สวนดอกไม้ทิศใต้ของตำหนักหมิงซิ่งเมื่อถึงเดือนห้า สถานที่ที่งดงามที่สุดก็คือทุ่งดอกไม้ริมทะเลสาบเหอเกอ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีทิวทัศน์งดงามเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันอย่างที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผา แต่ในทุ่งดอกไม้นี้กลับเต็มไปด้วยดอกเสาเย่า[1]หลากสี แต่ละดอกมีขนาดใหญ่โต กลีบเป็นประกายโปร่งใสและมีกลิ่นหอม ถือว่าเป็นความงามที่น่าดูอีกอย่างหนึ่ง
จื่อซีรีบสาวเท้าเดินไปยังด้านนอกทุ่งดอกไม้นั้นด้วยอารมณ์หุนหันที่ยากจะเข้าใจ ทันใดนั้นพลันหยุดฝีเท้าลง
เสียงเพลงจากใบไม้เป็นทำนองสูงต่ำ ที่นางได้ยินในจวนจูเซวียนอวี้หยางครั้งที่ดังมาเบาๆ ทำนองดังขาดๆ หายๆ นางมองเข้าไปในทุ่งดอกไม้ผ่านใบไม้สีเขียวหนาทึบ เซ่าอี๋กำลังนอนราบท่ามกลางทุ่งดอกไม้และเป่าใบไม้อย่างเชื่องช้า กลีบดอกไม้ร่วงเต็มร่างเขา ปกเสื้อเปิดออกเล็กน้อยจนเผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าที่งดงามกับรอยเล็บมือข่วนบนนั้น
ภาพความงดงามที่ดูยุ่งเหยิงนี้ทำให้นางต้องกลั้นหายใจ
เซ่าอี๋กลอกตามองไปยังจื่อซีที่ยืนอยู่ด้านนอกทุ่งดอกไม้แล้วหรี่ตาลงน้อยๆ เขาวางใบไม้ลง ลุกขึ้นนั่งพร้อมยิ้มแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ท่านทำให้ข้าตกใจแทบแย่อีกแล้ว”
จื่อซีพลันรู้สึกเขินอายขึ้นมา
นางเหมือนกับคนโง่งม นางมาหาเขาทำไมกัน มาสั่งสอนเขาหรือ เขาก็สารภาพออกมาหมดแล้วว่าเขามีนิสัยอย่างนั้น คำพูดสั่งสอนของนางไม่เพียงแต่จะไม่ได้ผล กลับทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจเสียอีก
หรือจะมาคุยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับเขา นั่นยิ่งน่าขัน นางเองก็ทำตัวอ่อนหวานยั่วยวนแบบนั้นไม่เป็น และยังเป็นสิ่งที่ไม่ชอบมาตลอดด้วย
หรือให้ขอบคุณที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาช่วย แต่ว่านางกลับรู้สึกเขินอายจนแม้แต่จะให้กล่าวขอบคุณออกมายังเอ่ยปากไม่ออก
จื่อซีคิดเรื่องมากมายในเวลาสั้นๆ สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้าลง
บางทีอาจเพราะข้างกายเขาไม่มีเทพธิดามากมายห้อมล้อมอยู่อย่างหาได้ยาก หรือเพราะก่อนหน้านี้เขาช่วยนางไว้ แต่ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุไหน นางก็วิ่งมาตรงนี้อย่างไม่ทันคิดและตอนนี้ก็รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองนี้มาก
นางไม่ได้ตอบรับคำทักทายของเซ่าอี๋แล้วหมุนตัวจากไป
ใครจะรู้ว่าเขากลับเรียกเสียงนุ่มนวลมาจากด้านหลัง “ศิษย์พี่หญิง ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน”
จื่อซีหยุดเท้าลง แล้วเอ่ยปากไปอย่างไร้อารมณ์ “เรื่องอะไร”
ทันใดนั้นเขาพลันเข้ามาใกล้นาง ใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มนุ่มนวลนั้นอยู่ใกล้กับนางมาก ในดวงตายังมีประกายหยอกล้ออย่างชั่วร้าย กล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่หญิง ข้าอยากลงไปยังทางเหนือสุดของโลกเบื้องล่างเพื่อไปดูทะเลหลีเฮิ่น ท่านไปเป็นเพื่อนข้าได้ไหม”
จื่อซีตกใจมาก “อะไรนะ?!”
