บทที่ 213 – ความฝันในความฝัน (1)
ยูเรลได้พูดปิดท้ายด้วยการสั่งห้ามไม่ให้สมาชิกสหพันธรัฐเข้าไปในที่แห่งนั้นหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาได้ตัดสินใจว่าการไม่เสียงจะดีกว่า พวกเขาไม่อยากจะให้สิ่งที่หวาดกลัวเกิดขึ้นอีกแล้ว
“นี่คือทั้งหมดที่เราจะบอกนายเรื่องเจดีย์แห่งความฝันได้ ต่อให้ต้องการเขาก็ไม่อาจจะบอกอะไรนายมากกว่านี้ได้อีก”
เรื่องเล่าของเธอได้จบลงเท่านั้น ซอลจีฮูได้ถามออกมาอีกสองสามคำถามก่อนที่จะแสดงความขอบคุณ และลุกขึ้นยืน เขาได้กลับไปที่เต็นท์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวกับพรรคพวกของเขา เมื่อเขาได้เล่าทุกๆอย่างออกไปจนหมดแล้ว สีหน้าของทุกๆคนต่างก็กลายเป็นหม่นหมองขึ้นมา
“เฮ้… ปฏิบัติการแบบนี้นายคิดมันขึ้นมาได้ยังไงกัน?”
แม้กระทั่งโชฮงที่ไม่เคยหวาดกลัวอะไรก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่จะไปต่อ
“ฝันร้ายที่ติดต่อกัน… แถมยังเป็นฝันร้ายที่จะกลายมาเป็นจริง…”
คาซุกิได้ก้มหัวถอนหายใจออกมา และกอดอก
“เราขอให้แฟรี่ท้องฟ้าคุ้มกันเราเข้าไปข้างในได้ไหม? มันดูเหมือนว่าจะมีพลังต้านทานคำสาปอยุ่นี่”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
“ผมก็ได้ถามเรื่องนี้แล้ว แต่ว่ายูเรลบอกว่านี่เป็นแค่มาตราการชั่วคราวเท่านั้นเอง มันชัดเจนว่าเราป้องกันคำสาปที่รั่วไหลออกมาจากเจดีย์ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น”
“…อ่า เข้าใจแล้ว”
คาซุกิได้ยอมรับอย่างเศร้าๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา
“พวกเรามีทางเลือกที่จะกลับไปและกลับมาพร้อมกับนักบวชอินวิเดีย อีวาเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องนักบวช เพราะงั้นการจะหานักบวชที่เชี่ยวชาญในเรื่องคำสาปกับคาถาเวทย์ก็ไม่น่าจะยากอะไร”
“ผมก็ไม่รู้สิ แม้กระทั่งสหพันธรัฐยังยอมแพ้กับการชะล้างคำสาป ผมก็ไม่มั่นใจว่าต่อให้นักบวชแรงค์เกอร์ระดับพิเศษจะสามารถชะล้างมันได้…”
แม้ว่าคำพูดของซอลจีฮูอาจจะดูเหมือนมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่ว่าเขาก็มีเหตุผลอยู่เช่นกัน มันยากที่จะเชื่อว่ากลุ่มก้อนที่รวมกันจากห้าเผ่าพันธุ์จะไม่มีพลังที่เทียบได้กับแรงค์เกอร์ระดับสูง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสหพันธรัฐเคยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สุด
“ถ้าแบบนั้น… เราก็แค่ไม่นอนหลับในระหว่างปฏิบัติการล่ะ? มันอาจจะยาก แต่ว่าทุกๆคนก็ไม่น่าจะมีปัญหาที่จะตื่นตลอดวันสองวันนะ พวกเราสามารถทนกับความง่วงไปจนถึงขีดสุด จากนั้นก็ออกมา และค่อยหลับหลังจากที่ถูกกิ่งไม้สีดำแตะ”
