โอสถเต๋าตรัสรู้และโอสถปรับแต่งจิตวิญญาณ!

 

“หวางหรู เจ้ากำลังคิดถึงเขาอยู่กระมัง?”

หงหยิงอดใจกล่าวหยอกมิได้ เมื่อเห็นเหลียงหวางหรูเหมอลอยเป็นครั้งที่ร้อยของวัน

ใบหน้างามสวยประดุจหยกขาวของเหลียงหวางหรูเห่อแดงขึ้นทันที นางก้มศีรษะหลบหน้าลงอย่างเขินอาย

 

หงหยิงอดหัวเราะอย่างรักใคร่มิได้พลางกล่าวขึ้นว่า

“เจ้าคิดถึงเขาเช่นนี้ หาใช่เรื่องน่าอายอันใด? อัจฉริยะอย่างนายท่านเย่ มีหญิงใดไม่ชอบพอบ้าง? อันที่จริงแล้ว หงหยิงคนนี้เองก็ชอบเขามิใช่น้อย แต่ช่างน่าเสียดาย หงหยิงหาได้มีชะตาต้องกับเขา และทราบดีว่าอีกฝ่ายมิได้คิดเช่นนั้นกับข้า”

 

หงหยิงตระหนักชัดตั้งแต่แรกแล้วว่า ตราบใดที่เย่หยวนสามารถซ่อมแซ่มทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาจะผงาดขึ้นฟ้าอีกครั้งในไม่ช้าก็เร็ว

หรือแม้ว่าเขาจะไม่สามารถซ่อมแซมทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ได้อีกเลยชั่วชีวิต แต่เพียงอาศัยฝีมือในการหลอมกลั่นโอสถ ไม่ว่าอยู่ที่ใดเขาก็ยังมีค่าประดุจทองคำ!

การที่ประมุขหอมหาสมบัติถึงขั้นส่งหลัวเจียออกไปเพื่อคุ้มกันเย่หยวนโดยเฉพาะ นี่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดในตัวเขา ที่ควรค่าแก่การดูแลรักษาเยี่ยงชีวิต

 

เหลียงหวางหรูสนใจอย่างมากเมื่อได้ฟังแบบนั้น ก่อนเงยมองหงหยิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หงหยิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นางกล่าวประดับคู่รอยยิ้มอันขมขื่นว่า

“ข้ามิได้ล้อเจ้าเล่น! ไม่เพียงพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถของนายท่านเย่เท่านั้น แต่เขายังเป็นคนมีคุณธรรมสูงส่งและมากสัจจะ มิเช่นนั้นเขาจะยอมถึงขั้นบุกเข้าตระกูลหวังเพื่อขอร้องให้ช่วยเหลือเจ้าได้อย่างไร? แต่ช่างน่าเศร้า ข้ากับเขาถูกลิขิตให้อยู่ห่างดั่งคนละโลก”

 

เมื่อเหลียงหวางหรูได้ฟังแบบนั้น พลอยรู้สึกเศร้าตามไปด้วย

ไม่เพียงนางจะเป็นใบ้เท่านั้น แต่นางยังเป็นแค่มนุษย์ หาใช่เซียนหรือนักสู้ผู้ฝึกตน

หากกล่าวถึงวิถีชีวิตที่ห่างกันคนละโลก นางคงไม่ยิ่งกว่าอีกรึ?

 

ในเวลานั้นเอง เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นจากด้านนอก หงหยิงรับหน้าที่ออกไปเปิดประตู ก่อนจำต้องปากกว้างด้วยความตกตะลึงสุดขีด บุคคลที่มาหามิใช่ใครอื่นนอกจากเย่หยวน!

 

“นายท่านเย่ ท่านออกจากการเก็บตัวแล้ว! อ๊ะ! ท่าน…ท่าน…ท่านฟื้นความแข็งแกร่งกลับมาได้แล้ว?!”