เซ่าอี๋กัดริมฝีปากแล้วหัวเราะเบาๆ “ท่านไม่อยากไปดูหรือ ข้าสงสัยว่าตอนนี้ทะเลหลีเฮิ่นเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรแล้ว ตอนนั้นที่ไท่สิงและคุนหลุนตกลงไปโลกเบื้องล่าง ได้ยินว่ามีเผ่าเทพมากมายแอบลงไปดู พวกเราเองก็แอบลงไปดูกันดีหรือไม่ ข้าคิดดูแล้ว มีแต่ศิษย์พี่หญิงที่ไปเป็นเพื่อนข้าได้”
จื่อซีกล่าวอย่างตกใจ “ตอนนี้ทะเลหลีเฮิ่นมีขุนพลห้าร้อยนายคอยคุ้มกันอยู่โดยรอบ จะไปแอบดูอย่างไร กระทั่งมหาเทพหลีจูยังดับสูญไปใกล้ๆ บริเวณนี้อีก อันตรายเกินไป! ตอนนี้เผ่าเทพจะลงไปที่โลกเบื้องล่างได้ก็มีจำนวนจำกัด ข้า ข้าช่วยเจ้าไม่ได้!”
เซ่าอี๋ขมวดคิ้ว “แค่ไปมองไกลๆ เอง ครั้งที่แล้วศิษย์พี่หญิงรับปากข้าว่าจะช่วยให้ข้าได้ลงไปดูเหยียนสยาที่โลกเบื้องล่าง ข้ารู้ว่าท่านมีวิธี ศิษย์พี่หญิงคนดี มีแต่ท่านที่ช่วยข้าได้ หากท่านไม่รับปาก ข้าจะจูบท่านแล้วนะ”
พูแล้ว เขาก็คลายคิ้วออกพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก
หัวใจในอกของจื่อซีเต้นอย่างรุนแรง นางเคยรังเกียจคำพูดเกี้ยวพาเช่นนี้ของเขามาก แต่ทว่าตอนนี้ นางกลับรู้สึกมือเท้าชา ไม่เป็นตัวของตัวเอง
สติที่นางเคยภูมิใจยังมีเมื่ออยู่ต่อหน้าฝูชาง กลับไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเซ่าอี๋ แค่เขาเข้ามายั่วยวนนางเข้า นางก็ไร้ทางโต้ทันที นางเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกรังเกียจที่นางเคยยึดถือพวกนั้น ที่แท้นางก็แค่กำลังหลอกตัวเองเท่านั้น
…
เพราะศิษย์ทั้งยี่สิบคนต่างทำการบ้านที่สั่งไปเมื่อสามเดือนก่อนสำเร็จอย่างงดงาม ทำให้มหาเทพไป๋เจ๋อมีของวิเศษเพิ่มขึ้นมาถึงยี่สิบสี่ชิ้นภายในคืนเดียว เขาเดินเริงร่าราวกับกำลังเต้นระบำไปหลายวัน แต่ละวันบรรยายบทเรียนราวกับร้องเพลง
ไม่รู้ว่าเมื่อสามเดือนก่อนใครเป็นคนพูดว่า หากกลับมาเรียนใหม่จะเริ่มถ่ายทอดวิชาเวทให้ แต่ผลคือกลับมาเรียนได้สิบกว่าวันแล้ว ก็ยังคงเอาแต่ท่องหนังสือกันอยู่อย่างนั้น อาจารย์ดูอารมณ์ดีมาก แต่เหล่าศิษย์ต่างเคร่งเครียดอย่างจนใจ มีศิษย์ที่ใจกล้าหลายคนนอนหลับขณะฟังบรรยายในห้องอย่างเปิดเผย คิดว่าน่าจะเพราะคิดแสดงท่าทีต่อต้านออกมา
เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อปิดปากแล้วหาวออกมา หลายสิบคืนที่ผ่านมาทุกคืนได้ยินเสียงลมพัดเสียงดัง เดิมนางคุ้นกับการอยู่ที่นี่แล้ว แต่หลายวันนี้กลับรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมา และแทบจะไม่สามารถหลับได้ลงเลย