ฮิวโก้ได้ค่อยๆแสดงความคิดเห็นออกมา แต่ว่าก็ไม่มีใครตอบสนองออกมาในแง่ดีเลย การอดหลับอดนอนระหว่างปฏิบัติการเป็นสิ่งที่อันตรายมากๆตั้งแต่แรกแล้ว นอกไปจากนี้วิธีแก้นี้มันดูจะเป็นคำตอบที่เรียบง่ายเกินไป
สหพันธรัฐก็ไม่ได้โง่ มันไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่เคยคิดวิธีนี้แน่นอน
ที่พวกเขายอมยกให้เจดีย์เป็นพื้นที่ต้องห้าม นั่นแสดงว่าพวกเขาหมดหนทางแล้วจริงๆ
และพูดตรงๆซอลจีฮูก็อดที่จะคิดเหมือนกับสหพันธรัฐไม่ได้
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าการคุยเรื่องนี้ต่อไม่ได้ทำให้ทางแก้ที่ดี ซอลจีฮูจึงตัดสินใจยุติการประชุมเอาไว้เท่านี้
“ตอนนี้เราจะเดินทางการต่อแล้วกัน ไว้ค่อยตัดสินใจกันอีกครั้งตอนที่เราไปถึงแล้ว”
ในตอนนี้มีแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาพึ่งได้ นพเนตร เขาได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่พึ่งมันอีกหลังจากสงคราม แต่ว่าสุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือก
หลังจากยุติการประชุม ภายในถุงนอนซอลจีฮูก็ยังคงนอนไม่หลับอยู่ดี
‘คงช่วยไม่ได้แหละนะ’
เขาได้นึกไปถึงคำพูดของซามูเอล
[นายรู้ไหมว่าไม่ใช่ว่าทุกๆปฏิบัติการจะสำเร็จ มีอยู่หลายครั้งที่เรากลับไปโดยไม่ได้อะไรเลยนอกจากประสบการณ์เฉียดตาย และฉันก็นับจำนวนครั้งที่ฉันต้องยอมแพ้ในตอนท้ายเพราะเราแกร่งไม่พอไม่ได้แล้วล่ะ]
เพราะว่าไม่มีโบราณสถานหลังจากที่พวกเขาไปถึง
เพราะว่าพวกเขาเตรียมตัวมาไม่พอ
เพราะความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าที่คาดไว้
เหตุการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทีมปฏิบัติการเจอบ่อยๆและต้องกลับไปมือเปล่า
[หากว่านายต้องการจะตั้งทีมของตัวเองขึ้นมา นายก็ควรจะจำเอาไว้นะ นายควรจะเดินหน้าต่อเฉพาะตอนที่หมดหนทางแล้วจริงๆเท่านั้น ปฏิบัติการมันไม่ใช่สิ่งที่นายควรจะเดิมพันทุกอย่างไปกับมัน]
นี่เป็นสิ่งที่ซามูเอลพูด มันเป็นเรื่องโง่เขลาที่เขาจะไปเสี่ยงกับอันตรายในเมื่อที่นี่ไม่ใช่ที่เดียวที่มีมรดกของตระกูลรอชเชอร์ถูกฝังเอาไว้
ซอลจีฮูเคยได้เห็นมาแล้วจากว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าถูกสมบัติตรงหน้าบังตา ตัวอย่างที่ดีคือทีมของซามูเอล เขาปฏิเสธที่จะเดินรอยตามพวกเขาไป
แบะเพราะงั้นเขาจึงได้เตรียมใจ หรือตั้งมาตราฐานกับตัวเอง
หากว่าเจดีย์มีสีส้ม แดงหรือดำ เขาก็จะถอย มีแค่สีเหลืองเท่านั้นที่ปฏิบัติการจะเดินหน้าต่อ นั่นมันเพราะว่า ‘ระวัง’ มันหมายถึงการมีทางออกอยู่
‘ความอันตรายของสีอื่น… มันมากเกินไป’
ในเมื่อกฎเหล็กของพาราไดซ์คือการรักษาชีวิตเป็นสิ่งแรก และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาจึงมั่นใจว่าสหายของเขาจะยอมรับในการตัดสินใจนี้
‘สีของเจดีย์แห่งความฝันจะออกมาเป็นอะไรกันนะ….’
