“ฝ่าบาท ได้โปรดส่งตัวนางมา!” ไป๋เซี่ยงกงพูดด้วยน้ำเสียงบีบบังคับ
มีไป๋เซี่ยงกงหนุนหลัง ความยโสโอหังของไป๋เซี่ยงไท่ก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น ถึงขั้นไม่เห็นเป่ยเหมินเวยอยู่ในสายตา
“ฝ่าบาท ข้าเห็นนางเข้าวังกับตาตัวเอง ฝ่าบาทได้โปรดอย่าปฏิเสธอีกเลย ส่งตัวนางมา แล้วพวกเราจะออกไปจากวัง ไม่รบกวนฝ่าบาทต้อนรับแขกอีก”
ไป๋เซี่ยงไท่พูดประโยคนี้จบ ก็ทำเป็นจะมองก็เหมือนไม่มองไปยังลู่เสวียนที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
“ข้าบอกแล้วว่าในวังไม่มีคนที่พวกเจ้าตามหาอยู่!” เป่ยเหมินเวยกัดฟันพูด
เขาโมโหเป็นอย่างมาก!
นึกไม่ถึงว่าจะกล้าใส่ร้ายเขาแบบนี้ วิ่งเข้ามาในวังของเขา แล้วจะเอาตัวนาง! จะเอาอะไร! เขาไม่ได้ซ่อนทาสสาวชั้นต่ำคนนั้นไว้ตั้งแต่แรก แล้วจะให้ได้อย่างไร
“ฝ่าบาทจะบอกว่าข้าตาฝาดไปอย่างนั้นรึ” ไป๋เซี่ยงไท่ท่าทางโอหัง ปฏิบัติต่อเป่ยเหมินเวยอย่างไม่ให้ความเคารพเลย
ไป๋เซี่ยงกงก็พูดเช่นกันว่า “ฝ่าบาท เพราะเหตุใดถึงต้องทำให้พวกเราตระกูลไป๋เซี่ยงต้องลำบากใจ”
ในคำพูดนี้มีความหมายอีกอย่าง ยิ่งทำให้เป่ยเหมินเวยไม่เข้าใจ ความโกรธในใจปะทุขึ้นเรื่อยๆ แม่งเอ้ยเขาไปทำให้ตระกูลไป๋เซี่ยงลำบากใจตอนไหน ตอนนี้ก็เห็นชัดๆ ว่าตระกูลไป๋เซี่ยงกำลังบีบบังคับเขา! ทำให้เขาลำบากใจ!
จะต้องให้ข้าสบถคำหยาบออกมาให้ได้เลยใช่ไหม!
มารดาเจ้าสิ!
“นั่น…” ลู่เสวียนพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น สายตาทั้งสามคู่ก็มองไปที่เขา
“อะไรรึ หยวนหวังคิดออกแล้วหรือ ยอมส่งตัวทาสสาวชั้นต่ำของท่านมา เพื่อไม่ให้มีเรื่อง ข้าจะแนะนำหยวนหวังเสียหน่อยว่าทาสสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การทำลายไมตรีระหว่างพวกเรา” ไป๋
เซี่ยงกงแสร้งยิ้มถาม
เขาพูดกับลู่เสวียนด้วยน้ำเสียง ‘สุภาพอ่อนโยน’ ยิ่งทำให้เป่ยเหมินเวยโกรธมากจนมือสั่น อวดดีเกินไปแล้ว! ไม่เห็นหัวของฮ่องเต้อย่างเขาเลยจริงๆ!