ริมฝีปากงามอันอวบอิ่มของหงหยิงถึงขั้นอ้าค้างเติ่งไม่หุบ นางยืนแข็งทื่อตื่นตะลึงอยู่นาน

แน่นอน เพราะในที่แห่งนี้ไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวได้

นั่นหมายความว่า….

 

เย่หยวนกล่าวอย่างยิ้มแย้มตอบ

“ถูกต้อง สิบปีแห่งความขมขื่นได้จบลงแล้ว ในที่สุดข้าก็ประสบความสำเร็จ! หลายปีที่ผ่านมา เย่คนนี้ต้องขอบพระคุณท่านอย่างยิ่งที่ช่วยดูแลและอยู่เคียงข้างแม่นางหวางหรูเสมอมา”

หัวใจดวงน้อยๆของหงหยิงสั่นระรัวด้วยความดีใจ สายตาของนางที่จับจ้องเย่หยวนในยามนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส

 

ได้ยินแบบนั้น นางเร่งโบกมือปัดและกล่าวว่า

“นายท่านเย่กล่าวอันใดเช่นนั้น? ข้ากับหวางหรูกลายมาเป็นสหายสนิทยิ่งกว่าอะไร หลายปีมานี้พวกเราแลกเปลี่ยนเรื่องราวมากมายให้แก่กัน นางเป็นหญิงสาวที่เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตา เอาซะข้าดูแย่ไปเลย!”

 

เหลียงหวางหรูที่เห็นว่าเป็นเย่หยวน ยามนี้นางรีบโพล่งลุกขึ้นและตรงเข้าหาเย่หยวนพร้อมท่าทางแสนสุขใจ

เมื่อเย่หยวนเห็นดังนั้น เขาก็อดรู้สึกผิดต่อนางมิได้และกล่าวว่า

“แม่นางหวางหรู หลายปีที่ผ่านมา เย่คนนี้เอาแต่เก็บตัวสันโดษ ปล่อยเจ้าทิ้งไว้เบื้องหลัง ขอโทษด้วยจริงๆ!”

สีหน้าของเหลียงหวางหรูยังคงยิ้มแย้มไม่คลายอ่อน นางส่ายหัวตอบเชิงบอกว่า หาใช่เรื่องติดใจอันใดไม่

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“แต่ออกมาจากการเก็บตัวครั้งนี้กลับไม่เสียเปล่า ข้ายังนำข่าวดีมาให้ท่าน!”

เหลียงหวางหรูที่ได้ยินแบบนั้น พลันหันไปสบตากับหงหยิงด้วยความสงสัย

เย่หยวนไม่ปล่อยให้นางแขวนค้างยืนงง ก่อนหยินโอสถทั้งสองเม็ดออกมาทันที

 

สายตาของหงหยินที่จับจ้องถึงกับแปรเปลี่ยนในบัดดล นางโพล่งอุทานลั่นด้วยความตะลึงว่า

“นายท่านเย่ หรือนี่…นี่คือโอสถเต๋าตรัสรู้!?”

 

เย่หยวนกล่าวตอบอย่างค่อนข้างแปลกใจว่า

“ท่านเองก็รู้จักโอสถเต๋าตรัสรู้ด้วยรึ?”

เพราะโอสถทั้งสองชนิดนี้หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีโอกาสได้เห็น

ต่อให้เป็นหอมหาสมบัติ ก็ไม่มีโอสถชนิดนี้วางจำหน่ายทั่วไป

เพราะไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นมันขึ้นมาได้

เย่หยวนจึงคาดไม่ถึงว่า หงหยิงจะรู้จักโอสถสองชนิดในมือเขาจริงๆ

 

“มันคือโอสถเต๋าตรัสรู้จริงๆด้วย! เมื่อสามสิบปีก่อน ท่านประมุขหอเคยได้รับโอสถชนิดนี้มาจจากเบื้องบนอีกที เป็นบุญตาที่หงหยิงคนนี้มีโอกาสได้เห็น แต่ไม่คิดเลยว่า หลังจากตอนนั้นเป็นเวลาหลายสิบปี ข้าได้เห็นอีกครั้งต่อหน้าต่อตา! นายท่านเย่หลอมกลั่นเองกับมือจริงๆรึ?”

หงหยิงกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“หากข้ามิได้หลอมกลั่นขึ้นมาเอง มันคงร่วงลงจากท้องฟ้ากระมัง?”

 

หงหยิงทราบดีว่าไรเป็นอะไร แต่นางก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาอยู่ดี โอสถเต๋าตรัสรู้หลอมกลั่นยากเย็นเพียงใดย่อมตระหนักทราบ ในบรรดานักหลอมโอสถทั้งหมดในเมืองกุยฉาง ไม่มีใครสามารถหลอมกลั่นได้สักคน

 

นางไม่คิดไม่ฝัน เย่หยวนจะหลอมกลั่นได้จริงๆ

 

“ข้า…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”

หงหยิงตระหนักได้ทันที นางกล่าวผิดไปและรีบกล่าวอธิบาย

 

เย่หยวนกล่าวตอบพลางหัวเราะเล็กน้อย

“ฮ่าฮ่า ข้าหลอกเล่น ท่านอย่าถือเลย”

 

 

หงหยิงที่ได้ยินเช่นนั้นพลางโล่งอก ก่อนเอ่ยถามขึ้นต่อว่า

“นายท่าน แต่คุณภาพโอสถเต๋าตรัสรู้เม็ดนี้เหนือกว่าเม็ดก่อนหน้าที่ข้าเคยเห็นโดยสิ้นเชิง! โอ้ใช่แล้ว! อันนี้คือโอสถเต๋าตรัสรู้ ส่วนอันนั้น…ควรจะเป็นโอสถปรับแต่งจิตวิญญาณ?”

 

เย่หยวนพยักหน้ากล่าวตอบว่า

“แม่นางหงหยินฉลาดนัก! ถูกต้องนี่คือโอสถปรับแต่งจิตวิญญาณ!”

ได้ยินเช่นนั้นหงหยินอดนึกย้อนกลับไปมิได้ ถึงคำกล่าวของเย่หยวนที่เคยลั่นไว้กับตระกูลหวัง

นางคิดไม่ถึง เขาจะสามารถทำได้ดั่งปากว่าไว้จริงๆ!

จากที่วินิจฉัยโดยละเอียด ที่เหลียงหวางหรูพูดไม่ได้ สืบเนื่องมาจากร่างกายของนางขาดเต๋าบางส่วนไป

ซึ่งหากต้องการซ่อมแซมเต๋าที่บกพร่องให้สมบูรณ์อีกครั้ง จำต้องใช้โอสถปรับแต่งจิตวิญญาณ

และผลของโอสถเต๋าตรัสรู้เม็ดนี้จะช่วยให้เหลียงหวางหรูทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้โดยตรง!

 

ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ สำหรับคนที่ต้องการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า คนๆนั้นจำต้องบ่มเพาะให้ขอบเขตจิตใจบรรลุไปถึงอาณาจักรคนฟ้ารวมเป็นหนึ่งขั้นสมบูรณ์

และการจะขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าขนานแท้ ยังต้องมีสามปัจจัยหลักที่มิอาจขาดตกได้ พลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณ

 

แต่ผู้คนบนมหาพิภพถงเทียนสามารถทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้โดยใช้โอสถ

ดังนั้นการใช้โอสถเพื่อขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้า จึงไม่นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใดสำหรับมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้

เว้นเสียว่า ความยากในการหลอมกลั่นโอสถเต๋าตรัสรู้ กลับมิใช่สิ่งที่จอมเทพโอสถหนึ่วดาวโดยทั่วจะไปสามารถทำได้

ถึงจะหลอมกลั่นได้สำเร็จสักเม็ด ราคาของโอสถชนิดนี้ยังสูงลิบลิ่ว และหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจับจ่ายซื้อมาได้

 

ในตอนนั้นเย่หยวนเคยลั่นวาจากล่าวกับหวังหลิงโปไปว่า ไม่เพียงเขาจะถอนพิษขนวิหคพันราตรีเท่านั้น แต่เขายังจะช่วยทำให้เหลียงหวางหรูขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าอีกด้วย!

