บทที่ 214 – ความฝันในความฝัน (2)
ซอลจีฮูได้ตัวแข็งทื่อไปกับที่ เขาได้มองไปรอบๆด้วยสีหน้าสับสนและตื่นตะลึง
‘มี… สองสี?’
ใช่แล้ว สิ่งที่ซอลจีฮูกำลังเห็นอยู่มีสองสี สีเหลืองกับสีน้ำเงิน สีทั้งสองนี้ได้ผสมเข้าด้วยกันเหมือนกับสีที่ละลายอยู่ในน้ำและลอยอยู่ตรงหน้าเขา
นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นสีของทิศเบื้องขวา เขาเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสีเบื้องขวามาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกที่ป้อมปราการหุบเขา และอีกครั้งที่คฤหาสน์จักรพรรดิโบราณ
ปัญหาก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสองสีแสดงออกมาพร้อมๆกัน เขาควรจะตีความ ‘ระวัง!’ กับ ‘ทางเลือกแห่งโชคชะตา’ ยังไงกันล่ะ?
ขณะที่จิตใจของซอลจีฮูกำลังสับสน เขาก็ได้ยินเสียงคนเรียกเขา
“แล้วนายอยากจะเอายังไงต่อล่ะ?”
เป็นเสียงของโชฮง ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา และจับจี้ของเขา
‘บางทีอาจจะมีกลไกเอาไว้ช่วยคนที่มาหามรดกก็ได้นะ’
ยกตัวอย่างเช่นมาตราการรักษาความปลอดภัยบางอย่าง
‘นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่มันกำลังเรืองแสงสีน้ำเงิน’
จะว่าที่เขาคิดแบบนี้ก็ไม่ได้ เพราะว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่เขารู้ แต่ไม่นานนักเขาก็ส่ายหัวออกมา
การมองโลกในแง่ดีเกินไปคือเรื่องอันตราย ความไม่แน่นอนไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย โฟลนบอกไว้เพียงแค่ว่าจี้ได้เก็บเอาตำแหน่งที่ซ่อนมรดกไว้เท่านั้น
ในท้ายที่สุดแล้วก็เหลือเพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น
หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็ได้ตัดสินใจที่จะทำตามการตัดสินใจเมื่อคืน
“เราจะไปต่อ”
ความไม่สบายใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกๆคน ฟีโซราเป็นคนที่ดูตึงเครียดเป็นพิเศษ ซอลจีฮูได้มองดูพรรคพวกของเขาที่กำลังเตรียมตัวเข้าไปเงียบๆ ก่อนที่จะพูดออกมา
“ฉันจะขอเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อนะ หากว่าใครรู้สึกไม่สบายใจ จะรออยู่ข้างนอกก็ได้นะ ฉันจะไม่ว่าใครหากมีคนต้องการจะรออยู่ที่นี่ ฉันสัญญา”
สมาชิกปฏิบัติการทั้งเจ็ดคนยกเว้นซอลจีฮูได้มองหน้ากันเอง จากนั้นโชฮงก็เป็นคนแค่นเสียงออกมา
“บ้าอะไรเนี้ย? ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติการนะ พวกเราต้องร่วมมือกัน มันต้องเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ? สมาชิกปฏิบัติการจะต้องร่วมชะตาเดียวกัน!”
