ถ่ายทอดอากาศบริสุทธิ์ให้ชิวเยี่ยไป๋ ในเวลาเดียวกันฝ่ามือที่ประกบกลางหลังนางก็เดินพลังให้นางอย่างไม่ขาดสาย
ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าคนในอ้อมกอดค่อยๆ หายใจเป็นปกติอย่างช้าๆ และร่างกายเริ่มอุ่นขึ้น จนกระทั่งใบหน้าขาวซีดของชิวเยี่ยไป๋เริ่มมีสีเลือด
จะอย่างไรก็เป็นคนฝึกวิทยายุทธ์ พื้นฐานร่างกายดีกว่าคนธรรมดาจึงฟื้นตัวได้เร็วกว่า
ในเมื่อพ้นวิกฤตรอดจากการตายเพราะจมน้ำได้ คงไม่เป็นอะไรมากนัก
‘หยวนเจ๋อ’ ถอนใจอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ตัว แลดูคนในอ้อมกอดที่ยังไม่รู้สึกตัวหัวร่อเบาๆ “ถ้าเจ้าตายไปเช่นนี้ ก็อย่าโทษอาเจ๋อกินเจ้านะ เพราะเจ้ารับปากเขาเองนี่ ฮ่าๆ”
เขาก้มลงมองดูคนในอ้อมกอด สายตาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากนุ่มนิ่ม แสงจันทร์สลัวมิได้เป็นอุปสรรคสำหรับเขาที่จะมองเห็นริมฝีปากของนางซึ่งผ่านการส่งลมหายใจเมื่อครู่แวววาวด้วยน้ำ ความขาวซีดถูกแทนด้วยสีชมพูระเรื่อรับกับผมยาวสลวยใบหน้าขาวซีดยิ่งเป็นเสน่ห์ที่อวบอิ่มอีกแบบหนึ่ง
‘หยวนเจ๋อ’ หรี่ตาอย่างอันตราย หัวร่อเบาๆ “ข้าไม่ช่วยใครง่ายๆ คิดดอกเบี้ยตรงนี้ก็แล้วกัน”
หยวนเจ๋อเป็นหลวงจีนที่ยึดติดกับการกินเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ส่วนเรื่องอื่นจืดชืดอย่างยิ่ง แต่เขาไม่เคยพยายามระงับความอยากของตนเอง
เขาก้มลงจุมพิตริมฝีปากนุ่มนิ่มอย่างไม่เกรงใจ มิได้มีความสงสารคนในอ้อมกอดที่เพิ่งผ่านการรอดตายมาแม้แต่น้อย จูบแล้วจูบอีก ตักตวงความอบอุ่นนุ่มนิ่มที่เคยนึกฝันมาช้านานอย่างเต็มที่
ปากฟันใกล้ชิดกัน เขาแทบจะได้ยินเสียงโลหิตที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็วในกายตน ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดจากปากนางช่างหอมหวานจนเขาแทบอยากจะกลืนนางลงท้อง ดื่มด่ำเมามายอยู่ในความอบอุ่นนุ่มนิ่มที่แสนสุขตลอดไป
จนกระทั่งคนในอ้อมกอดทนการตักตวงอย่างป่าเถื่อนไม่ไหว ครางออกมาแผ่วเบาแทบเหมือนร่ำไห้ และบิดตัวขัดขืน
‘หยวนเจ๋อ’ จึงพลันลุกขึ้น สูดหายใจลึก บังคับความปั่นป่วนของร่างกายตนกลับสู่ความสงบ
งูกู่ชื่อเยี่ยนเพศผู้เพศเมียอยู่ในตัวเดียวกัน ยามนี้เกรงว่าตนเองคงรู้สึกถึงอีกครึ่งที่อยู่กับตน ปฏิกิริยาจึงได้รุนแรงเช่นนี้
แต่กลิ่นอายที่อบอุ่นนั้น ทำเอาเขาที่ใจเย็นเป็นน้ำแข็งยังรู้สึกควบคุมตนเองไม่ไหว
