เพราะว่าหลินเฉี่ยนตั้งท้องอยู่เธอจึงไม่ได้เข้าบริษัทบ่อยนัก ทว่าด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิงท้องของตัวเอง เธอดูออกว่าหันซิวเช่อมีพิรุธบางอย่าง
“ฉันเห็นหันซิวเช่อเพิ่งออกมาจากห้องทำงานของคุณ คุณควรระวังเขาไว้บ้างนะคะ” หลินเฉี่ยนเอ่ยเตือน “อยู่ดีๆ เขาก็หายตัวไปและตามไปหาถังหนิงถึงที่อังกฤษ จากนั้นจู่ๆ ก็กลับมา การกระทำของเขามันน่าสงสัยอยู่นะคะ”
หลงเจี่ยคิดตามก่อนพยักหน้าให้ “ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยมีใครให้คุยด้วยน่ะ เลยได้คุยกับเขานิดหน่อย”
“ฉันรู้ว่าคุณกำลังลำบากในการทำให้บริษัทไปต่อได้และไม่มั่นใจในสถานการณ์ตอนนี้ของถังหนิงนะคะ”
“ในขณะที่เรากำลังมีประเด็นเรื่องนี้อยู่แต่หันซิวเช่อก็แนะนำให้ฉันเซ็นสัญญากับยัยถังหนิงตัวปลอม หม่าเวยเวย เขาบอกว่ามันจะสร้างกระแสให้เราได้! ”
“ตอนที่คุณเซ็นสัญญากับเขาตั้งแต่แรกฉันก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้ดูท่าแล้วเขาเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วยสินะคะ” หลินเฉี่ยนเอ่ยกับหลงเจี่ย “พี่หงเพิ่งทำงานแฟชั่นโชว์สำเร็จไป แล้วทั้งซิงหลานกับลัวเซิงก็ได้ย้ายไปอยู่กับไห่รุ่ย การที่คุณจะเซ็นสัญญากับศิลปินคนใหม่เพื่อมาถ่วงดุลกับหันซิวเช่อเลยยิ่งสำคัญนะคะ”
“ฉันจะหาทางเฟ้นหาคนใหม่เอง เธอดูแลตัวเองเถอะนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันคงจะรับผิดชอบไม่ไหวแน่!”
หลังจากได้ฟังคำเตือนของหลงเจี่ย หลินเฉี่ยนพยักหน้ารับเบาๆ “อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปนะคะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ปรึกษาฉันได้เลยนะ”
“ฉันรู้น่า” หลงเจี่ยเดินออกมาส่งหลินเฉี่ยนด้านนอกบริษัทและมองอีกฝ่ายก้าวขึ้นรถกลับบ้านไป ก่อนที่เธอจะเบาใจขึ้น
ตอนนี้จู้ซิงมีเดียไม่มีถังหนิงอยู่แล้ว และยังมีหม่าเวยเวยที่คอยกดหัวพวกเขาอยู่ หลงเจี่ยรู้สึกเครียดจนแทบหายใจไม่ทั่วท้อง…
…
เป็นจังหวะเดียวกับที่หม่าเวยเวยกำลังแต่งหน้าอยู่ในห้องรับรอง ขณะที่ผู้จัดการของเธอนั่งดูโทรศัพท์อยู่ข้างๆ
“เฮ้ เวยเวย มันก็นานแล้วนะตั้งแต่ที่เธอไปคุยกับหันซิวเช่อน่ะ เธอคิดว่าเขาพูดล้อเล่นกับเธอไหม”
“หมายถึงเรื่องที่เขาพยายามจะแย่งจู้ซิงมีเดียมาให้ฉันน่ะเหรอคะ” หม่าเวยเวยว่าขึ้น “ต่อให้ฉันได้จู้ซิงมีเดียมาตอนนี้ ฉันก็อาจจะไม่จำเป็นต้องรับมันหรอกค่ะ ดูสิ่งที่หลงมั่นทำหลังจากที่ถังหนิงไม่อยู่สิ”
“เธอเป็นคนฉลาดนะแต่ยังเก่งไม่พอ เธอต้องการใครสักคนนำทางให้เธอเพื่อให้ทำสำเร็จ”
“แล้วดูสภาพจู้ซิงมีเดียตอนนี้สิคะ ใครจะไปอยากเข้าสังกัดกัน”
