บทที่ 431 เชื่อไม่ได้

บทที่ 431 เชื่อไม่ได้

หลังจากได้ยินชายหัวโล้นพูดข่มขู่ หวังเหยียนก็ระเบิดหัวเราะ

“แน่ใจเหรอว่าแกจะสั่งสอนฉัน?”

ท่ามกลางแก๊งที่มีอิทธิพลใต้ดินในเมืองฮ่วยอัน ไม่มีใครสามารถต่อกรกับเขาได้เลย!

ดังนั้นแก๊งพยัคฆ์เวหาของพวกเขาคือแก๊งที่แข็งแกร่งที่สุด!

ดูเหมือนว่าจะมีบางคนฝันเฟื่องซะแล้ว ทันทีที่เขาพูดจบ รถสีดำหลายคันก็แล่นมาจอดตามสองข้างทางอย่างรวดเร็ว!

“ลูกพี่! โอเคไหมครับ!”

“ลูกพี่! ไอ้สมองเต่าพวกนี้มันเป็นใคร?”

“…”

ทันทีที่รถยนต์กว่าสิบคันจอดสนิท เหล่าชายฉกรรจ์ก็กรูกันลงมาจากรถ! พวกเขาตะโกนถามลูกพี่ขณะวิ่งไปล้อมศัตรูนับสิบคนเอาไว้!

เมื่อเห็นอย่างนั้น หวังเหยียนก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้

หลังจากพบว่ามีสิ่งผิดปกติ เขาก็โทรเรียกลูกน้องมารวมตัวกันที่นี่ทันที

“ฝั่งแกมีคนเยอะกว่าใช่ไหม? แน่ใจเหรอ?”

ตอนนี้เขาอดมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย้ยหยันไม่ได้

ชายหัวโล้นมองตกตะลึงเมื่อเห็นอย่างนั้น เหล่าชายฉกรรจ์ที่เพิ่งมาถึงดูแข็งแกร่งและน่ากลัวอย่างมาก แน่นอนว่าพวกนั้นไม่ใช่คนดีแน่!

ตอนนี้…ดูเหมือนว่าเขาจะทำให้ผู้มีอิทธิพลขุ่นเคืองใจซะแล้ว!

“แก…แกเป็นใคร?”

เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ตอนนี้เหล่าลูกน้องที่เขาพามาด้วยถูกล้อมไว้เช่นกัน

“ฉันให้เวลาแกสิบวินาที ไสหัวไปซะ!”

หวังเหยียนไม่สนใจคำถามของอีกฝ่าย เขาเพียงแค่ยืนมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยเมยและปล่อยให้เม็ดฝนไหลลงมาตามพวงแก้มทั้งสอง

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในแก๊งใต้ดินมานานหลายปี สำหรับเขา เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น…

“ฉันบอกแกแล้วไง! พวกเราไม่ใช่คนที่แกจะจัดการได้ง่าย ๆ!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจ ชายหัวโล้นก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ขณะที่ใบหน้ามืดมนกว่าเดิม

“แปดวินาที!”

หวังเหยียนไม่สนใจคนตรงหน้า เขายังคงนับถอยหลังต่อไป

สมาชิกของแก๊งพยัคฆ์เมฆารอบตัวเขาต่างดึงมีดยาวออกมา ท่าทางของพวกเขาน่ากลัวเป็นอย่างมาก!

ทันทีที่ลูกพี่ของพวกเขาออกคำสั่ง คนเหล่านี้จะต้องเจอกับชะตากรรมที่น่าสมเพช!

ชายหัวโล้นเห็นว่าสถานการณ์ฝั่งตัวเองไม่สู้ดีจึงคิดจะสงบศึก

“ปล่อยพวกเราไปแล้วฉันจะปล่อยตัวนังผู้หญิง ตกลงไหม?”

“ห้าวินาที!”

“แกต้องการอะไร? ฉันก็แค่ทำตามคำสั่งลูกพี่ แกอย่าเลือดเย็นไปหน่อยเลย!”

“สามวินาที!”