และตอนนี้มันก็เกิดขึ้นจริงแล้ว!

 

หากหวังหลินโปทราบเรื่องนี้เขา อยากจะรู้เสียว่าจะเผยสีหน้าแบบใดออกมา?

 

 

 

…………………….

 

 

 

ค่ำคืนกลางห้วงราตรี เงาสีทมิฬเคลื่อนทะยานเหินผ่านน่านฟ้ารัตติดกาล ตรงเข้าสู่ตระกูลหวัง

เบื้องหน้าหวังหลินโป ปรากฏเป็นนักสู้ชุดคลุมดำที่ตรงเข้ามารายงานสถานการณ์

สำหรับการปรากฏตัวของนักสู้ชุดคลุมดำในยามราตรีแบบนี้ หวังหลิงโปหาได้ตกใจไม่

 

“เจ้ามาก็ดี ฝั่งหอมหาสมบัติมีการเคลื่อนไหวอะไรใหม่ๆหรือไม่?”

หวังหลินโปเอ่ยปากกล่าวถามอย่างใจเย็น

 

นักสู้ชุดคลุมดำปิดบังใบหน้ามิดชิด ไม่สามารถมองผ่านอ่านลักษณะใบหน้าได้เลย

 

“เย่หยวนออกจากการเก็บตัวแล้ว!”

นักสู้ชุดคลุมดำกล่าวตอบ

 

หวังหลินโปกระตุกคิ้ว พลางคลี่ยิ้มแปลกๆขึ้นบนมุมปากก่อนกล่าวด้วยสีหน้าแสนรังเกียจว่า

“ในที่สุด ไอ้พิการนั้นก็ออกมาเสียที! ความอัปยศอดสูที่ตระกูลหกวังต้องแบกรับตลอดสิบปี ยามนี้ข้าจะชะล้างให้สิ้นซาก!”

 

“เหอะ แต่ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาเองก็ฟื้นกลับเป็นปกติแล้ว!”

 

ทั่วทั้งรางกายของหวังหลิงโปสั่นสะท้านหนัก สายตามุ่งจับจ้องนักสู้ชุดคลุมดำอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ข่าวนี้คล้ายสายฟ้าฟาดอัดศีรษะของเขาเต็มแรง

 

“มันหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวได้จริงๆ! นี่…นี่เป็นไปไม่ได้!”

หวังหลินโปคำรามลั่นด้วยความโมโห

 

นักสู้ชุดคลุมดำกล่าวพร้อมสายตาขมวดจริงจัง

“เราชายชราคนนี้จำต้องโกหกเจ้า? ไม่เพียงหลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวได้เท่านั้น กระทั้งโอสถปรับแต่งจิตวิญญาณและโอสถเต๋าตรัสรู้ เขาเองก็สามารถหลอมกลั่นขึ้นได้! เจ้าเริ่มรู้สึก…ร้อนๆที่หน้าบ้างรึยัง?”

 

ดวงตาหวังหลินโปแทบถลนออกมา ใบหน้าของมันร้อนผาวขึ้นแล้วจริงๆ

สิบปีก่อนเย่หยวนลั่นวาจาอะไรไว้ หวังหลินโปจดจำได้ดี ครั้งนี้ราวกับมันถูกตบหน้าฉะใหญ่!

หลังจากนั้นไม่นาน เขาค่อยๆสูดหายใจเช้าลึกๆดึงสติกลับมา ก่อนกล่าวจับนักสู้ชุดคลุมดำต่อว่า

“มิใช่ที่เจ้ามาในวันนี้ มาเพื่อเยาะเย้ยข้าอย่างเดียวกระมัง?”

 

นักสู้ชุดคลุมดำหัวเราะขื่นและกล่าวว่า

“ไม่ใช่แค่นี้แน่นอน เย่หยวนต้องการไปยังสุสานสายลมหยิน!”