สายตาขมุกขมัวของนางกวาดมองไปยังตำหนักเหอเต๋อ ปกติแล้วแถวหน้าสุดจะถูกจับจองด้วยไท่เหยา กู่ถิงและจื่อซี แต่ว่าจื่อซีนอกจากที่มาในวันแรกแล้ว วันอื่นก็เอาแต่ลาเรียน จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา คนที่หายไปอีกคนยังมีเซ่าอี๋ด้วย คิดว่าเขาคงกลัวนางจะบังคับถามเขาอีกจึงไม่แม้แต่จะมาเรียนเลย
สายตาของนางพลันมองไปยังที่นั่งริมหน้าต่างที่ว่างเปล่าอย่างไม่รู้ตัว เงาร่างสีขาวที่แต่ก่อนเคยนั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีแล้ว โต๊ะของเขาถึงขนาดมีฝุ่นปกคลุมเป็นชั้นบางๆ
ที่สวนดอกไม้ทิศใต้วันนั้น นางไปเจอกับกู่ถิงเข้า และเขาก็ตำหนินางมายกหนึ่ง “เจ้าไปทะเลาะกับฝูชางอีกแล้ว ทำเขาโมโหจนไปเลย นี่จะไปหลับใหลพันปีแล้ว โมโหอะไรกันทำไมไม่รู้จักคุยกันดีๆ เจ้านี่นะ คราวนี้จะไม่ได้เจอเขานานถึงพันปีจริงๆ แล้ว”
เขาไปก็ไปแล้ว จะมาบอกนางอีกทำไมกัน
เขาจะไปหลับใหลพันปี แล้วทำไมวันนั้นต้องจงใจมาที่ตำหนักหมิงซิ่งด้วย จงใจมาทำหน้าเย็นชาใส่นาง นางเห็นแล้ว ยังแพ้เขาไปอีกครั้งด้วย ความใจแคบของตระกูลหวาซวีที่มีแค้นต้องชำระนี่ร้ายกาจจริงๆ
เขาไม่เคยยอมอ่อนข้อให้นางมาก่อนเลย ทุกครั้งก็เป็นอย่างนี้
ร่างของเสวียนอี่ค่อยๆ โน้มเอียงลงไปที่โต๊ะ เล็บก็เกี่ยวไปยังลายปักที่แขนเสื้อแล้วดึงเอาด้ายทองออกมาจนยุ่งเหยิงไปหมด
ไม่ต้องใช้สายตาที่มีทั้งความเสียใจและนุ่มนวลมองนาง รังเกียจนาง รำคาญนาง ขับไล่นาง เป็นคู่กัดนางอย่างแต่ก่อนที่เอาทะเลาะกันอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังต้องไป ทำให้เสียงลมในยามค่ำคืนดังจนนางไม่สามารถหลับได้
เสวียนอี่ขยี้ตาที่แห้งผากของนาง เสียงบรรยายบทเรียนของมหาเทพไป๋เจ๋อค่อยๆ ห่างไกลออกไป นางปิดตาลงอย่างง่วงงุนแล้วหลับไป
นางหลับลึกมาก กระทั่งมีมือมาเขย่าร่างนางจนตื่น นางยังตั้งสติไม่ได้แล้วใช้มือจับไปยังวงแหวนทองบนศีรษะพร้อมมองเงยหน้าไปรอบๆ อย่างมึนงง
ตำหนักหมิงซิ่งว่างเปล่า ประตูตำหนักปิดสนิท มหาเทพไป๋เจ๋อกลับยืนอยู่ข้างกายนาง ในมือถือกล่องแก้วเอาไว้หนึ่งกล่อง
เสวียนอี่ยังคงง่วงงุน นางใช้แขนเสื้อปิดปากหาวออกมาอีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวว่า “อาจารย์ ข้าขอตัว”
มหาเทพไป๋เจ๋อส่ายหัว “รอก่อน”