จนกระทั่งเขาหลับไปโดยไม่รู้ตัว เขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดีว่าเขาอยากจะให้มันเป็นสีส้ม สีแดง สีดำ สีเหลือง หรือว่าเป็นสีของทิศเบื้องขวากันแน่
***
ซอลจีฮูได้ตื่นขึ้นมากลางดึก และต้องผงะไปอย่างแรง ในตอนนี้ยูเยลกำลังอยู่ตรงหน้าเขา และจ้องลงมาที่เขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าของเขาก็ยังซุกอยู่ที่หน้าอกของเธอ
“…”
เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเคยเกิดขึ้นกับเขา เพราะงั้นแล้วภายนอกเขาจึงยังรักษาท่าทางสงบนิ่งได้
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาขอโทษ
“ผมขอโทษ”
เขาได้ยินเสียงยูเรลหัวเราะออกมา
“ในตอนนายคลานเข้ามาในเต็นท์ของฉันกลางดึกนี่มันน่าตกใจมาก ตอนแรกฉันคิดกว่าเป็นกระต่ายป่าซะอีก”
“ขอ ขอโทษครับ… บางครั้งร่างกายผมก็ขยับไปเอง…”
“ตอนแรกที่นายมุดเข้ามาในถุงนอนของฉัน ฉันก็คิดว่านายจะกระโจนเข้าใส่ฉันซะอีก… แต่นายกลับแค่มานอนหลับเหมือนเด็กน้อย แถมด้วยใบหน้าพอใจมากๆอีกด้วยนะ”
ในตอนนี้เองเขาถึงได้รู้ตัวว่าเขาอยุ่ในเต็นท์ของแฟรี่ถ้ำ ไม่ใช่เต็นท์ของเขา
“เอาเถอะนะ ดูหน้านายมันก็น่าตลกดี เพราะงั้นฉันจะไม่ว่าอะไร นายนี่ก็ดื้อเหมือนกันนะ”
“…”
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไป เขาก็เห็นยูเรลกำลังค่อยๆใส่ชุดแจ็คเก็ต ในตอนนี้เมื่อเขามาดูดีๆแล้ว หน้าอกของเธอก็ใหญ่มากเหมือนกัน
เขากำลังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมหัวของเขาสบายจัง…
ซอลจีฮูรู้สึกได้ว่าแก้มของเขาร้อนขึ้นมา และพึมพำขึ้น
“ผมจะชดเชยกับ.. การกระทำนี่ได้ยังไงกัน…”
“หืมมม?”
ยูเรลที่กำลังมัดผมยาวของเธอให้เป็นหางม้า ได้เหลือบมามองซอลจีฮูก่อนจะยิ้มขึ้น
“อ๊าาา ช่างมันเถอะนะ ฉันก็ไม่ได้รู้สึกถึงการให้นมลูกมานานแล้ว มันก็ไม่ได้แย่หรอก”
‘ธะ เธอเท่จังเลย…’
ต่อให้เธอตบเขาเป็นสิบครั้ง เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดเลย แต่ว่าตัดสินจากท่าทีเมินเฉยของเธอแล้ว มันดูเหมือนกับว่าแฟรี่ถ้ำจะเปิดกว้างในเรื่องแบบนี้
คำว่าให้นมได้ทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังถูกความเมตตาของยูเรลทำให้ประทับใจ
“ยังไงก็ตาม แล้วนายตัดสินใจยังไงล่ะ? เมื่อคืนฉันเห็นพวกนายคุยกันจนดึกเลยนี่”
เมื่อยูเรลได้เอียงหัวสะบัดผมไปมา ซอลจีฮูก็ค่อยๆลุกจากที่นั่ง
“พวกเราจะตัดสินใจกันหลังจากไปถึงที่นั่น”
“หืม ถ้างั้นแสดงว่านายยังจะไปสินะ?”
น้ำเสียงเธอฟังดูเสียใจหน่อยๆ
“พรรคพวกของนายไพูดอะไรเลยหรอ?”
“พวกเขาบอกว่าไม่เป็นไรครับ”
ยูเรลได้ผงะไป
“โอ้? พวกเขาคงจะเชื่อในตัวนายมากเลยสินะ ก็สมกับความสำเร็จของนายนั่นแหละ…”
“จะเป็นอะไรไหมครับ?”