“การที่คนอื่นอาจจะไม่อยากเข้าสังกัดนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก แต่เธอต่างออกไปนะ เพราะเธอมีความเกี่ยวพันกับถังหนิง เธอต้องการจู้ซิงมีเดีย ต้องเหยียบย่ำพวกเขาไม่ช้าก็เร็ว…”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้จัดการของตัวเองพูด เธอวางที่ดัดขนตาในมือลงก่อนครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“ตอนนี้ถังหนิงหลบอยู่ในอเมริกาด้วยความกลัวเกินกว่าจะสู้หน้าทุกคนได้ ต่อให้ฉันแย่งจู้ซิงมีเดียมาได้ตอนนี้ มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันพึงพอใจสักเท่าไหร่หรอกค่ะ”
“ถูกของเธอ ตอนนี้ถังหนิงไม่ได้อยู่ที่จีนแต่เธอต้องกลับมาในสักวันหนึ่งแน่! ” ผู้จัดการสนใจกับการได้ครอบครองจู้ซิงมีเดียเป็นอย่างมาก “ทำไมไม่ให้ฉันคุยกับนายน้อยหันสักหน่อยล่ะ”
“อยากไปก็ไปสิคะ! ”
เธอไม่ได้รั้งผู้จัดการเอาไว้ หลังจากแต่งหน้าเสร็จ เธอนั่งรออยู่กับที่อย่างเงียบๆ อย่างไรก็ตามงานแฟชั่นโชว์ของลัวอิงหงกำลังถ่ายทำอยู่ข้างๆ ตรงข้ามกับห้องรับรองของเธอ
หม่าเวยเวยไม่รู้เรื่องนี้จนกระทั่งทีมงานมาเรียกเธอและได้พบกับลัวอิงหงที่ก้าวออกมาจากประตูข้างๆ โดยบังเอิญ
“พี่หงใช่ไหมคะ ฉันได้ยินเรื่องของคุณมาเยอะเลยค่ะ ทำไมคุณถึงไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยล่ะคะ” เธอถามออกไปโต้งๆ
“เพราะฉันไม่ได้ต้องการยังไงล่ะ” ลัวอิงหงบอกกลับพร้อมรอยยิ้ม “แต่ฉันว่าเธออาจจะต้องจ้างเพิ่มสักหน่อยนะ ยังไงเธอเองก็เดินตามรอยของถังหนิง คงต้องสร้างศัตรูไว้มาก ฉันเกรงว่าเธอจะรับมือไม่ไหวน่ะสิ”
หม่าเวยเวยถึงกับหน้าชาก่อนจะเปลี่ยนเป็นแดง “พี่หงคะ ฉันนับถือคุณเป็นรุ่นพี่แต่ว่า…”
“ฉันได้ยินเรื่องที่เธอคุยกับผู้จัดการหมดแล้วล่ะ น่าเสียดายที่ผนังห้องมันไม่เก็บเสียงน่ะ” ลัวอิงหงยิ้มเยาะ “ถึงถังหนิงจะอยู่ต่างประเทศ คิดว่าความฝันที่จะเหยียบย่ำเธอมันไม่น่าตลกไปหน่อยเหรอ”
“ถังหนิงเป็นแค่ศิลปินตกกระป๋อง จะปกป้องเธอให้ได้อะไรขึ้นมาคะ คุณไม่รู้หรือยังไงว่าเวลามันผ่านไปแล้วน่ะ” ผู้จัดการของหม่าเวยเวยเอ่ยขณะที่บังศิลปินของเธอไว้ “ถังหนิงในตอนนี้ไม่คู่ควรแม้แต่จะมาถือรองเท้าให้เวยเวยด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ลัวอิงหงก็บุกเข้าไปหาหม่าเวยเวยก่อนคว้าคอเสื้อของอีกฝ่าย “เธอเองไม่ใช่เหรอที่โด่งดังขึ้นมาได้เพราะหน้าตาเหมือนถังหนิงน่ะ ถึงเธอจะปฏิเสธขนาดไหน ฉันก็มั่นใจว่าเธอได้โอกาสจากหน้าตาที่เหมือนกันไปไม่น้อยเลยล่ะ
“ไม่ว่าตอนนี้เธอจะดังและมีคนชื่นชอบมากแค่ไหนก็ไม่มีทางลบความจริงที่เธอเกาะถังหนิงได้หรอกนะ