“ไม่ใช่ๆๆ ตอนนี้ทาสสาวของข้าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้แน่ชัด ข้าก็เป็นห่วงมากเช่นกัน พูดจริงๆ ข้าก็อยากจะเอาตัวนางจากพวกท่านตระกูลไป๋เซี่ยง เอาให้ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังไม่ได้เจอนางเลย และก็เชื่อว่าฝ่าบาทไม่มีทางเอาตัวนางไปซ่อน แล้วไม่บอกข้า” ลู่เสวียนอธิบาย
“ที่หยวนหวังพูดมา หมายความว่าอย่างไร” ไป๋เซี่ยงกงยิ้มเยาะ
ลู่เสวียนกะพริบตา “ข้าอยากจะบอกว่าแทนที่จะถกเถียงกันอยู่ตรงนี้ สู้ไปเรียกทหารที่เฝ้าประตูมาถามจะดีกว่า ว่าเมื่อครู่นี้มีผู้หญิงเข้าวังมาจริงหรือไม่ แล้วเป็นผู้ใด ทำให้การเข้าใจผิดมันกระจ่างก็พอแล้วนี่”
ทั้งสามคนเงียบไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เป่ยเหมินเวยถึงเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปเรียกทหารยามเฝ้าประตูมา”
ครู่เดียว ทหารก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้าพวกเขา เป่ยเหมินเวยถามอย่างตรงไปตรงมา “ก่อนที่ไป๋เซี่ยงไท่จะบุกเข้าวัง มีผู้หญิงเข้าวังมาหรือไม่”
เขาตั้งใจเน้นคำว่า ‘บุกเข้าวัง’ แล้วมองไปยังไป๋เซี่ยงกงและไป๋เซี่ยงไท่ แต่ทว่าท่าทางที่ไม่เข้าใจของทั้งสองคน กลับทำให้แววตาของเขาเยือกเย็นขึ้นมาทันที
“มีพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารตอบอย่างไม่ลังเล
“เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่านางอยู่ในวัง!” ไป๋เซี่ยงไท่รีบพูดขึ้นมาทันที
เป่ยเหมินเวยมองเขาอย่างเย็นชา กำลังจะถามต่อ ไป๋เซี่ยงกงที่อยู่ตรงนั้นกลับชิงถามก่อน “แล้วรู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด”
การที่ผู้น้อยทำแบบนี้ ทำให้เป่ยเหมินเวยบีบมือที่ซ่อนไว้อยู่ในแขนเสื้อแน่น
ทหารเหล่านั้นไม่ได้รีบตอบ แต่เงยหน้ามองเป่ยเหมินเวย
“พูดตามความจริง” เป่ยเหมินเวยพูดอย่างเย็นชา
“คือแม่นางเจวียนเอ๋อร์ นางกำนัลขององค์หญิงชิ่งชิ่ง”
“เป็นไปไม่ได้! เจวียนเอ๋อร์อะไรกัน เห็นชัดๆ อยู่ว่าเป็นทาสสาวคนนั้น” ไป๋เซี่ยงไท่รีบปฏิเสธ เขาเห็นอย่างชัดเจน แล้วจะเป็นคนอื่นไปได้อย่างไรกัน
“ก็คือแม่นางเจวียนเอ๋อร์ นางมักจะออกวังไปช่วยซื้อของให้องค์หญิงอยู่บ่อยๆ แล้วก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้วที่ออกวังไป เป็นธรรมดาที่พวกเราจะจำได้” ทหารชี้แจงข้อเท็จจริง
“เป็นไปไม่ได้!”
ในตอนที่สีหน้าของไป๋เซี่ยงกงมืดมัวลง ไป๋เซี่ยงไท่รีบพูดขึ้นมา “ข้ารู้แล้ว! เหวินเหรินชิ่งชิ่งกับนางเป็นเพื่อนกัน ตอนที่พวกนางไปสุสานโบราณก็ไปด้วยกัน ตอนนี้ต้องเป็นเหวินเหรินชิ่งชิ่งแน่นอนที่ปกป้องทาสสาวคนนั้นอยู่”
“ไป๋เซี่ยงไท่ ระวังคำพูดของเจ้าด้วย” เป่ยเหมินเวยพูดเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตอนนี้ไป๋เซี่ยงกงสงบลงเล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับยังคงแข็งกร้าว “ฝ่าบาท ให้พวกเราไปค้นดูที่ตำหนักองค์หญิงด้วยตัวเองได้หรือไม่”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” เป่ยเหมินเวยหรี่ตาทั้งสองข้าง ความชั่วร้ายปรากฏขึ้น “ห้องหญิงสาวตระกูลไป๋เซี่ยงของพวกเจ้า จะให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มาค้นดูตามอำเภอใจได้หรือไม่”
นี่ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวโยงกับชื่อเสียงที่ใสสะอาดขององค์หญิง แต่เป็นปัญหาที่ยิ่งเกี่ยวโยงกับศักดิ์ศรีของฮ่องเต้อย่างเขา
แต่ว่า ไป๋เซี่ยงกงกลับไม่ยอม ตีหน้าขรึมแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทอยากจะทำให้ความจริงกระจ่าง การค้นตำหนักขององค์หญิงเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าหากหานางไม่พบ พวกเราจะยอมรับผิดและขอประธานโทษองค์หญิงเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ไป๋เซี่ยงกง เจ้าจะค้นได้หรือไม่” ความเย็นชาที่ดุดันออกมาจากในแววตาของเป่ยเหมินเวย
ไป๋เซี่ยงกงสบตากับเขาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย “ไม่ค้นไม่ได้!”
