันก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรหรอก แต่ว่าในตอนนั้น จักรวรรดิได้เผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ไม่เคยมีมาก่อน”
เธอได้ใช้นิ้วโป้งชี้ไปด้านหลัง
“นั่นเพราะเจดีย์ที่นายพยายามจะเข้าไปนั่นแหละ”
เจดีย์เกือบจะผลักดันให้จักรวรรดิที่ทรงพลังล่มสลายงั้นหรอ? ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป
“อย่างที่ฉันเคยไป การเข้าไปใกล้เจดีย์ก็จะทำให้เราติดคำสาปติดต่อที่ทรงพลัง”
“…”
“แล้วคำสาปนั่นจะทำให้นายฝัน”
ยูเรลได้ลดแขนลง
“พูดให้ชัดก็คือ มันเป็นคำสาปที่จะเจาะลึกเข้าไปในจิตใจของสิ่งมีชีวิตโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด และทำให้พวกเขาฝันถึงสิ่งที่หวาดกลัวที่สุด”
“ฝัน… คุณหมายถึงฝันร้าย?”
ซอลจีฮูได้ถามออกโดยที่สงสัยว่ากับแค่ฝันร้ายมันจะทำไมกัน
“มันจะเป็นแค่ฝันร้ายธรรมดาๆได้ยังไงกันล่ะ?”
ยูเรลได้ยิ้มออกมา จากนั้นก็หันหน้าไปหาเทเรซ่า
“เธอถามว่าทำไมการสื่อสารถึงถูกตัดขาดไปใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
“นี่มันเพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน แฟรี่ท้องฟ้าได้รับรู้ถึงจิตวิญญาณที่ทรงพลังที่กำลังหลบไหลอยู่ภายในเจดีย์แห่งความฝัน และถอนตัวจากการสำรวจที่นั่นในทันที”
ยูเรลได้พูดต่อ
“นั่นเพราะอาณาจักรวิญญาณได้ขอความช่วยเหลือ”
เทเรซ่าได้เบิกตากว้างขึ้นมา
“ขอความช่วยเหลือ? อาณาจักรวิญญาณเนี้ยนะ?”
“อืมม พวกเขาบอกว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวนั้นยากที่จะต่อกร และขอความช่วยเหลือทุกวิธีทาง”
เทเรซ่าได้อ้าปากค้างออกมากับคำอธิบายของยูเรล
“พระเจ้า… ฉันรู้นะว่าผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดเป็นมังกรตัวสุดท้าย แต่ว่าเขาแค่คนเดียว… ความเมตตาอันบิดเบี้ยวไม่ได้มีกองทัพของตัวเองด้วยซ้ำไป!”
“ใครจะไปรู้ล่ะ?”
ยูเรลได้ยักไหล่ออกมา
“ฉันไม่เคยสู้กับเขามาก่อน ยังไงก็ตามยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งทำให้การอัญเชิญไม่เสถียรมากยิ่งขึ้น แฟรี่ท้องฟ้าได้เริ่มกังวลขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็คิดว่าจะไปเจดีย์แห่งความฝัน และไปปลุกจิตวิญญาณที่ทรงพลังเพื่อที่จะส่งไปช่วยอาณาจักรวิญญาณ”
เพราะแบบนี้ยูเรลก็ได้กอดอกขึ้น
“และในทันทีที่พวกเขาได้เริ่มสำรวจเจดีย์ การสื่อสารกับอาณาจักรจิตวิญญาณก็ได้ถูกตัดขาดไปในทันที ทั้งหมดได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว”
“…”
ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอย่างสับสน เขารู้สึกเหมือนกับเพิ่งจะเจอเข้ากับเรื่องใหญ่
‘ไม่นะ’
มันต้องไม่ใช่แบบนั้น มันต้องมีเหตุผลที่ยูเรลพูดถึงเรื่องของเจดีย์อยู่ ซอลจีฮูค่อยๆลำดับเรื่องราวอย่างใจเย็น
‘ฝันร้าย คำสาป อาณาจักรจิตวิญญาณ แฟรี่ท้องฟ้า…’
ไม่นานนัก ซอลจีฮูก็ประติดประต่อเรื่องราว และเบิกตากว้างขึ้นมา
‘อย่าบอกนะว่า!’
ซอลจีฮูได้รีบถามออกมา
“เช้าวันนั้นเป็นในตอนที่แฟรี่ท้องฟ้ากำลังทำการสำรวจเจดีย์แห่งความฝัน ความล้มเหลวในการอัญเชิญจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่แฟรี่ท้องฟ้าหวาดกลัวที่สุด?”
“…นายมีสัญชาตญาณที่น่าทึ่งนี่”
มุมปากของยูเรลได้ขยับโค้งออกมา
“นายพูดถูก เหตุผลที่เจดีย์แห่งความฝันน่ากลัวก็คือการทำให้ความฝันที่นายกลัวมากที่สุดกลายมาเป็น ‘ความจริง’ นั่นคือสิ่งที่สหพันธรัฐได้รู้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ที่นั่นเป็นพื้นที่ต้องห้ามไม่ให้ใครเข้าไป”
ยูเรลได้ยอมรับถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และมองหน้าซอลจีฮูตรงๆ
“เพราะงั้นฉันถึงได้แนะนำให้นายกลับไปซะ”