บทที่ 215 – ความฝันในความฝัน (3)
แสงเจิดจ้าได้ระเบิดออกมาจากกองหิน และจี้ก็ได้เริ่มเรืองแสงสีเดียวกันตอบกลับไป ของทั้งสองอย่างนี้ได้เริ่มสั่นพ้องออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังตอบสนองซึ่งกันและกัน
แต่ก็มีเท่านี้แหละ
ซอลจีฮูได้รออยู่ครู่หนึ่งโดยหวังว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าดอลเมนกับจี้ก็แค่กระพริบอยู่เรื่อยๆเท่านั้นเอง
ทั้งพื้นที่ยังคงเงียบกริบเช่นเดิม
ท่ามกลางเสียงพึมพำของแต่ล่ะคน ทั้งทีมได้ค่อยๆเดินเข้าไปที่หิน เมื่อได้ตรวจดูอย่างใกล้ชิดมันก็เป็นแค่ก้อนหินธรรมดาถูกสร้างขึ้นมาเหมือนกับดอลเมน ไม่มีสัญลักษณ์อะไรบนพื้นผิวของหิน มันก็เป็นแค่ก้อนหินธรรมดาเท่านั้นเอง
“เราลองขุดดูดีไหม?”
จู่ๆโชฮงก็แนะนำออกมา
“มันดูเหมือนกับจะเป็นแค่ดอลเมน นั่นหมายความว่านี่อาจจะเป็นหลุมฝังศพอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นหมายความว่าก็น่าจะมีของดีๆบางอย่างถูกฝังอยู่ด้วยไม่ใช่หรอ?”
นี่่เป็นความคิดที่ดีเลย โดยเฉพาะยิ่งคิดว่ามันมาจากปากของโชฮง โดยทั่วไปแล้วอาร์ติแฟคจะถูกฝังอยู่ใต้ดิน
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจว่าคำแนะนำนี้ฟังดูมีเหตุผล และได้สั่งให้คนอื่นๆลองขุดรอบๆหินดู สมาชิกทีมได้เริ่มขุดทันทีโดยไม่บ่นอะไร
ครู่ต่อมา
“โอ้วววว!”
ฮิวโก้ได้อุทานขึ้น
ซอลจีฮูที่กำลังใช้หอกขุดดินอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง
ฮิวโก้กำลังเดินไปมาพร้อมหอกยาวในมือ
“หอกล่ะ! หอก! นี่มันดูโครตแพงเลยด้วย?”
จากนั้นเทเรซ่าก็ยังตะโกนออกมา
“กรี๊ดดด! หีบ! นี่มันหีบสมบัติ!”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา
แจ็คพ็อต
ผลของการขุดรอบๆได้ถูกสรุปออกมาด้วยคำๆเดียว นี่คือแจ็คพ็อตใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พาราไดซ์
นอกจากหอกพิสุทธิ์แล้ว ยังมีหีบสมบัติที่เต็มไปด้วยทองและเงินจำนวนนับไม่ถ้วน หากว่าพวกเขานับรวมเครื่องเซ่น และของประดับต่างๆที่เจอไปด้วย มูลค่ารวมก็จะมากมายมหาศาลเกินกว่าจะนับได้
หลังจากทำการเก็บเกี่ยวอย่างวุ่นวายแล้ว ทีมของพวกเขาก้ได้ออกมาจากเจดีย์แห่งความฝันด้วยรอยยิ้ม
พวกเขายังไม่ได้เห็นเจดีย์หรืออะไรที่คล้ายหอคอยขนาดเล็กเลย แต่ว่านั่นมันก็ไม่ได้สำคัญ
พวกเขาได้รับผลที่น่าทึ่งมาแล้ว เพราะงั้นยังต้องสนใจเจดีย์กันอีกงั้นหรอ?