“ฉัน…”

“วินาทีสุดท้าย! เตรียมตัวซะ…”

สายตาของหวังเหยียนเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

แต่ในที่สุด ชายหัวโล้นก็ต้านทานความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายไม่ไหว

“โอเค! โอเค…เรายอมแล้ว…ไว้ชีวิตเรา…ไว้ชีวิตพวกเราเถอะ…”

ความกลัวในจิตใจของเขาพุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดจำกัด ท่าทางของอีกฝ่ายน่ากลัวเกินไป!

วินาทีต่อมา ซูหว่านเอ๋อที่ร่างกายเปียกโชกและตัวสั่นเทาก็ถูกผลักออกไปข้างหน้าทันที

ซูหว่านเอ๋อมองชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางที่ยืนอยู่ตรงข้ามด้วยสายตาว่างเปล่า เธอไม่รู้จักเขาเลย…

เธออดตื่นตระหนกกว่าเดิมไม่ได้ นี่เรียกว่าหนีเสือปะจระเข้ใช่ไหมเนี่ย?!

ผู้ชายตรงหน้าและลูกน้องของเขาดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลย กลุ่มคนในตอนแรกว่าน่ากลัวแล้ว ชายตรงหน้าและลูกน้องน่ากลัวกว่ามาก

แต่ทันใดนั้น ประตูรถเมอร์เซเดสเบนซ์ข้างหลังหวังเหยียนก็ถูกเปิดออก!

หรี่หรงรีบลงจากรถอย่างรวดเร็ว

“หว่านเอ๋อใช่ไหม พวกเรามาช่วยเธอแล้ว!”

ขณะพูด เธอก็วิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหาซูหว่านเอ๋อแล้วกุมมืออีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลม

แต่ทันทีที่แตะมือของอีกฝ่าย เธอก็ต้องสะดุ้งโหยง

มือนี้…เย็นเกินไปแล้ว…

ดูเหมือนว่าฝนที่ตกลงมาคือสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของหญิงสาวตรงหน้าเย็นเยียบ

“เอาล่ะ เราขึ้นรถกันเถอะ!”

เมื่อรู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่สู้ดี เธอจึงดึงอีกฝ่ายขึ้นไปบนรถเมอร์เซเดสเบนซ์ทันที

ทันใดนั้นเสียงฝนที่กระหน่ำลงมาก็เงียบลง

“เช็ดตัวก่อนเถอะ ปล่อยไว้อย่างนี้จะไม่สบายเอาได้”

หลี่หรงยื่นผ้าขนหนูแห้งให้อีกฝ่ายพร้อมพูดด้วยสีหน้าวิตกกังวล เธอลืมไปแล้วว่าเธอเคยอิจฉาอีกฝ่ายมากแค่ไหน

ด้วยรูปลักษณ์อันบอบบางของหญิงสาวตรงหน้า แม้ว่าหลี่หรงจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่เธอก็อดเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้

“อ…อืม ขอบคุณนะคะ…”

ในที่สุดซูหว่านเอ๋อก็รู้สึกถึงความอบอุ่น ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำฉายแววซาบซึ้งใจ

“ฉัน…ฉันรบกวนคุณเกินไปแล้ว”

“คุณพูดอะไร! คุณเป็นเพื่อนกับพี่เขย งั้น…”

หลี่หรงพูดตรงไปตรงมา แต่จู่ ๆ เธอก็นึกถึงตอนที่ตัวเองอารมณ์เสียและไล่อีกฝ่ายออกไปจากบ้าน

“…คุณก็ถือว่าเป็นเพื่อนฉันด้วย ช่างมันเถอะ ปกติฉันไม่ได้อารมณ์ร้ายแบบนั้นจริง ๆ นะ”

พูดจบ เธอรีบหยิบผ้าแห้งขึ้นเช็ดตัวอีกฝ่ายก่อนอธิบายต่อ

“ครั้งที่แล้วจู่ ๆ พี่เขยก็พาผู้คนหญิงที่ไหนไม่รู้มาที่บ้าน ฉันเลย…”

“ม…ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจค่ะ”