เขาไม่ได้ถามเรื่องอันตรายของเจดีย์แห่งความฝัน เขากำลังถามว่าสหพันธรัฐจะโอเคกับเรื่องนี้ใช่ไหม
ยังไงสุดท้ายแล้วหากว่าฝันร้ายกลายมาเป็นจริงมันก็มีโอกาสที่สหพันธรัฐจะเป็นคนโดนผลกระทบ
“ฉันก็ไม่มั่นใจ…”
ยูเรลได้เอียงหัวออกมาเล็กน้อย
“โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่อยากจะให้นายไป ฉันรู้สึกชอบในตัวนาย แต่ว่าหากนายอยากจะไป ฉันก็ไม่มีสิทธิ์จะห้ามนาย”
ยูเรลได้พูดออกมาตรงๆ จากนั้นก็หันไปที่เต็นท์ที่ทีมปฏิบัติการกำลังนอนอยู่
“จากมุมมองของสหพันธรัฐแล้ว ฉันไม่คิดว่ามันจะส่งผลอะไรมากหรอก ยังไงสุดท้ายนายก็เป็นมนุษย์”
ซอลจีฮูได้จ้องมองออกไปด้วยรอยยิ้มแห้งๆ เธอกำลังจะบอกว่ามนุษย์ไม่น่าจะส่งผลกระทบมาถึงสหพันธรัฐเพราะมนุษย์ที่เป็นห่วงเรื่องสหพันธรัฐมันหาได้ยากมากๆ
“เอาเถอะนะ เจ้าหญิงฮารามาร์คอาจจะต่างออกไป แต่ว่าฉันมั่นใจว่าเธอก็ห่วงเรื่องชะตาของอาณาจักรของเธอที่สุดอยู่แล้ว ฉันมั่นใจว่าสหพันธรัฐคงไม่ว่าอะไร”
“…จริงสินะ”
ซอลจีฮูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับเรื่องนี้อย่างขมขื่น
“ยังไงก็ตาม หากว่านายจะต้องไป ทำไม่ไม่รับความช่วยเหลือสักหน่อยล่ะ?”
“ว่ายังไงนะครับ”
เมื่อซอลจีฮูเงยหน้าขึ้นมา ยูเรลก็ยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน
“อย่าหวังมากนักล่ะ ก็อย่างที่ฉันบอกนายไปเมื่อวาน ฉันได้บอกทุกๆอย่างที่รู้ไปแล้ว ไม่มีใครที่รู้ว่าภายในเจดีย์มีอะไรหรือจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เข้าไป ยังไงสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครสักคนที่กลับออกมาได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่”
จากนั้นเธอก็ได้ชี้ไปที่เต็นท์ของทีมปฏิบัติการ
“แต่- สมมติว่านายอยากจะลองเข้าไป หากปล่อยนายไปเฉยๆมันก็คงจะเป็นการเสียบุคลากรซะเปล่าใช่ไหมล่ะ”
ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจว่ายูเรลกำลังสื่อถึงอะไร
“ก็ลองถามดูนะ โดยส่วนตัวแล้ว ฉันไม่คิดว่าเธอจะปฏิเสธหรอก นี่มันก็เป็นโอกาสดีในการตีสนิทกับแฟรี่ท้องฟ้าอีกด้วย”
“เมื่อวานคุณบอกว่าเราไม่ควรจะเอาตัวไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา เพราะว่าพวกเขาน่าเหนื่อยใจ…”
“แน่นอนสิว่าฉันแค่ล้อเล่น!”
ยูเรลหัวเราะคิกคักออกมาในขณะที่ตบบ่าซอลจีฮู
“พวกเราแฟรี่ถ้ำอาจจะไม่ค่อยถูกกับแฟรี่ท้องฟ้า แต่ก็อยากที่นายรู้ พวกเราไม่มีทางสู้กันแค่เพราะไม่ชอบหรอกนะ”
ใช่แล้ว เหมือนอย่างคำที่ว่า ‘ความลำบากจะทำให้เกิดสหาย’ ไม่ว่าใครจะเกลียดและไม่พอใจกันแค่ไหน แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูที่ทรงพลังพวกเขาก็จะต้องร่วมมือกัน
จู่ๆซอลจีฮูก็รู้สึกอิจฉาสหพันธรัฐขึ้นมา
“เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากแสดงความขอบคุณแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ออกมาจากเต็นท์ของยูเรล และไปหาแฟรี่ท้องฟ้า เธอกำลังนอนยื่นมือไปหานกอยู่บนต้นไม้ จากนั้นเธอก็ลดแขนลงหันหน้ามามองเมื่อสัมผัสได้มาว่าซอลจีฮูเข้ามาหา
“เอ่อ…”
ซอลจีฮูได้หยุดอยู่ห่างประมาณหนึ่ง และอธิบายสถานการณ์ออกมา นั่นก็คือทีมของเขาอาจจะเข้าไปในเจดีย์แห่งความฝัน และเธอพอจะช่วยรอเขาอยู่ใกล้ๆพร้อมกิ่งไม้ชำระล้างได้ไหม
แฟรี่ท้องฟ้าได้ฟังอยู่เงียบๆก่อนจะพูดขึ้นเสียงใส
“เข้าใจแล้ว ได้เลย”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ยอมรับอย่างง่ายดายเหมือนที่ยูเรลพูดไว้
“กิ่งของต้นไม้โลกเป็นสมบบัติของแฟรี่ท้องฟ้า แต่ว่าฉันก็ได้รับสิทธิ์ในการใช้มัน”
‘กิ่งของต้นไม้โลก?’