และดังนั้นทั้งทีมก็ได้กลับออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามอย่างปลอดภัย หลังจากได้รับการชำระล้างคำสาปจากแฟรี่ท้องฟ้า กล่างลาเยเรล จากนั้นพวกเขาก็ได้เดินทางกลับบ้านกัน
กระเป๋าที่พวกเขาแบกนั้นหนักมาก แต่ฝีเท้าของพวกเขากลับเบาหวิว
ทั้งทีมได้เดินเท้ากันอยู่นานก่อนที่สุดท้ายจะหยุดตั้งแคมป์พักกันกลางดึก
ในคืนนั้นโชฮงได้ลูบหีบสมบัติพร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เหมือนกับฝัน
“กลับไปถึงแล้วฉันควรจะทำอะไรก่อนดีนะ… เฮะๆๆๆ!”
“ฉันจะซื้ออุปกรณ์! ฉันจะไปโรงประมูลที่สกีเฮราซาร์ดเพื่อที่จะฉาบทั้งตัวด้วยอุปกรณ์ที่ราคาแพงที่สุดที่หาเจอเลยล่ะ!”
ฮิวโก้ได้ตะโกนออกมาอย่างกระตือรือร้นเหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังติดอยู่ในความฝัน
ทีมของพวกเขาได้กินดื่มกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งรุ่งเช้า พวกเขาแต่ล่ะคนต่างก็โม้เรื่องที่พวกเขาจะเอารางวัลปฏิบัติการครั้งนี้ไปใช้
แต่แล้วในตอนเช้าบรรยากาศที่สนุกสนานของทั้งทีมก็ได้ดิ่งลงเหวไป
เพียงแค่เพราะเหตุผลเดียวเท่านั้น
ภายในคืนเดียวของทั้งหมดที่พวกเขาได้มาจากเจดีย์แห่งความฝันได้หายไปเหมือนกับเวทมนต์
ทุกๆอย่างได้หายไปโดยไม่เหลือไว้แม้แต่เหรียญทองเหรียญเดียว
ผู้ก่อเหตุก็คือมาเรีย เยเรล
คงเป็นได้แค่เธอเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาเธอก็หายตัวไปแล้ว
“นี่มันเรื่องจริงงั้นหรอ?”
โชฮงได้ระเบิดความโกรธออกมา
“ยัยนักบวชสารเลวนั่นหนีไปแล้วงั้นหรอ? ยัยนั่นมันเป็นบ้าหรือไงกัน?”
“ก็ไม่ใช่ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
คาซุกิได้พูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เธอต้องมีกระเป๋าเวทย์คุณภาพสูงอยู่กับตัวแน่ นั่นมันก็ไม่น่าแปลกหรอกนะเพราะว่าเธอมักจะรักเงินของเธอเหมือนคนบ้าอยู่แล้ว”
“บ้าเอ้ย! ยัยนั่นมันไม่มีอะไรดีเลยงั้นหรอ! ถึงเธอจะหนีไปแต่นี่ยังไม่เหลืออะไรไว้ให้เราเลย! เธอกล้าหนีไปพร้อมกับรางวัลของพวกเราได้ยังไงกัน? เมื่อไหร่ที่จับเธอได้ ฉันจะ- อ๊าา!”
โชฮงได้กัดฟันแน่นพร้อมจับแท่งเหล็กหนามด้วยตาแดงก่ำ
“ไม่มีเวลาแล้วคาซุกิ! นายกำลังทำอะไรอยู่? อยู่ตามรอยเธอเร็วเข้าสิ”
“แน่นอนสิ!”
คาซุกิได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนที่จะหันมามองหน้าซอลจีฮู
ซอลจีฮูก็เห็นด้วยกับพวกเขา แต่ภายในใจของเขากำลังสับสน
‘ฉันเชื่อเธอ…’
เขารู้ว่ามาเรียคลั่งไคล้ในเงินตรา แต่ว่าเขาก็ยังคิดว่าเธอก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์
‘คุณมาเรีย….’