สายตาของทั้งสองคน ปะทะกันกลางอากาศอย่างดุเดือด เกิดประกายไฟออกมา หลังจากนั้นชั่วครู่ เป่ยเหมินเวยก็ยิ้มออกมา “ได้ ข้าให้เจ้าค้น”
…
กลุ่มคนมุ่งไปยังสถานที่ที่เหวินเหรินชิ่งชิ่งพำนักอยู่
เห็นผู้คนที่จู่ๆ ก็บุกเข้ามา เหวินเหรินชิ่งชิ่งยืนขึ้นมาด้วยความแปลกใจ นางกำนัลในตำหนักของนางทั้งหมดก็ยืนอยู่ข้างหลังนางอย่างเป็นระเบียบ ก้มหน้ามองรองเท้าของตนเอง
“ฝ่าบาท นี่หมายความว่าอย่างไรเพคะ” เหวินเหรินชิ่งชิ่งขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมา
เป่ยเหมินเวยแสดงความไม่พอใจต่อคนตระกูลไป๋เซี่ยง แล้วพูดกับเหวินเหรินชิ่งชิ่งอย่างสุภาพอ่อนโยนว่า “ชิ่งชิ่ง ไม่ต้องกลัว พวกเขาเพียงแค่คิดว่าเจ้าให้ที่พักพิงแก่นักโทษ ให้พวกเขาค้นดู ถ้าหาไม่พบ ข้าจะให้พวกเขาชดใช้”
“นักโทษอย่างนั้นหรือ” เหวินเหรินชิ่งชิ่งส่งเสียงตกใจ มองซ้ายมองขวา “คนในตำหนักของข้า อยู่นี่หมดแล้ว มีนักโทษที่ไหนกัน”
“เหอะ นักโทษก็คือทาสสาวคนนั้นที่ไปฝึกฝนด้วยกันกับพวกท่าน!” ไป๋เซี่ยงไท่ยกมือขึ้นโบก คนของตระกูลไป๋เซี่ยงที่ตามมาเริ่มค้นดูทุกซอกทุกมุมในตำหนักของเหวินเหรินชิ่งชิ่ง ดูทุกที่ที่สามารถซ่อนตัวได้
“เจวียนเอ๋อร์คือใคร” ไป๋เซี่ยงกงพูดอย่างเย็นชา
‘เจวียนเอ๋อร์’ ที่ยืนอยู่ข้างหลังเหวินเหรินชิ่งชิ่งรีบก้าวออกมา แล้วถอนสายบัว “ข้าน้อยก็คือเจวียนเอ๋อร์”
“เงยหน้าขึ้นมา” ไป๋เซี่ยงกงออกคำสั่งอีกครั้ง
‘เจวียนเอ๋อร์’ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยสดงดงาม
“ไม่ใช่นาง! คนที่เข้าวังมาเมื่อกี้ไม่ใช่นางแต่แรกแล้ว” ไป๋เซี่ยงไท่รีบพูดขึ้นมา
“คือนาง! ก็คือนาง! พวกเราเห็นกันตั้งหลายคนนะพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่เฝ้าประตูวังรีบตอบ
“ไม่! ไม่ใช่!” ไป๋เซี่ยงไท่ดิ้นรนจนถึงที่สุด
“ก็คือนาง! ฝ่าบาท กระหม่อมกล้าเอาหัวเป็นประกันพ่ะย่ะค่ะ ว่าหญิงสาวที่เข้าวังมาเมื่อครู่นี้ก็คือนาง” เหล่าทหารต่างพากันสาบาน
ล้อกันเล่นรึ ถ้าหากว่าพวกเขาปล่อยให้ใครก็ไม่รู้เข้าวัง พวกเขาก็ต้องได้รับโทษใช่หรือไม่
พวกเขารู้สึกอึดอัดนิดหน่อย คนที่เข้าวังมาเมื่อครู่นี้ก็คือเจวียนเอ๋อร์ แล้วทำไมใต้เท้าไป๋เซี่ยงถึงบอกว่าไม่ใช่ล่ะ
“นายท่าน ท่านต้องเชื่อข้า คนที่เข้าวังมาเมื่อครู่นี้ไม่ใช่นางจริงๆ นะขอรับ! พวกเขาต้องสมรู้ร่วมคิดกันมาแล้วอย่างแน่นอน……”
“หุบปากซะ!” ไป๋เซี่ยงกงตะโกนเสียงดังด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้
ตอนนี้ สีหน้าของเป่ยเหมินเวยกลับดูดีขึ้นมาก
คนของตระกูลไป๋เซี่ยงที่เข้าไปค้นตำหนักขององค์หญิงต่างพากันกลับออกมา ทุกคนส่ายหัว “ข้างในไม่มีคนพ่ะย่ะค่ะ”
“ค้นดูทั่วแล้วรึยัง” ไป๋เซี่ยงกงถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ค้นดูทั่วแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนต่างพากันตอบ
ตอนนี้ สีหน้าของไป๋เซี่ยงไท่ดูแย่ที่สุด รองลงมาก็คือไป๋เซี่ยงกง
‘เจวียนเอ๋อร์’ ก้มหน้าก้มตา ขนตาที่งอนยาวปกปิดแววตาที่สดใสของนาง ท่าทางที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตน ก็ปกปิดรอยยิ้มของนางเช่นกัน