ตอนที่279 คำถามมากมาย

ด้านหนึ่งตระกูลหัว อีกด้านหนึ่งตระกูลจ้าว ไม่ว่าใครจะถูกหรือผิดในเรื่องนี้ ตราบใดที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องขุ่นเคือง หรืออย่างเลวร้ายที่สุดคือทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องขุ่นเคือง

ดังนั้นหลินเซียะจึงให้ทั้งสองมาเจรจากันเป็นส่วนตัว เพื่อหาแนวทางร่วมกันของทั้งสองฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะข่าวได้แพร่กระจายสู่สาธารณะชนเรียบร้อย และพวกเขาต้องดำเนินการอย่างเปิดเผย

หัวเซินซวนโกรธจัดจนรู้สึกแน่นหน้าอก ทั้งๆที่เขาเคยย้ำกับเซียงซิ่วไปแล้วว่า เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายุ่งกับเรื่องดังกล่าว แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ฟัง

หลินเซียะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้กุมตัวจ้าวเฉียนเพื่อสอบสวนเพิ่มเติม ส่วนหัวเซียงชานที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าทำลายหลุมศพ อาจต้องโทษจำคุก แต่ปัจจุบันอีกฝ่ายยังต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจึงต้องละเว้นไปก่อน

จ้าวฝู่กำลังอ่านเอกสารจิบกาแฟตามปกติสุข ทันใดนั้นหัวหน้าพ่อบ้านหวังเจ๋อก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาโดยไว

“นายท่าน! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบอ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เร็ว!”

หวังเจ๋อกล่าวน้ำเสียงร้อนรน คล้ายว่ากำลังกังวลใจ

จ้าวฝู่วางเอกสารในมือลง และหยิบมือถือเปิดอ่านข่าวในอินเตอร์เน็ตทันที

“ไปเรียกคุณนายอวีมา!”

จ้าวฝู่ตะโกนสั่ง

หลังจากหวังเจ๋อตอบปากรับสั่ง เขาก็รีบวิ่งไปเรียกอวีกุ้ยเฟิง

“พี่ฝู่ ตอนนี้พี่จะทำยังไง? ลูกเราโดนสอบสวนอยู่ในสถานีตำรวจ!”

อวีกุ้ยเฟิงกล่าวขึ้นด้วยท่าทีร้อนรนเช่นกัน

“เธอโทรหาหลินเซียะ ถามเขาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

จ้าวฝู่เอ่ยตอบ

อวีกุ้ยเฟิงพยักหน้าและโทรหาหลินเซียะในทันที หลินเซียเชื่อมสายรับโดยไวและชิงกล่าวก่อนว่า

“คุณนายอวี ผมกำลังจะโทรหาคุณพอดี คุณนายน่าจะเห็นข่าวแล้วใช่ไหม เรื่องนี้จะให้เจรจากันโดยส่วนตัวไม่ได้แล้ว ผมต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงกับทางส่อ หวังว่าคุณนายจะไม่ถือโทษโกรธผมนะครับ”

อวีกุ้ยเฟิงไม่สนเรื่องนี้ เธอเอ่ยถามไปตามตรงว่า

“แล้วลูกชายฉันล่ะ?”

“ไม่ต้องกังวลเลยครับคุณนายอวี เขารับมือกับสถานการณ์ได้ดีมาก เหลือก็แค่ให้เหตุผลตอบนักข่าวกลับไปดีๆ เพื่อกันไม่ให้นักข่าวพวกนี้ใส่ไข่ใส่ฝืนเพิ่มได้ ถ้ากรณีเลวร้ายที่สุด คุณนายอวีต้องหาแพะมาแทนเขาครับ”

บรรดาบอดี้การ์ดตระกูลจ้าว ทุกคนล้วนภักดีต่อจ้าวฝู่ยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง ซึ่งถ้าเป็นในกรณีนั้นการจะส่งพวกเขาไปเป็นอพะรับบาปแทนย่อมไม่มีปัญหา ดังนั้นประเด็นสำคัญคือ ความปลอดภัยของตัวจ้าวเฉียนในขณะนี้

หลินเซียะอธิบายต่อว่า

“เรื่องนี้ถ้าว่าไปตามกฎหมายคุณชายจ้าวผิดครับ และมีแนวโน้มสูงมากที่เขาจะต้องรับโทษ แต่ถ้าดูจากสำนวนคดียังพอมีช่องโหว่โยนให้แพะรับบาปอยู่ได้บ้าง เพราะคนที่ตัดมือของหัวเซียงชานไม่ใช่ตัวคุณชายจ้าวเอง ดังนั้นเขายังปลอดภัยแน่นอนครับ”

อวีกุ้ยเฟิงได้ยินหลินเซียะพูดแบบนี้ก็โล่งใจขึ้นเป็นอย่างมาก เธอรีบขอบคุณเขาทันที

“ขอบคุณมากค่ะผู้ว่าหลิน ถ้ามีเวลาว่างดิฉันขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงดินเนอร์สักมื้อนะคะ”

หลินเซียะยิ้มตอบกลับไปว่า

“ค่อยว่ากันครับ ผมขอตัวจัดการกับเรื่องตรงนี้ก่อน”

หลังจากพูดจบอวีกุ้ยเฟิงก็วางสายไปและรีบรายงานให้จ้าวฝู่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

จ้าวฝู่ไม่รีรอเซ็นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านหยวนและวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็โทรเรียกบอดี้การ์ดอาลีให้เข้ามา

“อาลี มาพบฉันที่ห้องหนังสือหน่อย”

จ้าวฝู่กล่าวอย่างใจเย็น

อาลีรีบตอบกลับไปทันที

“ครับผมนายท่าน”

ในไม่ช้าอาลีก็เดินเข้ามาและเอ่ยถามขึ้นว่า

“นายท่าน มีอะไรรึเปล่าครับ?”