เขาก้มมองชิวเยี่ยไป๋ที่เพิ่งผ่านการจู่โจมของเขา ลมหายใจดูเหมือนจะอ่อนลง สีหน้าซีดขาว จึงจำต้องละทิ้งการตักตวงริมฝีปากหอมหวานของนางอีกครั้ง
ทว่า…
สายตา ‘หยวนเจ๋อ’ ตกลงที่ซอกคอขาวผ่องปานหิมะของนาง ถ้าเขาจำไม่ผิด นานพอสมควรแล้วที่เขาไม่ได้ยาขจัดพิษที่ควรได้ ซึ่งในเวลาต่อมาตนเองก็ไม่ค่อยสะดวกที่จะออกมา
ถ้างั้นคงต้องเป็นตอนนี้แหละ
เขาคิดดูแล้วใช้ปลายนิ้วไล้ที่ติ่งหูของนาง ไถลไปเล็กน้อย เลือดสีแดงสดก็ทะลักออกมาสายหนึ่ง
กลิ่นเลือดที่หอมหวนทะลักในอากาศช่างดึงดูดใจคน กลิ่นที่จมูกได้รับกระตุ้นจนม่านตาดำที่ใหญ่อยู่แล้วขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งไม่เหลือตาขาวแม้แต่น้อย ราวกับดวงตาคู่นั้นถูกย้อมด้วยหมึกใต้แสงจันทร์สลัว ‘หยวนเจ๋อ’ งดงามจนน่ากลัว
เขาสูดดมกลิ่นคาวเลือดในอากาศ แล้วก้มลงดูดคอของชิวเยี่ยไป๋อย่างแรง
ยังคงเป็นเลือดคาวข้นที่หอมหวานเหมือนในความทรงจำ
แม้จะเก็บเลือดจากหลอดเลือดดำที่ข้อมือเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวังมิได้ แต่ ณ ที่นี้เลือดในกายของเสี่ยวไป๋ที่เจือด้วยกลิ่นกายหอมกรุ่นยังคงหอมหวานกว่า
เนื่องจากเมื่อครู่ไม่ทันระวังทำเอาคนในอ้อมกอดอึดอัด ดังนั้นครั้งนี้ ‘หยวนเจ๋อ’ จึงรู้จักพอ และยุติการ ‘ได้ยา’ อย่างรวดเร็ว
เขาช่วยชิวเยี่ยไป๋ห้ามเลือด แล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากงดงามของตนเองอย่างละเมียดละไม จนแน่ใจว่าไม่มีการสูญเปล่าแล้ว จึงคิดจะพยุงชิวเยี่ยไป๋ให้นอนในท่าที่สบาย
แต่จู่ๆ ชิวเยี่ยไป๋ก็บิดตัว ดูแล้วเหมือนเป็นตะคริว ไม่ทราบเพราะเหตุใดสองมือจึงกุมอกไว้แน่น
‘หยวนเจ๋อ’ กลัวว่านางจะหล่นจากเรืออีก จึงพยายามกดขานางไว้ แต่พอกดลงจึงเพิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
เมื่อครู่เขารีบร้อนจะช่วยนาง จึงไม่ทันสังเกตว่าชิวเยี่ยไป๋มิได้สวมกางเกง
สีขาวโพลนปานหิมะที่เขาเห็นในกอหญ้าเมื่อครู่นี้ ก็คือท่อนขาเรียวยาวของชิวเยี่ยไป๋ที่เผยออกมา บัดนี้นางบิดตัวส่วนที่ขาวผ่องยิ่งเผยตัวมากขึ้น ยิ่งกระตุ้นสายตาผู้คน
‘หยวนเจ๋อ’ ข่มใจบังคับตนเองให้ละสายตาจากท่อนขาเรียวยาวและพบว่านางกำลังกุมอกตนเอง คล้ายมีอะไรทำให้นางหายใจไม่สะดวกจนทนไม่ไหว
ถ้ายามนี้ชิวเยี่ยไป๋มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ต่อให้นางหายใจไม่ออกก็ไม่มีวันทำเรื่องเหมือนขุดหลุมศพให้ตนเองเช่นนี้เด็ดขาด!