คาซุกิก็ได้แย้ง
“เธอก็พูดถูกนะ แต่ว่าเธอก็ต้องเข้าใจถึงความพิเศษของโบราณสถานด้วย”
“แต่ว่า-“
“ฉันจะไม่เถียงในเมื่อหัวหน้าเป็นคนอนุมัติเอง หากใครจะรออยู่ข้างนอกก็ตามใจ แต่ว่าอย่าได้ลืมว่าคนๆนั้นจะไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆทั้งสิ้น”
คาซุกิได้ตอกตะปูปิดฝาโลงทันที จากนั้นเศษเสี้ยวความลังเลของแต่ล่ะคนก็ได้หายไป ทุกๆคนที่ถูกกระตุ้นได้ใส่ชุดคลุมดอกไม้ลงไป และเดินหน้าต่ออย่างกระตือรือร้น
มันง่ายมากที่จะเห็นว่าทุกๆคนกังวล แต่ว่าพวกเขาก็ได้สลัดความกลัวทิ้งไปแล้วเพราะซอลจีฮูได้ประกาศจะไปต่อ ยังไงซอลจีฮูก็คือคนที่ทำให้ภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำเร็จขึ้นมาอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ภายนอกซอลจีฮูไม่ได้เผยอะไรออกมา แต่ว่าความคาดหวังของพรรคพวกของเขาได้ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่หนักหน่วงยิ่งกว่าปกติ สุดท้ายแล้วเมื่ออเขาได้เห็นฟีโซราเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว ซอลจีฮูก็ได้หันกลับไปมองด้านหน้า
‘ฉันควรจะขอบคุณดาวนำโชคสินะที่มันไม่ได้เป็นสีส้มหรือแย่ไปกว่านั้น’
ไม่ว่าเขาจะพยายามตั้งสมาธิมากแค่ไหน เขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าเขากำลังรู้สึกกังวล นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขากำลังดำเนินปฏิบัติการโดยไร้ซึ่งเบาะแสใดๆ
คาซุกิได้เดินออกมาข้างหน้า
“ไปเลยไหม?”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา
“ฉันหวังว่านายจะโชคดีนะ”
หลังจากกล่างลากับยูเรลแล้ว ทีมปฏิบัติการก็ได้เริ่มเดินหน้า
***
การพิชิตเจดีย์แห่งความฝันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ทีมปฏิบัติการได้พบถึงร่องรอยของความพยายามในการสื่อสารของแฟรี่ท้องฟ้าหลังจากที่เข้ามาได้ไม่นานตามที่ยูเรลได้บอกเอาไว้ เนื่องจากว่าเพราะว่าไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติเลย ทั้งทีมจึงเดินต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งป่าเงียบสนิท และทีมปฏิบัติการก็ยิ่งเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ มาเรียที่กำลังมองไปที่พื้นที่สีเขียวรอบๆได้ลูบแขน และยักไหล่ออกมา
“เป็นที่ที่น่าขนลุกจริงเลยๆ…”
โชฮงได้พูดขึ้นโดยที่เลียริมฝีปากอย่างต่อเนื่อง
“บ้าเอ้ย ฉันยอมเสี่ยงชีวิตสู้กับปรสิตดีกว่ามาที่นี่ซะอีก”
ทั้งสองอย่างนั้นมีความต่างกันอย่างสุดขั้ว หนึ่งคือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์สุดเลวร้าย และอีกหนึ่งคือพื้นที่ที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวจนมากเกินไป
จากบรรยากาศของป่าในปัจจุบันหากมีตัวอะไรจู่ๆโผล่ออกมาจากต้นไม้ก็คงจะไม่มีใครแปลกใจเลยสักนิด ยิ่งทีมปฏิบัติการเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ความกังวลที่ไม่อาจจะอธิบายก็ยิ่งทำให้จิตใจพวกเขาเหนื่อยล้าจากความตึงเครียดก็ยิ่งมากขึ้น
ความหนักหน่วงของบรรยากาศมันทำให้ดูเหมือนกับว่าคนที่สร้างที่น่ขึ้นมาได้เล็งเรื่องนี้เอาไว้ โชฮงได้ส่งเสียงขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่ากดดันนี้ทันที
“คาซุกิ! นายรู้สึกถึงอะไรได้ไหม?”
“ไม่เลย”
คาซุกิได้ตอบกลับมาสั้นๆ
“หากว่าเรื่องที่สหพันธรัฐพูดคือความจริง มันก็ไม่น่าจะมีอะไรอยู่ที่นี่”
“ไม่มีแม้แต่อันเดดเลยหรอ?”
“ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงน่าจะกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ เพราะงั้นมันไม่น่าจะมีกองทัพอันเดดที่นี่ นอกจากนี้เรายังไม่อาจจะตัดความเป็นไปได้ว่าอันเดดฝันได้ไป ยังไงแล้วอันเดดก็มีเจตจำนงของตัวพวกมันเองเหมือนกันนะ”
“อะไรกัน? แต่อันเดดมันไม่ได้หลับนะ!”
“ถ้างั้นหากเป็นการบังคับให้ฝันล่ะ”
คาซุกิได้พูดขึ้นอย่างหนักแน่น
เขาพูดได้ถูกจุด ในเมื่อสัตว์อื่นนอกจากมนุษย์ก็ยังสามารถจะฝันได้ เพราะงั้นหากอันเดดฝันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทีมปฏิบัติการควรจะยินดีเลย คำสาปของเจดีย์ได้มาถึงตัวพวกเขาและกำลังห่อหุ้มร่างพวกเขาแล้วด้วย เสื้อคลุมดอกไม้ที่ถูกเผาไปกว่าครึ่งเป็นตัวบงชี้ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ซอลจีฮูได้เปิดใช้งานการอวยพรแห่งเซอร์คั่มเผื่อเอาไว้ และต้องขมวดคิ้วขึ้นทันที โล่วงกลมสามวงได้กระจายออกไปในเวลาแค่สี่วินาทีหลังจากถูกสร้างขึ้นมา มันชัดเจนว่ายิ่งพวกเขาเข้าใกล้ต้นตอของคำสาปเท่าไหร่คำสาปก็ยิ่งแกร่งขึ้น
พวกเขาได้เดินเท้าเข้าไปในป่าลึกอันมืดมิดเรื่อยๆ ต้นไม้ใหญ่ได้บดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาจนทำให้ลำต้นและใบไม้ดูมืดมน
ยังไงก็ตามปัญหาใหญ่ที่สุดเลยก็คือหมอกควันมืดสลัวที่บดบังวิสัยทัศน์ของพวกเขา จะเรียกว่าพวกเขากำลังเดินอยู่ระหว่างหมอกเมฆได้หรือเปล่านะ? บางทีซอลจีฮูอาจจะเข้าใจผิดไป แต่ว่าเขารู้สึกว่าจิตใจของเขากำลังเฉยชาขึ้น และเขาได้พยายามดิ้นรนรักษาความสติให้เฉียบคมเอาไว้เสมอ
ยากระตุ้นคงจะทำหน้าได้ที่เป็นอย่างดีเพราะเขาสามารถจะทำให้จิตใจที่ขุ่นมัวกระจ่างขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ซอลจีฮูได้ตะโกนภายในใจของเขาโดยที่พยายามไม่ลดการระวังตัวลงไป
‘ได้โปรดปล่อยให้เราออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย…!’
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?
ทันใดนั้นเองคาซุกิก็ส่งสัญญาณให้หยุดลงหลังจากที่เดินเท้ากันมาเป็นเวลานาน
“…ซอล”
ซอลจีฮูได้เดินมาข้างหน้าโดยที่พยายามสงบใจที่เต้นแรงลง
“มีอะไรครับ?”
คาซุกิไม่ได้พูดอะไไรออกมาสักพักแม้ว่าเขาจะเป็นคนเรียกซอลจีฮู เขาได้หรี่ตาลงจากนั้นก็พึมพำเบาๆ
“…มีบางอย่างแปลกๆ ตัวตน… ไม่สิ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ฉันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจำนวนมากกำลังล้อมเราอยู่”
หากได้ยินเพียงสั้นๆ สิ่งที่เขาพูดมันฟังดูแปลกๆ เขาบอกว่าพวกเขากำลังถูกบางอย่างที่ไม่เคลื่อนไหวล้อมอยู่ แต่ว่าเมื่อซอลจีฮูมองไปรอบๆ เขาก็ไม่เห็นอะไรเลย
“แทบจะเหมือนกับรูปปั้น….”