ทั้งทีมได้เริ่มไล่ตามมาเรียไปอย่างสุดกำลัง
ในตอนแรกพวกเขายังพอแกะรอยเธอได้ แต่ว่าหลังจากผ่านไปได้หนึ่งวันพวกเขาก็ต้องยอมแพ้
ร่องรอยของเธอได้หายไป
พูดให้ถูกก็คือรอยเท้าของมาเรียหายไป และมีรอยล้อรถม้าโผล่มาแทน เธอคงจะโชคดีไปเจอเข้ากับรถม้าที่ผ่านทางมา
ความสิ้นหวังที่ทั้งทีมรู้สึกนั้นไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลย
เมื่อมาถึงเมืองอีวา พวกเขาได้วิ่งพล่านไปทั้งเมืองเหมือนกับไล่จับแมลงวัน แต่ว่าต่อให้พวกเขาหากันมากขนาดนั้นก็ไม่มีแม้แต่เส้นผมของมาเรียให้เห็นเลยด้วยซ้ำไป
ไม่ว่าเธอจะกลับไปที่โลกหรือว่าไปที่เมืองอื่นแล้วก็ตามแต่
เธอได้หายไปแล้ว
ในท้ายที่สุดทั้งทีมก็ได้ยอมแพ้ที่จะไล่ตาม และเดินทางกลับไปที่ฮารามาร์คด้วยอารมณ์ที่หม่นหมอง
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ว่าก็ไม่มีใครจะลืมเรื่องสมบัติไปได้
ซอลจีฮูได้พยายามปลุกใจตัวเองด้วยการย้ำเตือนว่านั่นเป็นแค่สมบัติส่วนเดียวอยู่บ่อยครั้ง และมันยังมีมรดกเหลืออยู่อีกสี่ส่วน
แต่ว่าสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ที่ฮารามาร์คก็มีแต่ข่าวน่าเศร้าที่ออกมาราวกับฟ้าผ่า
มันก็คือข่าวการตายของซอยูฮุย จางมัลดง และพี่น้องยี่
ซอยูฮุยได้ถูกลอบจู่โจมในระหว่างกำลังทำการภาวนาที่วิหาร และถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
จางมัลดงกับพี่น้องยี่ได้ถูกพบศพที่ภูเขาหินยักษ์ ส่วนตัวผู้ร้ายยังไม่มีใครรู้
เมื่อทีมพวกเขาได้กลับมาถึง เรื่องราวต่างๆก็ได้จบลงไปแล้ว
ซอลจีฮูได้ร้องไห้ออกมา
เขาร้องไห้อยู่ภายในห้องที่ปิดเงียบอยู่ตลอดทั้งวัน
มันไม่ใช่ว่าเขาคิดอะไรไม่ออกว่าเขาจะต้องทำอะไร แต่ว่ามันเหมือนกับสมองของเขาหยุดทำงานไปจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ในเวลาเดียวกันพรรคพวกของเขาก็ได้เริ่่มหายไปทีล่ะคน
โชฮงกับฮิวโก้ได้ทิ้งเขาเอาไว้โดยบอกว่าพวกเขาจะออกไปแก้แค้น และนับตั้งแต่นั้นข่าวของพวกเขาก็ได้หายไป
มาแชล จิโอเนียกับฟีโซราก็ได้จากไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็หายไปแล้ว
เวลานั้นซอลจีฮูก็รู้สึกได้ว่าเขาตัวคนเดียวอีกครั้ง
เขาได้นอนขดตัวอยู่ที่มุมห้องโดยที่มองไปรอบๆด้วยสายตาว่างเปล่า
ที่สำนักที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนได้กลายเป็นอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาของเขาได้เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
‘ไม่มีทาง…’
มันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?