จ้าวฝู่พูดไปตามตรงว่า

“ฉันได้รับรายงานแล้ว ตอนนี้ลูกชายฉันโดนคุมตัวอยู่ในโรงพัก แต่ทางตำรวจบอกว่า คดีนี้ยังพอมีช่องโหว่ให้สลับตัวคนผิดได้ ซึ่งนายเป็นคนตัดมือหัวเซียงชานน่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว ช่วยไปรับโทษแทนลูกชายฉันที นี่เงินหนึ่งล้านหยวน รับไป”

อาลีไม่ได้รู้สึกโกรธหรือลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาหยิบเช็คใบนั้นขึ้นมาและกล่าวตอบไปว่า

“ขอบคุณมากครับรนายท่าน ผมจะเข้ามอบตัวเดี๋ยวนี้”

จ้าวฝู่พยักหน้าและเดินเข้าไปตบไหล่อาลีว่า

“ไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันจะขอให้ทนายมือหนึ่งของฉันออกโรงสู้คดีแทนนายเอง ฉันไม่ปล่อยให้บอดี้การ์ดเก่งๆอย่างนายต้องเข้าคุกแน่นอน เรื่องครอบครัวนายไม่ต้องห่วง ฉันยังส่งเงินค่าดูแลให้ตลอด ส่วนเงินหนึ่งล้านนี้เก็บเอาไว้ใช้ส่วนตัวเถอะ”

อาลีโค้งคำนับจ้าวฝู่ด้วยความซาบซึ้งทันทีและกล่าวขอบคุณอีกครั้งว่า

“ขอบคุณสำหรับความปรารถนานาดีตลอดมาของนายท่านครับ ผมจะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวังเด็ดขาด!”

มีเงินชดเชยในจุดนี้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่ผ่านมาจ้าวฝู่จ่ายเงินดูแลครอบครัวของเขาให้กินดีอยู่ดีมาโดยตลอด ดังนั้นอาลีย่อมภักดีต่อจ้าวฝู่ยิ่งกว่าอะไร

ไม่นาน อาลีก็เข้ามอบตัวกับทางตำรวจและขอรับผิดชอบความผิดทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว

ทางตำรวจเองก็ดำเนินการโดยไว และตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนทันที

สรุปโดยรวมรูปความคดีที่มีการชี้แจงต่อสาธารณะ ได้ความคือ ตระกูลหัวเป็นฝ่ายเริ่มก่อน โดยการทำลายหลุมศพของบรรพบุรุษของตระกูลจ้าวจนเละ ทางจ้าวเฉียนจึงแค้นอาฆาตอย่างมาก จึงนำคนบุกเข้าไปในบ้านของตระกูลจ้าว แต่ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายโต้เถียง อาลีพลั้งพลาดตัดมือของหัวเซียงชานโดยไม่เจตนา

ฟังโดยผิวเผิน เรื่องนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผลและมีมูลเหตุที่ทำให้ตระกูลจ้าวต้องตอบโต้แบบนี้ แต่สำหรับตระกูลหัว พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

หัวเซินซวนโทรหาหลินเซียะทันที พยายามกล่าวประท้วงว่า

“ผู้ว่าหลิน นี่มันหมายความว่ายังไง ชี้แจงออกไปแบบนี้ นี่คุณปกป้องเขาเหรอ?”

หลินเซียะตอบน้ำเสียงเคร่งขรึมกลับไปทันทีว่า

“คุณหัวพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ผมเป็นตำรวจตัดสินตามรูปคดีและหลักฐาน แล้วคุณจะมาใส่ร้ายผมแบบนี้งั้นเหรอ? แถมเรื่องทั้งหมดก็เริ่มมาจากหลานของคุณก่อนจริงไหม?”

“มันก็ใช่ เป็นเขาที่เริ่มก่อนจริงๆ แต่คนที่เข้ามามอบตัวมันปฏิบัติตามคำสั่งของจ้าวเฉียน ผู้บงการตัวจริงคือจ้าวเฉียนไม่ใข่คนที่ชื่ออาลี แต่สิ่งที่คุณพูดออกไป มันเห็นได้ชัดว่าคุณจงใจปกป้องจ้าวเฉียน!”