“นอกไปจากนี้ ต่อให้โอกาสสำเร็จจะมีแค่หนึ่งในพัน แต่ว่ามันจะช่วยสหพันธรัฐได้มาก”
“เพราะเจดีย์แห่งความฝันทำให้สหพันธรัฐต้องลำบากหรอกครับ?”
“ก็ไม่มีใครชอบให้มีพื้นที่อันตรายอยู่หน้าบ้านหรอกนะ”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ตอบกลับมานิ่งๆ
“ปัญหาอีกอย่างคือในตอนเราจะไปป้อมปราการไทกอลก็ยังต้องอ้อมอีก ยังไงก็ตาม รอสักวันสองวันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะงั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธเลย”
แฟรี่ท้องฟ้าได้กระโดดลงมาจากต้นไม้เบาๆ
“แล้วก็นะ- ฉันจะให้เสื้อคลุมดอกไม้กับยากระตุ้นกับนายด้วย”
“เสื้อคลุมดอกไม้?”
“ก็เสื้อคลุมที่ฉันกำลังใส่อยู่นี่ไง”
แฟรี่ท้องฟ้าได้แตะที่ชุดคลุมสีขาวที่มีรอยไหม้อยู่เล็กน้อย ดวงตาซอลจีฮูได้เบิกกว้างขึ้น
“นายไม่ต้องมาขอบคุณฉันหรอก ทีมปฏิบัติการก่อนหน้านี้ของเราเตรียมการยิ่งกว่านี้เยอะ”
แต่ว่าก็ไม่มีใครได้กลับมา… หรือก็คือเสื้อคลุมหรืออะไรก็ตามที่พวกเขาได้เตรียมเอาไว้ต่างก็ใช้ไม่ได้ผล แต่ว่าการมีเอาไว้ก็ไม่ได้เสียหาย
“ขอบคุณครับ!”
“ไม่มีปัญหา นาย…”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ชะงักไป จากนั้นเธอก็เหลือบมองมาที่ซอลจีฮู
มีบางอย่างที่ซอลจีฮูยังไม่เข้าใจ และนั่นก็คือความน่าทึ่งและน่าเหลือเชื่อของเขาในการสังหารความหมั่นเพียรอันนิรันดร์
มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อนนับตั้งแต่ที่มีกองทัพทั้งเจ็ดมา แม้กระทั่งจางมัลดงที่เคยประสบกับความยากลำบากทุกประเภทก็ยังเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ความสำเร็จในตำนาน’
ส่วนซอลจีฮูที่เป็นคนทำความสำเร็จหน้าเหลือเชื่อขึ้นมากลับหยุดคิดเรื่องนี้ไปนานแล้วนับตั้งแต่สงครามจบลง บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของซอลจีฮู
เพราะแบบนี้หมายความว่าเขาเพียงแค่มองกองทัพทั้งเจ็ดที่ราชินีปรสิตได้ทุ่มเทกายใจสร้างขึ้นมา เป็นเพียงแค่อุปสรรคให้เขาข้ามผ่านไปเท่านั้นเอง
ไม่แปลกเลยว่าทำไมแฟรี่ท้องฟ้าถึงได้สนใจเขาถึงขนาดนั้น จริงๆแล้วคงหาคนในสหพันธรัฐที่ไม่สนใจเขาได้ยาก เว้นก็แต่บางทีอาจจะเป็นมนุษย์สัตว์ที่ไม่ถูกกับมนุษย์ก็ได้
“ก็อย่างที่นายรู้ การร่วมมือนี้มันไม่ได้อยู่ในเป้าหมายเดิมของฉัน”
“ครับ”
“ฉันเอาอาหารมาแค่พอกินถึงตอนกลับไปเท่านั้น เพราะงั้นในตอนนี้ฉันก็เลยอาหารหมดแล้ว”
“?”