นางต่างจาก ‘หยวนเจ๋อ’ ที่เตรียมพร้อมแล้วจึงลงน้ำ นางลงน้ำไปเพื่อต่อยตีกับผู้คน และจู่ๆ ถูกกระแสน้ำวนดูดไป สุดท้ายหายใจไม่ออกจึงสำลักจนสลบไป ปอดและท้องมีน้ำเข้าไปไม่น้อย วิธีที่ ‘หยวนเจ๋อ’ ช่วยนางถือว่าถูกต้อง
แต่ ‘หยวนเจ๋อ’ มิรู้ว่านางยังมีผ้ารัดอกที่รัดไว้อย่างแน่นหนาดังนั้นการทุบช่องอกแรงๆ และตบหลัง แม้จะขับน้ำออกจากปอดและท้องของนางก็จริงอยู่ ทำให้นางหายใจได้เอง แต่บางส่วนที่ถูก ‘ทุบหนักๆ’ และขณะไม่ได้สติยังถูก ‘หยวนเจ๋อ’ ปิดปากลวนลามรอบหนึ่ง ยามนี้ชิวเยี่ยไป๋ที่สลบไสลยังรู้สึกว่าช่องอกเหมือนมีไฟเผา เหมือนมีหินก้อนใหญ่จุกไว้ ทรมานจนอยากจะใช้มีดแงะออกให้รู้แล้วรู้รอด!
‘หยวนเจ๋อ’ เห็นเสี่ยวไป๋ของตนทรมานถึงเพียงนี้ ย่อมคิดว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นธรรมดา จึงรีบช่วยนางลูบอก เพื่อให้หายใจได้สะดวก กลับเห็นชิวเยี่ยไป๋ท่าทางทรมานยิ่งกว่าเดิม ท่าทางนี้เหมือนหายใจไม่ออก
เขาไม่เข้าใจ แต่เห็นนางยังคงกำอกไว้แน่น จึงปลดสายรัดเอวของนางแล้วลากออกด้วยสองมือ ช่วยให้ชิวเยี่ยไป๋ ‘โล่งขึ้น’
แต่พอดึงขึ้นดูนี้เขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
อกของเสี่ยวไป๋มีผ้าซึ่งมิทราบว่าทำด้วยวัสดุใดพันไว้อย่างเรียบร้อยชั้นหนึ่ง ดูแล้วไม่เหมือนเสื้อผ้าแต่คล้ายแถบรัด
นัยน์ตาพิกลของ ‘หยวนเจ๋อ’ ปรากฏหมอกดำเย็นเยือก ไอ้สารเลวตัวไหนบังอาจทำคนของเขาบาดเจ็บ!
ทว่า นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเสี่ยวไป๋บาดเจ็บหนักเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
อาเจ๋อโง่งมอยู่ข้างกายนางตลอด แต่ไม่มีความทรงจำเรื่องนี้แม้แต่น้อย หรือว่าจะเกิดขึ้นระหว่างทางมาตงอั้น
ถ้าเช่นนั้นอาจเป็นเวลาเดียวที่อาเจ๋อมิได้อยู่ข้างกายเสี่ยวไป๋ แต่บนเรือของซือหลี่เจียนก็มีคนของค่งเฮ่อเจียนอยู่หลายคน และไม่เคยมีใครบอกว่าพวกเขาถูกจู่โจมระหว่างทางนี่นา
เวลาอันสั้น ‘หยวนเจ๋อ’ นึกไม่ออกว่าปัญหาอยู่ที่ใด จึงทิ้งปัญหานี้ไปก่อนเป็นการชั่วคราว แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าสำคัญกว่า
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง มัวแต่สงสัยว่าเสี่ยวไป๋ได้รับบาดเจ็บมา เมื่อแช่ในน้ำนานจึงกำเริบ เขาเอื้อมมือลูบแขนของตนเอง ณ ที่นั้นยังมีกำไลแขนที่คุ้นเคย จึงใช้วิธีการพิเศษลูบลายบนกำไลคราหนึ่ง กำไลแขนก็หลุดออกมา