ซอลจีฮูได้แต่นอนกุมหัวอยู่ต่อหน้าความเป็นจริงที่เขาไม่เคยคิดถึง
“น่าสมเพช”
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากด้านบนหัวเขา นั่นคือเสียงขอเทเรซ่า
“ทำไมกับแค่การตายของชาวโลกไม่กี่คนถึงได้ทำให้นายกลายเป็นแบบนี้? ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายคือวีรบุรุษสงคราม”
‘แค่ไม่กี่คน?’
ดวงตาเขาได้เบิกกว้างขึ้นมา
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าเทเรซ่าจะพูดอะไรที่ดูโหดร้ายแบบนี้ออกมา
แต่ว่าแทนที่จะเป็นเทเรซ่า เขากลับเห็นฮ่าวอวิ่นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเขา
“ตอนนี้นายกลายเป็นซากไปแล้ว”
หลังจากพูดออกมาสั้นๆฮ่าวอวิ่นก็หันหน้าเดินจากไป
“ฉันตัดสินนายผิดไป”
ซอลจีฮูได้แต่มองแผ่นหลังฮ่าวอวิ่นจากไปอย่างโง่งม แค่รวบรวมเรี่ยวแรงเรียกฮ่าวอวิ่นเขายังทำไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตามเขาไป
ซอลจีฮูได้พยายามจะขยับตัว แต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร
ในสุดท้ายแล้วเขาก็นึกไปถึงคิมฮันนาห์ และพยายามติดต่อไปหาเธอ แต่ว่าเธอไม่รับสายเขาเลย
ในท้ายที่สุดทุกๆคนก็ได้ทอดทิ้งเขาไป ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่เขาเคยมีในพาราไดซ์ต่างก็ถูกตัดขาดไปจนหมด
ในตอนนี้มันไม่มีน้ำตาเหลืออยู่อีกแล้ว
‘พวกเขาไปกันหมดแล้ว…’
ซอลจีฮูได้แต่ลูบหัวของเขา
‘มันคือความฝัน’
เขาได้คุกเข่าลงและโขกหัวกับพื้นอยู่ซ้ำๆ
‘ความฝัน! ทั้งหมดนี่คือความฝัน!’
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำอะไร เขาทำได้แต่ตะโกนภายในใจว่าทั้งหมดนี่คือความฝันพร้อมทั้งกระแทกหัวตัวเองกับพื้น และในขณะซอลจีฮูกำลังตกสู่ความสิ้นหวัง และปฏิเสธในความเป็นจริง
“เฮือกกก-!”
ซอลจีฮูได้สะดุ้งจากเตียงด้วยความตกใจ
แสงแดดได้แยงเข้ามาในตาของเขา
เขาได้กระพริบตาอยู่ซ้ำๆ จนกระทั่งภาพที่พร่ามัวชัดเจนขึ้น
และเมื่อเขามองไปรอบตัว ซอลจีฮูก็ได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาราวกับว่ามันไม่มีอะไรไร้สาระไปกว่าสิ่งที่เขาเห็นแล้ว
โคมระย้าคริสตัลที่ห้อยลงมาจากเพดาน และโต๊ะไม้สีเขียวนับสิบ บวกกับผู้คนจำนวนมากที่นั่งอยู่ตามโต๊ะเหล่านั้น
‘ที่นี่…’
ซอรัคแลนด์
มันก็คือคาซิโน่ที่ซอลจีฮูมาบ่อยๆ ขณะที่เขากำลังตกตะลึงอยู่ จู่ๆเขาก็รู้สึกว่ามีคนมาจับแขนเขา และยกเขาขึ้น
“พวก นายนี่มันบ้าไปแล้ว!”