คาซุกิได้พึมพำกับตัวเองก่อนที่จะกัดริมฝีปากของเขาเอง สีหน้าของเขาที่บิดเบี้ยวไปเล็กน้อยได้แสดงให้เห็นถึงความกังวลของเขาอย่างชัดเจน
การบอกทุกๆคนให้ชัดเจนกว่านี้มันจะดีกว่า สำหรับเขาที่เป็นคนนำทางของทีมแล้ว การที่ไม่อาจจะให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับทีมได้สมกับฐานะของตัวเองมันได้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
หากพูดตรงๆคือเขายังมีความสามารถไม่พอ แต่ว่าก็ไม่ได้มีใครว่าอะไรคาซุกิในเรื่องนี้
คาซุกิคือหนึ่งนักบุกเบิกที่ยอดเยี่ยมในฮารามาร์ค หากว่าแม้แต่คาซุกิก็ยังสับสน คนอื่นๆก็น่าจะได้ผลลัพธ์ที่คล้ายๆกัน
คาซุกิได้กัดฟันแน่นและพูดต่อ
“ยังไม่หมดนะ ฉันรู้สึกได้ถึงออร่าทรงพลังอยู่ด้านหน้า”
นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่ซอลจีฮูก็ยังสัมผัสได้ พูดให้ชัดคือเขารู้สึกถึงมันได้ตั้งแต่ที่คาซุกิเริ่มพูดแล้ว
“…เดี๋ยวก่อนทุกคน รออยู่นี่”
“นายจะทำอะไร?”
“ฉันขอเดินไปข้างหน้าสักหน่อยนะ”
ซอลจีฮูได้เริ่มเดินไปข้างหน้า หากว่าขาดข้อมูลในหลายๆด้านมันจะอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ว่าเขาก็มีบางอย่างที่อยากจะลองดู
ก่อนที่จะมีใครสังเกต หมอกได้หนาขึ้นหลายเท่าจนทำให้การมองเห็นของทุกๆคนแย่ลงเป็นอย่างมาก ซอลจีฮูมองอะไรไม่เห็นอีกแล้ว แต่ว่าเขาได้แตะลงไปบนจี้ ควันดำได้ลอยออกมาราวกับกำลังรอเวลานี้อยู่
[อิ้อ!]
ซอลจีฮูได้ถามออกมาเบาๆ
“โฟลนรู้สึกอะไรได้ไหม?”
หลังจากนั้นส่วนบนของควันก็ส่ายออกมา เธอเหมือนกับจะกำลังพูดว่า ‘ไม่’ ซอลจีฮูได้ถามขึ้นอีกครั้ง
“ถ้างั้น… เธอพอจะบินไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นด้านหน้าได้ไหม? แค่นิดเดียวก็ได้”
ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดที่ขอคำขอแบบนี้ออกไป ในด้านหนึ่งเขาได้ใช้เรื่องที่ว่าโฟลนเป็นวิญญาณเพื่อมอบหมายงานที่อันตรายให้กับเธอ
[ง่ายมากเลยล่ะ]
โฟลนคนจะได้ยินถึงคำอธิบายของคาซุกิแล้วทำให้เธอได้ตอบรับโดยไม่ถามคำถามใดๆเลย
“ขอโทษนะ! แค่แอบมองดูก็พอแล้ว อย่ากดดันตัวเองล่ะ”
[โอเคๆ ไม่ต้องห่วง]
ควันดำได้ลอยไปข้างหน้าเหมือนกับสายน้ำและหายไป เขาได้ยินเสียงคนเรียกเขาจากด้านหลัง แต่ว่าเขาได้ยกมือออกมาเพื่อบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร และรอโฟลนกลับมา
‘ทำไมเธอถึงใช้เวลานานแบบนี้ล่ะ?’