“ฉะนั้นต่อให้ถังหนิงไม่ดังอีกต่อไปแล้ว คนอื่นก็อาจจะมีสิทธิ์เหยียดหยามเธอได้ แต่ไม่ใช่สำหรับเธอ!” ลัวอิงหงว่าเข้าให้พร้อมผลักอีกฝ่ายออกไป
“จำสิ่งที่ฉันพูดวันนี้เอาไว้ให้ดี อย่าเหิมเกริมให้มันมากเกินไปนัก”
หม่าเวยเวยกำหมัดแน่น เห็นชัดว่าเธอหมดความอดทนเสียแล้ว
อย่างไรเสียทุกคำของลัวอิงหงก็ได้แทงใจดำเธอเข้าอย่างจัง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่โกรธ
หลังลัวอิงหงจากไป เธอหันไปบอกกับผู้จัดการ “เธอไม่ได้บอกเหรอว่าจะไปคุยกับหันซิวเช่อเรื่องที่เขากำลังจะแย่งจู้ซิงมีเดียมาน่ะ”
“เวยเวย อย่าโกรธไปเลย ฉันจะไปคุยกับเขาเดี๋ยวนี้ล่ะ” ผู้จัดการตอบกลับทันที
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลัวอิงหงพูด หม่าเวยเวยเหมือนกับสิ่งมีชีวิตงุ่นง่านที่กำลังถูกดึงหางเอาไว้
“ยัยแก่ ฉันจะทำให้แกเห็นว่าถังหนิงไร้ค่าขนาดไหน สุดท้ายคนทั้งปักกิ่งจะต้องจดจำเพียงแค่ฉัน หม่าเวยเวย เท่านั้น!
“คอยดูไปเถอะ! ”
…
ด้วยเหตุนี้หันซิวเช่อจึงต้องแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้รับการติดต่อมาจากผู้จัดการของหม่าเวยเวย
“ผมคิดว่าเวยเวยจะไม่สนใจซะอีก”
“เธอไม่สนใจจนกระทั่งโดนหนึ่งในศิลปินของจู้ซิงมีเดียหยามหน้านั้นแหละ” ผู้จัดการตอบ “แล้วนายน้อยหันรับปากว่าในสิ่งที่คุณจะทำได้ไหมคะ แล้วคุณจะลงมือเมื่อไหร่”
“เร็วๆ นี้แหละครับ! รอฟังข่าวดีได้เลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบเข้านะคะ…”
ก่อนหน้านี้พวกเธออาจไม่ได้รีบร้อน หากแต่ตอนนี้เริ่มรอไม่ไหวด้วยนึกติดใจในรสชาติของอำนาจ และรู้ซึ้งถึงความโกรธแค้นจากการถูกกดขี่ข่มเหงเสียแล้ว
มาถึงจุดนี้ หันซิวเช่อคอยเฝ้าระวังหลินเฉี่ยนเพราะความเป็นคนช่างสังเกตของเธอ ดังนั้นเขาจะรอจนกว่าเธอจะเข้าสู่การตั้งท้องระยะสุดท้ายและมีหลงเจี่ยอยู่เพียงคนเดียว
เขารู้ว่าหลินเฉี่ยนมองเขาในแง่ร้าย แต่ไม่ต้องการไปลองดีกับภรรยาของนายพลใหญ่ หลี่จิ่นไม่ใช่คนที่เขาจะรับมือได้
เขาจึงได้แต่รอเวลาที่เหมาะสม
หลินเฉี่ยนแวะเข้ามาที่บริษัทน้อยลงมากและไม่ค่อยได้พูดคุยกับหลงเจี่ย เขาจึงเชื่อว่าหลงเจี่ยคงจะอกแตกตายในไม่ช้า
ยิ่งเธอพยายามผลิตผลงานออกมามากเท่าไรก็ยิ่งไม่สามารถทำมันให้สำเร็จได้
หลงเจี่ยผู้สิ้นหวังเที่ยวเฟ้นหาศิลปินมาเซ็นสัญญาไปทั่ว
หากแต่เมื่อไร้ถังหนิง ใครจะอยากเข้าสังกัดจู้ซิงมีเดียกัน
วันคืนอันรุ่งโรจน์ของจู้ซิงมีเดียได้จบลงเสียแล้ว…
หันซิวเช่อจึงเอ่ยแนะนำกับเธอ “หลงเจี่ยผมรู้ว่าคุณมีแผนปั้นดาราดาวรุ่งอยู่ ผมสนิทกับศิลปินใหม่บางคนอยู่บ้าง อยากให้ผมแนะนำพวกเขาให้กับคุณไหมครับ”