ซอลจีฮูอย่างจะถามกลับไปว่า ‘ไม่ใช่ว่าเมื่อวานผมทำอาหารเลี้ยงหรอ? ถ้างั้นคุณก็น่าจะเหลืออาหารอยู่สิ?’ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจที่ฟังไปก่อน
“เพราะงั้นเมื่อไหร่ที่นายรอดกลับมาได้ ฉันก็อยากที่จะได้รับอาหารของนายสักส่วนหนึ่ง”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าในทันที
“นั่นง่ายมากครับ เราได้เอาเนื้อตากแห้งกับขนมปังมาเยอะมาเลย เพราะงั้นถ้าคุณต้องการก็เอาตอนนี้ได้เลย”
“มะ ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น”
แฟรี่ท้องฟ้าได้รีบโบกมือออกมา เธอดูเหมือนจะกังวลอะไรสักอย่าง หลังจากอึกอักอยู่นาน เธอก็ก้มหัวลงและพึมพำเบาๆ
“เอ่อ… ก๋วยเตี๋ยวเมื่อวาน…”
“…ครับ”
“ของฉันมันถูกขโมยไปก่อนจะกินหมด… แล้วมันก็กำลังกวนใจฉันอยู่…”
เธอได้จิ้มนิ้วเข้าด้วยกันก่อนที่จะเงยหน้ากระแอ่มออกมา จากนั้นก็ตะโกนขึ้น
“ฉันคิดว่าฉันก็มีสิทธิ์ที่จะขอมันนะ!”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาอย่างตกตะลึง
“ได้ครับ… คือ… ถ้ามันเป็นแค่ก๋วยเตี๋ยว ผมทำให้คุณได้เท่าที่คุณต้องการเลย”
“จริงๆหรอ?”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ยินดีขึ้นมา
“ถ้างั้นฉันขอสอง ไม่สิ สามชาม? หรือสี่ดีล่ะ?”
เธอได้ปรบมือและกระโดดโลดเต้นอย่างยินดี เมื่อเห็นหูแหลมของแฟรี่ท้องฟ้าส่ายไปมาแล้ว ซอลจีฮูก็ได้แต่เกาหัวอย่างสับสน
นี่มันดีหรือเปล่านะ…?
อาหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไงกันนะ
‘หรือว่าเป็นอิทธิพลจากความตะกละ (กู่ลา)?’
ความคิดนี้ได้ผ่านเข้ามาในหัวของเขา แต่ว่าต่อมาเขาก็หัวเราะขึ้นด้วยความคิดว่ามันไร้สาระ
***
อาหารเช้าได้เริ่มต้นด้วยความเงียบเนื่องจากว่าแต่ล่ะคนต่างก็มีเรื่องให้คิดมากมาย ซอลจีฮูได้สังเกตเห็นว่ามีหลายสายตามองมาที่เขา โดยเพาะอย่างยิ่งฟีโซราที่กำลังก้มหน้าแทะช้อนอยู่
เธอคงจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์จักรพรรดิโบราณ
ซอลจีฮูก็ยังไม่ได้ลืมเรื่องที่นั่นเช่นกัน นั่นคือตัวอย่างดีที่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวไม่เพียงแต่จะฆ่าทุกๆคนเท่านั้น แต่ก็ยังส่งผลกระทบแง่ลบกับพาราไดซ์ด้วยเช่นกัน
ซอลจีฮูที่รู้สึกกดดันจากความคิดที่ว่ามันอาจจะเกิดแบบเดียวกันขึ้นอีกก็ได้สาบานกับตัวเองว่าจะทำตามการตัดสินใจที่เขาตั้งเอาไว้เมื่อคืน
หลังจากอาหารเช้า-
ได้มีแขกคนหนึ่งเข้ามาหาพวกเขาในระหว่างที่พวกเขากำลังเก็บแคมป์ นั่นก็คือแม่ของเฮเรียวกับเฮย่า
“เฮเรียว! เฮย่า!”