ด้วยความเร็วของโฟลนกับระยะทาง เธอก็น่าจะกลับมาได้แล้ว
นอกจากนี้เรายังไม่อาจจะตัดความเป็นไปได้ว่าอันเดดฝันได้ไป ยังไงแล้วอันเดดก็มีเจตจำนงของตัวพวกมันเองเหมือนกันนะ
ยิ่งเขานึกถึงคำพูดของคาซุกิก็ยิ่งทำให้เขากังวล จากนั้นเองควันดำก็พุ่งตัดหมอกกลับมา
ซอลจีฮูแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้ตะโกนออกมาไม่ไหว
“โฟลนไม่เป็นไรนะ?”
[อื้อ ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ]
โฟลนได้กระซิบออกมาด้วยท่าทางเหมือนกับผู้หญิง
[ฉันไม่ได้เห็นอะไรพิเศษเลย… อืม นอกไปจากกองหินที่เรืองแสงสีฟ้า]
“กองหิน?”
[ใช่แล้ว แบบนี้อะ]
ควันดำได้ลอยลงมา และวาดภาพลงไปบนพื้นดิน มีป้ายหินตั้งในแนวตั้งอยู่สองอัน และมีแผ่นหินขนาดใหญ่วางในแนวนอนระหว่างป้ายหินทั้งสองอัน โครงสร้างมันดูคล้ายกันกับดอลเมน (ดอลเมนคือที่เก็บศพของสมัยก่อนประวัติศาสตร์ครับ)
[มันดูแปลกๆ… ฉันก็เลยบินเข้าไปสะกิดดู แต่ว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น]
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา เขาบอกแค่ให้เธอไปดู แต่ดูเหมือนว่าความอยากรู้อยากเห็นของเธอจะมีมากกว่าที่เขาคิด
[ฉันควรทำลายมันดีไหม?]
“ไม่ ไม่ต้องหรอก”
ซอลจีฮูได้หยุดโฟลนเอาไว้ ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่ากองหินนั่นคืออะไร การทำลายกองหินจะดีมากหากว่ามันส่งผลให้หมอกหรือคำสาปหายไป แต่ว่ามันก็อาจจะให้ผลเหมือนกับการแหย่รังผึ้งได้เหมือนกัน เนื่องจากว่าไม่มีใครรู้ว่ามันจะส่งผลอะไรกลับมา เพราะงั้นการไม่ไปแตะต้องอะไรมั่วๆจะเป็นการดีที่สุด
ซอลจีฮูได้เดินกลับไปหาทีมของเขา
“ดอลเมนที่ส่องแสงสีน้ำเงิน?”
เมื่อเขาได้อธิบายถึงสิ่งที่โฟลนบอกกับเขาไป คาซุกิก็ได้มองมาที่เขาแปลกๆ
“นายเห็นมันได้ยังไงกัน? ตาฉันยังมองไม่เห็นอะไรเลย”
“โอ้ เอ่อ…”
“นายไม่ได้เดินเข้าไปลึกขนาดนั้น”
ซอลจีฮูได้บอกพวกเขาถึงเรื่องดอลเมนเพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลามาซ่อนข้อมูลอะไรแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังลังเลที่จะเปิดเผยถึงตัวตนโฟลนออกไป
ทันใดนั้นเองโชฮงก็พูดขึ้น
“โอ้จริงสิ เรื่องนั้นก็ด้วย?”
“?”
“ก็ในระหว่างสงครามไง! นายบินได้! นายบอกว่าจะบอกเราหลังจากสงคราม อ๊าา ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย”
[ชิ ถูกจับได้ซะแล้ว!]
‘ถูกจับได้?’