น้ำเสียงมีอายุได้ดังออกมา ชายวัยกลางคนกำลังพยุงแขนของเขาอยู่ นี่คือใบหน้าที่เขาเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว
“ถึงนายจะบ้าพนันนะ แต่ว่านายมาหลับระหว่างเล่นได้ยังไงกัน? หัดคิดถึงคนอื่นซะบ้างสิ!”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา
เขาไม่รู้เลยว่าชายคนนี้กำลังพูดอะไรอยู่
“เฮ้ๆ ไปล้างหน้าสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยไป หากว่าไปนอนบ้างก็น่าจะดีนะ ตานายมันแดงก่ำแล้ว”
“มะ ไม่นะ”
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังตะกุกตะกัก ชายวัยกลางคนก็ได้ลากชายหนุมออกไปข้างนอกแล้ว
หลังจากเขาถูกบังคับผลักออกมาข้างนอกคาซิโน ซอลจีฮูก็ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนกับรูปปั้น
เขาได้หยิกแก้มของตัวเอง แต่ว่าสมองเขาก็ยังกระจ่างชัดอยู่
ความรู้สึกเย็นของอากาศยามเช้าที่สัมผัสผิวหนังของเขาทำให้มันไม่มีอะไรจะรู้สึกจริงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
อย่างที่ชายวัยกลางคนได้บอก เขาได้หลับไประหว่างเล่นพนัน
‘ถ้างั้น?’
ความฝัน?
หนึ่งปีที่เขาใช้ไปในพาราไดซ์เป็นความฝันทั้งหมดเลย? ทุกๆอย่างเกิดขึ้นภายในความฝันแค่ไม่กี่นาที?
‘ไม่มีทาง!’
ซอลจีฮูได้รีบล้วงกระเป๋า แต่ว่าสิ่งที่เขาหยิบออกมาก็มีแค่กระเป๋า เงิน และโทรศัพท์เท่านั้นเอง
เขาหาแผ่นกระดาษที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋าไม่เจอเลยสักนิด
“พาราไดซ์!”
เขาได้พยายามตะโกนออกมา
หน้าอกของเขาได้แน่นขึ้นมา
“กู่ลา! ไอร่า! ลูซูเรีย! อินวิเดีย! ฮารามาร์ค! สกีฮาราซาร์ด! ราชินีปรสิต!”
เนื่องจากว่ามันมีสัญญาที่ห้ามไม่ให้เขาพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับพาราไดซ์บนโลกอยู่
มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ว่าคำทั้งหมดที่เขาพูดออกมาต่างก็ดังก้องในหูของเขาอย่างชัดเจน
ไม่สิ มันต้องไม่เป็นแบบนี้ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้
“แท็กซี่!”
ซอลจีฮูได้เรียกแท็กซี่และนั่งไปที่ละแวกบ้านในทันที
แต่ว่าความจริงก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
เขาได้มาอยู่ตรงร้านอาหารที่อยู่สถานีมหาวิทยาลัยฮงอิค แต่ว่าเขาก็ไม่เจอกับฟีโซราเลย นอกจากนี้พนักงานต่างก็ไม่มีใครที่เขารู้จักเลย
เมื่อกลับมาที่ห้องของเขาแล้ว ซอลจีฮูก็ได้แต่ยืนมองอย่างสับสน
กองขยะ
มันเหมือนกับว่าเขาได้กลับมาในตอนที่เขายังติดการพนันอยู่
“ฮ่าฮ่า… ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ดวงตาของเขาได้กลายเป็นร้อนผ่าวขึ้นมาโดยที่ยืนตรงมองดูห้องของเขา น้ำตาที่เขาคิดว่าเหือดแห้งไปแล้วได้เริ่มไหลออกมา
‘พาราไดซ์… มันไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่แรกหรอ?’
สถานที่สุดท้ายที่ซอลจีฮูสามารถจะไปพึ่งพิงได้
ที่ที่เขาสามารถจะอยู่ได้ได้หายไปเหมือนกับภาพลวงตา
ความจริงนี้ได้ทำให้ซอลจีฮูต้องสิ้นหวังอย่างถึงขีดสุด
และในท้ายที่สุดเมื่อซอลจีฮูรับมันไม่ไหวอีกแล้ว เขาก็ก้มหน้าทรุดตัวลงกับพื้น
เคร๊ง!