เขาเอากล่องแก้ววางไปบนโต๊ะแล้วค่อยๆ เปิดออก ในนั้นคือผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือดผืนหนึ่ง และก็คือการบ้านที่เสวียนอี่ส่งไปเมื่อหลายวันก่อน
“ผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือดต้องใช้ขนของจี๋กวง” มหาเทพไป๋เจ๋อใช้นิ้วชี้ไปลายแดงเลือดบนผ้าที่ดูเหมือนกันเลือดสดๆ ที่ยังไม่แห้งนั่น “ผ้าต่วนผืนนี้ทอโดยเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวน ที่จวนนางไม่มีของล้ำค่าหายากอย่างนี้ เจ้าไปเอามาจากที่ไหน”
แน่นอนว่าก็ต้องไปขโมยมาจากวังสวรรค์สิ
เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “การบ้านที่อาจารย์สั่ง เหล่าศิษย์ทุกคนต่างก็ทุ่มเททำให้เสร็จก็พอ ไม่จำเป็นต้องถามถึงที่มาหรอก”
มหาเทพไป๋เจ๋อสีหน้าเคร่งเครียด “เมื่อประมาณสามเดือนก่อน ขนจี๋กวงที่เลี้ยงไว้ในโรงม้าของวังสวรรค์ถูกขโมยตัดไปกำหนึ่ง คดีนี้ยังหาบทสรุปไม่ได้ กระทั่งเมื่อหลายวันก่อนที่ฝูชางไปขอรับโทษกับจักรพรรดิสวรรค์และยอมรับผิดด้วยตัวเอง จักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้เปิดเผยกับภายนอกว่าเป็นฝีมือของเขา แต่ว่าโทษยากจะเลี่ยงได้ เขาจะต้องถูกลงโทษด้วยหนามเป็นเวลาหนึ่งเดือน พวกเจ้าจะใจกล้าเกินไปแล้ว กลับกล้าไปขโมยของในวังสวรรค์”
ลงโทษด้วยหนาม ฟังดูแล้วน่าจะเจ็บมาก
เสวียนอี่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวเสียงเย็น “หากว่าอาจารย์มีใจ ทำไมต้องสั่งการบ้านอย่างนี้ด้วย”
มหาเทพไป๋เจ๋อถูกนางพูดออกมาจนพูดไม่ออก เขายุ่งจนโมโห จึงได้เขียนของวิเศษที่เขาอยากได้ที่สุดลงไปสิบห้าอย่างด้วยความรีบร้อน เขาไม่ได้คิดอะไรมากจริงๆ และจุดประสงค์หลักของเขาก็ยังแค่อยากจะให้ศิษย์ได้ไปเปิดหูเปิดตาเท่านั้น หากว่าเอามาไม่ได้ เขาก็ไม่ได้จะทำโทษศิษย์ทั้งหลายให้คัดหนังสือร้อยจบเสียหน่อย
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าศิษย์น้อยทั้งสองกลับใจกล้าขนาดนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าตกใจหรือว่ากลัวดี
มหาเทพไป๋เจ๋อปิดกล่องแก้วแล้วหนีบไว้ที่แขนพร้อมกล่าวสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเปิ่นจั้ว เปิ่นจั้วต้องไปที่ชี้แจงที่วังเทพบูรพา ฝูชางถูกลงโทษเพราะเจ้า เจ้าเองก็ไปด้วยกันกับข้าด้วย”
—
[1]ดอกเสาเย่า : เป็นดอกมีลักษณะใหญ่คล้ายดอกโบตั๋น มีสีม่วงอมแดง ขาวอมแดง และสีขาว จะบานในช่วงเดือนพฤษภาคม รากใช้เป็นสมุนไพรมีสรรพคุณระงับปวด ทำให้เลือดลมเดินสะดวก