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา พรรคพวกของเขายังไม่ได้รู้เรื่องของโฟลน สาเหตุส่วนหนึ่งคือเขาอยากจะเก็บโฟลนไว้เป็นความลับ แต่สาเหตุหลักคือเธอเกลียดการแสดงตัว แม้กระทั่งในตอนกลางคืนตอนที่ทั้งทีมกำลังกินก๋วยเตี๋ยวกัน โฟลนก็ยังแอบแยกออกไปกินคนเดียวลับๆ
ซอลจีฮูได้แนะนำให้โฟลนแนะนำตัวกับทีมของเขาหลายครั้งแล้ว แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาพูดเรื่องนี้ออกมา เธอก็จะบินหนีไป
เหตุผลนั้นก็ค่อนข้างจะงี่เง่าอีกด้วย
เธอบอกว่าเธออาย
‘เธอจะซ่อนตัวไปตลอดไม่ได้นะ’
มันดูเหมือนกับว่าโฟลนแค่อายจริงๆ เพราะงั้นซอลจีฮูจึงตัดสินใจไว้ว่าจะแนะนำตัวเธอสักครั้งหลังจากปฏิบัติการ
แต่ว่าในเมื่อตอนนี้พวกเขายังอยู่ระหว่างปฏิบัติการ เขาจึงเผยข้อมูลที่จำเป็นไปแค่ส่วนหนึ่ง เมื่อเขาได้อธิบายว่าโฟลนได้มากับเขาได้ยังไง ทุกๆคนต่างก็แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา
และเมื่อเขาได้บอกว่าเธอคือวิญญาณร้ายจากสุสานในป่าแห่งการปฏิเสธ โชฮงกับฮิวโก้ก็ตะโกนดังลั่นออกมา
“อะ อะ อะไรนะ? ผะ ผีที่ฆ่าทีมซามูเอล?”
“หยุด”
คาซุกิได้ขัดโชฮงขึ้นมา
“ไว้ค่อยฟังเรื่องราวทั้งหมดที่หลังแล้วกัน ในตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติการ”
จากนั้นเขาก็ได้หันหน้าไปหาซอลจีฮู
“ฉันรู้ว่านายมีความคิดของนายเองในฐานะหัวหน้านะ ฉันพยายามที่จะไม่ไปก้าวก่ายอำนาจของนาย แต่ว่าฉันคิดว่าหากนายบอกเรื่องเธอกับเราเร็วกว่านี้มันคงจะดีกว่า”
“…”
“หากเป็นแบบนั้น เราจะได้ตรวจสอบกันได้ว่าคำสาปส่งผลกับวิญญาณด้วยไหมในตอนที่แฟรี่ที่ถอนคำสาปให้เรา และเธอก็ยังสามารถสอดแนมให้เราได้อีกด้วย”
ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมากับคำแย้งที่มีเหตุผลของคาซุกิ เขาไม่เคยคิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลย
“ขอโทษครับ เธอไม่ชอบแสดงตัวต่อหน้าคนอื่น…”
“อืมม… ถ้างั้นก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
คาซุกิได้ค่อยๆหลับตาลง เขาดูเหมือนจะกำลังจัดระเบียบความคิดอยู่ หลังจากเงียบอยู่สักพัก คาซุกิก็ลืมตาขึ้นและถามออกมา
“ถ้างั้นสรุปแล้วก็คือ นายได้ขอให้วิญญาณตนนี้ไปสำรวจข้างหน้า?”
“ครับ”
“ซึ่งก็คือวิญญาณ ไม่ใช่มนุษย์”
คาซุกิดูจะสนใจถึงเรื่องที่ว่าโฟลนเป็นวิญญาณมากกว่าการที่เธอค้นพบดอลเมน ซอลจีฮูก็คิดคล้ายๆกัน
“ใช่ครับ แต่ว่าอัตตาและจิตสำนึกของเธอนั่นกระช่างชัด เธอไม่ได้ต่างไปจากมนุษย์ เธอกระทั่งนอนหลับเป็นระยะอีกด้วย”
“…เป็นวิญญาณที่น่าสนใจ”
[อะไรเนี้ย? นายกำลังแนะนำอะไรอยู่? มีกฎไหนกันที่บอกว่าวิญญาณไม่ควรจะนอนหลับ? นายเคยตายไปแล้วงั้นหรอ!?]