หัวเซินซวนกล่าวตอบไปด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง

หลินเซียะยิ้มและตอบกลับไปว่า

“เราคงไม่สามารถนำคำพูดของคุณประกอบในรูปคดีได้ นอกเสียจากมีหลักฐานพร้อม ตัวอย่างเช่น คลิปจากกล้องวงจรปิดเป็นต้น”

หัวเซินซวนเป็นนักธุรกิจมือเก๋ายิ่งกว่าทหารผ่านศึก แค่ได้ยินคำอธิบายของหลินเซียะ เขาก็รู้แล้วว่า อีกฝ่ายกำลังเข้าข้างใครอยู่ เว้นเสียแต่ตระกูลหัวจะสามารถหาหลักฐานชิ้นเอกมามัดตัวจ้าวเฉียนได้เท่านั้น

หัวเซียงซิ่วที่เห็นคำแถลงการณ์ของทางตำรวจ เธอก็กระทืบเท้าอย่างแรงด้วยความโกรธจัด

หลังจากที่หัวเซินซวนวางสายไป เขาก็หันมาด่าเธอต่อทันทีว่า

“ใครขอให้หลานเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้! เดิมทีมันก็ยุ่งเหยิงพออยู่แล้ว แต่หลานกลับทำให้ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าเก่า! อันที่จริงเป็นฝ่ายเราที่ถือไพ่เหนือกว่าด้วย แต่ตอนนี้เรากลับตกเป็นรองแล้ว! หลานจะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไง!”

แต่หัวเซียวซิ่วก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณปู่ของเธอกล่าวไป เห็นได้ชัดว่า เป็นฝ่ายตระกูลหัวที่ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ ยังไงพวกเขาก็ได้เปรียบทางด้านกฎหมาย แล้วทำไมถึงต้องไปเจรจากับคนผิดเป็นการส่วนตัว สู้เปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวสู่สาธารณะให้ทุกคนรู้ไปเลยว่าใครผิดใครถูก วิธีการของเธอมันไม่ดียังไง? แล้วทำไมคุณปู่ถือต้องโทษเธอด้วย?

หัวเซินซวนไม่มรีอารมณ์จะมานั่งอธิบานกับหลานสาวผู้โง่งมคนนี้มากนัก เขาหันไปตะคอกใส่หัวฉีเฉินโดยตรงว่า

“แกที่เป็นพ่อเธอ ก็หัดสั่งสอนเธอให้อยู่กับร่องกับรอยซะบ้าง! ถ้าปล่อยให้เธอออกมาสร้างปัญหาอีกรอบ แกเตรียมตัวรับโทษ!”

หัวฉีเฉินรีบพยักหน้ากล่าวตอบกลับไปทันที

“เข้าใจแล้วครับพ่อ ผมจะคอยเฝ้าระวังเธอเป็นอย่างดีไม่ให้สร้างปัญหาได้อีก!”

หัวเซียงชานที่นอนอยู่บนเตียง ยามนี้ก็ทนไม่ไหวกับคำพูดของคุณปู่แล้วเช่นกัน เขาตะโกนแย้งขึ้นทันทีว่า

“เซียงซิ่วพูดถูก! ผมต้องได้รับคาวมยุติธรรม! ผมจะใช้วิธีทางกฎหมายเอาผิดไอ้พวกตระกูลจ้าวให้ได้! พ่อกับปู่เป็นอะไรกันไปหมด! ทำไมถึงไม่เข้าข้างพวกผม! พวกคุณยังคู่ควรที่จะเรียกตัวเองว่าพ่อกับปู่อยู่ไหม!?”

ครั้งนี้หัวเซียงชานพูดมากเกินไปหน่อย จึงทำให้หัวฉีเฉินโกรธจัดตะคอกส่วนกลับไปว่า

“ยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ!? น้ำหน้าอย่างแกไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ!”

หัวเซินซวนเองก็สุดจะทนแล้วเช่นกัน เขาคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า

“ทั้งหมดเป็นเพราะแกคนเดียว! พ่อกับปู่เป็นอะไรงั้นเหรอ? ถ้าพวกฉันไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อกับปู่พวกแก แล้วพวกแกล่ะ? คู่ควรที่จะเป็นหลานชายกับหลานสาวของฉันไหม!! คิดอะไรตื้นๆปล่อยตัวไปตามอารมณ์จนทุกคนในตระกูลหัวต้องเดือดร้อนกันหมด! อีกฝ่ายมันแข็งแกร่งกว่าที่แกเห็นมาก! ครั้งนี้พวกเราเจอเสี้ยนใหญ่แล้ว!”

ประโยคชุดใหญ่ของคุณปู่ ทำเอาหัวเซียงชานและหัวเซียงซิ่วตกตะลึงอ้าปากค้างเติ่งอยู่ครู่ใหญ่ พวกเขาทั้งคู่ทำอะไรไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังจริงๆ

“หนูไม่อยากฟังแล้ว! พวกคุณไม่คู่ควรที่จะเป็นปู่กับพ่อของหนู!!”

หัวเซียงซิ่วทิ้งทวนด้วยวาจาแสนจี้ใจดดำ และหันหลังวิ่งออกไปทันที

ไม่ว่าหัวเซินซวนกับหัวฉีเฉินจะตะโกนเรียกยังไง เธอก็ไม่แม้แต่หันกลับมามอง