เสียงโลหะกระทบกันได้ดังออกมาพร้อมกับความรู้สึกเบาๆที่คอของเขา
ขณะที่ซอลจีฮูได้มองลงไปดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา
จี้ของเขากำลังห้อยลงมาอยู่ที่พื้น มันมีอัญมณีที่กำลังเปล่งประกายอยู่
‘หืม…?’
ในตอนนั้นเอง
[เฮ้!!!!!]
เสียงที่เขาได้ลืมไปแล้วได้ดังขึ้นมาในหูของเขา ซอลจีฮูได้หรี่ตาลงก่อนที่จะกลั้นหายใจ
[ตั้งสติไว้! เร็วเข้า!]
เสียงตะโกนนี้เป็นของโฟลน
“ฟะ โฟลน?”
[เร็วเข้า! รีบหน่อยสิ! มันอันตราย!]
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอกำลังพูดอะไร แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เธอดูจะเร่งร้อนดูมากๆ ขณะที่ซอลจีฮูกำลังทรุดตัวอย่างสับสน เสียงของเธอก็ดังขึ้นมาอีก
[นายกำลังฟังอยู่ใช่ไหม? ได้ยินฉันใช่ไหม? เอาล่ะ ตั้งใจฟังนะ นายคิดว่าโลกที่นายกำลังอยู่เป็นของจริงใช่ไหม?]
“หืม? นั่น-“
[มันไม่ใช่ความจริง นายอาจจะคิดแบบนั้น แต่ว่าโลกนั่นมันไม่ใช่ความจริงแน่ๆ นายกำลังอยู่ในความฝัน ในตอนนี้นายกำลังฝันอยู่ในระหว่างปฏิบัติการ!]
“…”
[มันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ว่าเชื่อฉันสิ ฝันมันก็เป็นแบบนี้แหละ นายอาจจะคิดว่ามันเหลวไหลหลังจากที่ตื่นขึ้นมา แต่ว่าในตอนที่ฝันอยู่นายจะไม่รู้ตัวเลย]
โฟลนได้พูดอกอมาอย่างใจเย็นมากๆ แม้ว่าเธอจะพูดอย่างเร็วก็ตาม
[ตั้งใจคิดให้ดี มันไม่ได้มีอะไรที่ผิดแปลกไปสำหรับนายเลยหรอ? ไม่มีสักนิดเลยหรอ?]
ปากของซอลจีฮูได้ค่อยอ้ากว้างออกมา
[นายได้ยินฉันใช่ไหม? ได้โปรดตื่นขึ้นมาเถอะนะ! นายกำลังอยู่ในอันตราย! นายกำลังจะขาดหายใจตาย…!]
จี้ได้เด้งขยับไปมา ซอลจีฮูได้คว้าอัญมณีเอาไว้ตามสัญชาตญาณในทันที
‘พอมาคิดดูแล้ว…’
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรงหลังจากที่ได้ยินคำพูดของโฟลน
จี้คืออย่างแรก การที่เขาพูดเรื่องพาราไดซ์ได้นั่นหมายความว่าเขาไม่เคยเข้าไปในพาราไดซ์
แต่ว่าเขาจะมีของของพาราไดซ์ในครอบครองได้ยังไงกัน? เมฆหมอกภายในใจของเขาได้หายไปในทันที และในที่สุดความสงสัยทั้งหมดในดวงตาของเขาก็ค่อยๆหายไป เขาได้ค่อยๆมองไปรอบๆโลกอย่างช้าๆ
‘เริ่มจากโฟลน…’
เขาไม่ได้ปฏิเสธความจริงเหมือนกับในตอนที่เขาตกอยู่ในความสิ้นหวังในพาราไดซ์
ในตอนที่เขาสงสัยใน ‘ความฝัน’-
“เฮือก-!”
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นมา