แม้ซูหว่านเอ๋อจะพูดไม่เก่ง แต่ก็มีจิตใจดี เธอรีบโบกมืออย่างไม่ใส่ใจเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องที่ผ่านมาแล้ว

แน่นอนว่าเธอเข้าใจเรื่องนี้ดี

ด้านนอกรถ

สายลมพัดผ่านฝนที่กำลังตกหนัก ชายหัวโล้นและลูกน้องนับสิบคนล้วนเปียกโชก

แต่ไม่มีใครกล้าขยับแม้แต่ก้าวเดียว

ชายฉกรรจ์กว่าสิบคนมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาน่ากลัวราวกับหมาป่ารอขย้ำเหยื่อ

“อ…ไอ้น้อง เราจะปล่อยแกไป ก…แกปล่อยพวกเราไปเถอะนะ”

หลังจากปล่อยตัวหญิงสาว ชายหัวโล้นก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ถอนกำลังออกไป ในที่สุดเขาก็ทนต่อความหวาดหวั่นไม่ไหวจึงอ้อนวอนขอชีวิตด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

สายตาของหวังเหยียนยังคงไร้อารมณ์ แน่นอนว่าเขาปล่อยคนพวกนี้ไปไม่ได้!

เขาจะต้องปกป้องผู้หญิงของลูกพี่อวี้ให้ดีที่สุด ดังนั้นจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปง่าย ๆ ได้ยังไง?!

เมื่อคิดอย่างนั้น เขาก็อดแค่นเสียงอย่างเย็นชาไม่ได้

“ฮึ! อยากให้ปล่อยไป? น่าเสียดายที่ฉันปล่อยแกไปไม่ได้! จับพวกมันมาให้ฉัน!”

พูดจบ เขาก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้องทันที

เมื่อชายหัวโล้นเห็นอย่างนั้น เขาก็ตกตะลึงอย่างมาก

“แก…แกโกหก! ฉันปล่อยนังผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว! แกทำอย่างนี้ได้ยังไง?”

“ฉันโกหก? ฮ่า ๆ”

หลังจากได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย หวังเหยียนก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้

“ถ้าฉันโกหก แกคงตายไปนานแล้ว”

เขามองอีกฝ่ายชั่วครู่ก่อนหันหลังกลับแล้วเดินไปขึ้นรถ

“เฮ้อ ฝนตกแบบนี้น่ารำคาญจริง ๆ”

หลังจากขึ้นรถ ท่าทางของหวังเหยียนก็อ่อนโยนลงทันที

“หือ? ฉันเก็บผ้าเช็ดตัวไว้ที่ไหนนะ?”

เขาเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัวสองผืนที่เตรียมไว้ แต่พบว่ามันหายไปแล้ว เขาจึงพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“ฉัน…ฉันหยิบมาใช้น่ะค่ะ…”

หลังจากซูหว่านเอ๋อได้ยินอย่างนั้น ร่างกายของเธอก็สั่นเทา ขณะมองกะพริบตามองอีกฝ่ายก่อนขยับถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

รูปลักษณ์ที่น่ากลัวของชายวัยกลางคนทำให้เธอหวาดหวั่นอย่างมาก

“เอ่อ… ไม่เป็นไรครับ เช็ดตัวให้แห้งเถอะ ผมเปียกแบบนี้ไม่เป็นไรหรอกครับ

หวังเหยียนรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ความจริงแล้วเขาเป็นคนดีมาก

ถ้าเขาทำให้ผู้หญิงของลูกพี่กลัวละก็…ไม่กล้าคิดเกี่ยวกับผลที่ตามมาจริง ๆ

“ไปกันเถอะ ไปโรงพยาบาลก่อนก็แล้วกัน ตากฝนนานขนาดนี้ เธอต้องไม่สบายแน่เลย”

หลี่หรงโพล่งขึ้น เธอเป็นห่วงสุขภาพของผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างจริง ๆ เพราะถึงเธอจะจับมืออีกฝ่ายเพื่อเพิ่มความอบอุ่น แต่มือของซูหว่านเอ๋อยังคงเย็นเยียบและสั่นเทาไม่หยุด