“แม่!”
เมื่อเด็กสองพี่น้องเข้าสู่อ้อมกอดของแม่แล้ว รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซอลจีฮู
“ขอบคุรมากค่ะ… ขอบคุณมากจริงๆ…”
แม่ของสองพี่น้องมนุษย์จิ้งจอกได้ร้องไห้ออกมา และโค้งคำนับ
แต่ก็เท่านั้น เธอได้หันหลังกลับไปในทันทีที่ได้เด็กๆกลับมาแล้ว แม้กระทั่งเฮเรียวกับเฮย่าก็ยังตกใจว่าทำไมถึงรีบกลับกันนัก
“กลับกันเถอะ เร็วเข้า!”
“หืม? ตอนนี้เลยหรอคะ?”
“แน่นอนสิ ลูกยังจะทำให้คนอื่นเป็นห่วงอีกหรอ? กลับไปถึงแล้วก็เตรียมตัวโดนดุได้เลยนะ”
“มะ แม่…”
สองพี่น้องได้มองย้อนกลับมาข้างหลังตลอดเวลาที่ถูกลากไป แม้ว่าแม่ของพวกเธอจะแสดงความซาบซึ้งออกมา แต่ว่ามันก็เหมือนกับเป็นการแสดงออกตามมารยาทเท่านั้น และเธอก็ดูเหมือนจะอยากออกห่างจากที่นี่
“บางเผ่าพันธุ์ในสหพันธรัฐก็ไม่ได้ชอบมนุษย์ มนุษย์สัตว์เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้”
ยูเรลได้อธิบายออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ซอลจีฮูได้พยักหน้ารับโดยไม่พูดใดๆ เขารู้ว่าเขาโชคดีมากที่ได้มาเจอเข้ากับแฟรี่ถ้ำ เขาไม่คิดอยู่แล้วว่าเขาจะถูกทุกๆคนต้อนรับ
“ถ้างั้นตอนนี้ เราเดินทางกันเลยไหม?”
ยูเรลได้พยักหน้าออกมา
“พวกเราจะนำทางพวกนายไปจนกว่าจะถึงที่นั่นให้แล้วกัน”
“ขอบคุณครับ”
ซอลจีฮูได้ตอบรับอย่างยินดี
***
“นี่แหละ”
หลังจากเดินทางมาตลอดช่่วงเช้าแล้ว ในตอนนี้ดวงอาทิตย์ก็ได้ขึ้นสู่กึ่งกลางท้องฟ้า ยูเรลที่กำลังนำทางอยู่ได้เหยียบย่ำลงไปบนพื้นหญ้า
“นี่คือพื้นที่ปลอดภัย เลยตรงนี้ไปอีกหน่อย นายก็จะเจอกับที่ที่แฟรี่ท้องฟ้าทำพิธีกรรมแล้ว”
หรือก็คือเกินจุดนี้ไปก็คือที่ที่อิทธิพลของเจดีย์แห่งความฝันส่งมาถึง
“เป็นยังไงล่ะ? มันดูไม่ได้ต่างกันเลยใช่ไหม?”
มันไม่มีจุดสังเกตอะไรให้เห็นอย่างที่ยูเรลพูดเลย ที่นี่มีเพียงแต่ต้นไม้และพุ่มไม้เต็มไปหมดเหมือนอย่างพื้นที่ที่พวกเขาเพิ่งจะผ่านมา
หากว่าจะมีอะไรที่ต่างก็คงจะเป็นอากาศ อากาศที่นี่ไม่ได้เย็นสดชื่นแล้ว แต่ว่ามันชื้นและน่าอึดอัด แน่นอนว่าเขาอาจจะคิดไปเองก็ได้
‘หากว่าเป็นสีเหลืองหรือทิศเบื้องขสาก็ไปต่อ แต่หากไม่ใช่ก็กลับทันที’
ซอลจีฮูได้สาบานกับตัวเอง และเดินสูดหายใจลึกไปข้างหน้า จากนั้นเขาก็ดึงพลังมานาและเปิดใช้งาน ‘นพเนตรแห่งการทำนาย’
ไม่นานนัก…
“!”
ซอลจีฮูที่กำลังมองตรงไปข้างหน้าได้เบิกตากว้างขึ้นทันที