โฟลนได้บ่นออกมาจากภายในจี้ แน่นอนว่ามีแต่ซอลจีฮูที่ได้ยินเสียงเธอ และคาซุกิได้เม้มปากออกมา
“ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีทางเลือกนอกจากไปต่อแล้วล่ะ พวกเราจะทำเหมือนกับมนุษย์และวิญญาณเหมือนกันไม่ได้ แต่ว่าเราก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ”
ซอลจีฮูค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้
“ครับ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เมื่อหัวหน้ากับคนนำทางเห็นพ้องกันแล้ว ทั้งทีมก็ได้เริ่มเดินเท้าต่อไป ไม่สิ แค่พวกเขากำลังจะเริ่ม…
“โอ้?”
เสียงของฟีโซราได้ดังขึ้นมาดึงความสนใจของทุกๆคนไป เธอกำลังมองลงไปที่พื้นพร้อมทั้งยกเท้าขวาขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงง
“มีอะไรหรอ?”
“ปะ เปล่า ฉันคิดว่าฉันเหยียบอะไรไป…”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆตรวจดูพุ่มไม้หนา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เห็นอะไรแปลกๆเลย
“คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้คิดไปเอง?”
“ไม่ ฉันรู้สึกจริงๆ…”
ฟีโซราได้เอียงหัวออกมา จากนั้นก็ขยับหลบราวกับมันไม่สบายใจ หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นสั้นๆนี้ ทั้งทีมก็ได้เริ่มเดินหน้าไปอย่างช้าๆ
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มเห็นแสงสีน้ำเงินเหมือนอย่างที่โฟลนพูดเอาไว้ ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้แสงสีน้ำเงินก็ยิ่งสว่างขึ้นจนกระทั่งรอบๆตัวเขาถูกแบ่งระหว่างหมอกกับแสงสว่าง
ในที่สุดพวกเขาก็อยู่ในระดับที่พอจะมองเห็นกองหิน…
คาซุุกิที่ยืนอยู่หน้าสุดได้เอนหลังกลับมากระซิบ
“ฉันคิดว่ามัน-“
จากนั้นเอง
ซ่าาาา!
ขณะที่ทุกๆคนกำลังมองตรงไปด้านหน้า กองหินที่คล้ายกับดอลเมนก็ระเบิดแสงสีน้ำเงินออกมา
‘อะไรกัน?’
ซอลจีฮูได้รีบหลับตาโดยอัตโนมัติเหมือนกับในตอนแฟลชของกล้องสายส่องมาที่หน้าของเขา ความรู้สึกวิงเวียนได้กวาดเข้ามาในหัวของเขาทันที
[อ๊าาาา?]
คนอื่นๆได้เริ่มครางออกมาโดยเริ่มต้นจากโฟลน ซอลจีฮูรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขากำลังส่ายไปมา เขาได้รีบเปิดตาขึ้นและมองไปรอบๆ ทุกๆคนกำลังเหล่ตาหรือไม่ก็ใช้มือปิดตาเอาไว้อยู่ นอกเหนือจากนั้นแล้วซอลจีฮูก็ไม่ได้เห็นอะไรแปลกๆอีกเลย มันไม่มีอะไรที่ดึงดูดความสนใจเขาเลย
จากนั้นเมื่อเขามองลงไปด้วยความสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายเขา…
“!”
ซอลจีฮูก็รีบกระพริบตาออกมา
จี้ที่ซึ่งเป็นสีดำหลังจากปล่อยโฟลนออกมากำลังส่องแสงเจิดจ้า
และมันกำลังเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาเหมือนกับดอลเมน