บทที่ 81 ปลอบโยนความสับสนของข้า (ตอนต้น)

บุหลันเคียงรัก

ใกล้ต้นฤดูร้อน ยอดเขาไท่ซานมีฝนตกลงมาแทบจะทุกวัน กิ่งไม้และใบไม้ที่แห้งเ**่ยวในช่วงปลายฤดูหนาวกลายเป็นสีเขียวมรกต ครั้นทอดสายตามองไป ทะเลสาบเฉิงเจียงดูราวกับถูกโอบล้อมไปด้วยน้ำสีมรกต ใสจนเห็นก้น

 

 

ตอนเข้าเพิ่งจะมีฝนตกไปหนึ่งชั่วยาม ริมทะเลสาบจึงยังชื้นอยู่บ้าง ชายเสื้อคลุมของเทพบูรพาเปียกชื้นเพราะถูกความชื้นบนดิน แต่เขากลับไม่รู้ตัว ดวงตาจ้องไปยังเบ็ดตกปลาที่สั่นไหวน้อยๆเขม็ง เขาคำนวณเวลาอย่างแม่นยำแล้วดึงคันเบ็ดขึ้นมา ปลาเหลียน[1]ตัวใหญ่ติดเบ็ดเขาขึ้นมาจริงๆ

 

 

ยามบ่ายแสงอาทิตย์แสบตาเกินไป เขาสวมหมวกฟางเอาไว้ แล้วปล่อยปลาเหลียนที่ดิ้นไปมานั่นกลับลงไปในทะเลสาบ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าของเทพขุนนางดังอย่างร้อนรนจากด้านหลัง เขาเข้ามาใกล้แล้วจึงกล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท มหาเทพไป๋เจ๋อกับองค์หญิงตระกูลจู๋อินมาเยี่ยมเยียน”

 

 

แววตาของเทพบูรพามีประกายแวบผ่านไป เขาก้มหน้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอดหมวกฟางออกพร้อมลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “เชิญไปที่ห้องโถงด้านหน้า”

 

 

เขาเปลี่ยนเป็นชุดทางการแล้วไปยังโถงด้านหน้า แววตามองไปที่ร่างองค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อิน นางกำลังก้มหน้าคลึงหิมะจู๋อินในมือเงียบๆด้วยท่าทางเกียจคร้านและเบื่อหน่าย ร่างเล็กของมหาเทพไป๋เจ๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ข้างๆ กำลังมองกล่องแก้วบนมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้กำลังคิดอะไร

 

 

เทพบูรพาเข้ามาต้อนรับแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มหาเทพไป๋เจ๋อ องค์หญิง ขออภัยด้วย ข้ามาต้อนรับช้า”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อไม่ได้พูดนอกเรื่องกับเขาแต่เปิดประเด็นตรงๆว่า “ท่านเทพบูรพา เรื่องที่ฝูชางไปตัดขนจี๋กวงมาหนึ่งกำนั่นจริงๆแล้วมีสาเหตุอยู่ นี่เป็นการบ้านที่เปิ่นจั้วสั่งไป เขาถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้ เปิ่นจั้วจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ วันนี้ที่เปิ่นจั้วมา หนึ่งก็เพราะจะขอให้ท่านเทพบูรพาดูผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือดผืนนี้ พรุ่งนี้เปิ่นจั้วจะนำมันไปให้กับวังสวรรค์ เรื่องที่สอง ข้ามาเพราะอยากจะยกเลิกการลงโทษด้วยหนามของฝูชาง ขอให้ท่านเรียกฝูชางออกมาด้วย”

 

 

เทพบูรพารับเอากล่องแก้วไป เห็นผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือดในนั้นก็หัวเราะออกมา นิสัยประหลาดของมหาเทพไป๋เจ๋อนับวันจะยิ่งแปลกขึ้น ของที่ชุ่มไปด้วยเลือดเช่นนี้ มองไม่ออกเลยจริงๆว่ามันสวยตรงไหน

 

 

เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วยกถ้วยชาหยกขึ้นมาพร้อมกับเป่าใบชาสีเขียวออกไป แล้วกล่าวว่า “มหาเทพไป๋เจ๋อ การบ้านคือการบ้าน ขโมยก็คือขโมย ทั้งสองเรื่องต้องแยกกัน ที่ฝูชางถูกลงโทษก็เพราะการกระทำของเขาเอง เขาควรยอมรับผิดชอบความผิดนี้ และเรื่องนี้ยังเป็นความต้องการของเขาเองด้วย มหาเทพไม่ต้องรู้สึกผิด อีกอย่าง ตอนนี้เขาคงไม่สะดวกออกมานัก เวลานี้เวทหนามคงกำลังลงโทษเขาอยู่ ขยับตัวไม่สะดวก”

 

 

หิมะในมือของเสวียนอี่”ตุบ” ตกลงไปที่พื้นทันที นางค่อยๆหยิบขึ้นมาแล้วใช้ปลายนิ้วปัดฝุ่นออกไป

 

 

เทพบูรพามองนางแวบหนึ่ง ในใจก็อดถอนใจออกมาไม่ได้

 

 

ตอนนั้นที่จักรพรรดิสวรรค์จับคู่ให้กับตระกูลจู๋อิน เขาไม่ได้คัดค้าน คิดว่าน่าจะเพราะอยากเห็นว่าฝูชางจะมีท่าทีกับเรื่องนี้อย่างไร เขาไม่ได้หวังว่าจะได้หมั้นกัน บุตรชายคนเดียวของเทพบูรพาตระกูลหวาซวีจะสู่ขอภรรยา จะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร

 

 

ครั้งนั้น ฝูชางกลับมาจากเกาะสวรรค์ของราชาบุปผาก็มีสีหน้าไม่ดีมาตลอด คิดว่าเขาคงถูกทำให้โมโหมาแน่ กระทั่งตอนไปกราบมหาเทพไป๋เจ๋อเป็นอาจารย์ยังไปบังเอิญเจอกับองค์หญิงน้อยอีก และนับจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไป  

 

 

เขาที่มักจะเย็นชาและงดงามราวกับกระเบื้องเคลือบที่ไม่ควรแตะต้อง ไม่เคยถามเรื่องคนอื่น บางครั้งเรื่องตัวเองก็ยังไม่ถามมาก ดังนั้น วันที่เขาใช้วิธีการชิงชัยสามในสองครั้งเพื่อให้เขาไปเชิญเทพีวั่งซูออกจากเขามา เทพบูรพาก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก หลังจากนั้นวิถีกระบี่เขาตื่นขึ้น และเขายังเสียมารยาทในการต้อนรับแขก หายตัวไปตลอดทั้งบ่าย กระทั่งวันนี้ยังไปขโมยขนจี๋กวงอีก ทุกอย่างดูเป็นไปตามเหตุและผลของมัน เขาเองก็มีความกล้านั่นจริงๆ และเบื้องหลังที่เย็นชานั่นคือการพยายามฝืนดิ้นรนจนกระทั่งวันนี้ที่เขากลายเป็นคนตรงๆ

 

 

ตั้งแต่แรกจนจบ ก็เพราะองค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อินผู้นี้ทั้งสิ้น

 

 

วันนี้นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนราวกับกลีบดอกบัว คลุมผ้าแพรผืนยาวห้อยไปจนถึงชายกระโปรง ทำให้นางดูราวกับรูปสลักจากหยกขาว เพลินตาเพลินใจจริงๆ หรือว่าฝูชางจะเป็นเพราะความงามของนาง? บุตรของเขา เพราะอะไรกันแน่

 

 

เทพบูรพาพลันยิ้มออกมา “องค์หญิงมาวันนี้เพื่อมาเยี่ยมฝูชางหรือ น่าเสียดายที่เขาคงจะมาพบแขกไม่ได้ ทำลายน้ำใจขององค์หญิงแล้ว”

 

 

เสวียนอี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ กลับไปเงียบๆ เดิมนางก็ไม่อยากจะมาดูสภาพเขาที่ถูกลงโทษอยู่แล้ว มันจะต้องไม่น่าดูมากแน่ เห็นแล้วคงกินข้าวไม่ลงไปสามวัน

 

 

นางเก็บหิมะกลับไป คล้ายกับในใจหนักอึ้ง สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นแล้วถามออกไปอย่างมีมารยาท “ท่านเทพบูรพา ให้ข้าไปดูเขาสักนิดได้หรือไม่”

 

 

เทพบูรพากล่าวเสียงนุ่มว่า “องค์หญิงเป็นห่วงสหายร่วมสำนักอย่างนี้ ข้ารู้สึกขอบคุณมาก แต่ว่า…”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋ออดแทรกขึ้นมาไม่ได้ “ไปดูหน่อยจะทำให้เนื้อหายไปสักชิ้นหรืออย่างไร เจ้าหนุ่มนี่ ทำไมถึงได้ใจแคบอย่างนี้”

 

 

เทพบูรพาหลุดหัวเราะออกมา “ในเมื่อมหาเทพไป๋เจ๋อกล่าวมาอย่างนี้ ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร แต่ว่าตอนนี้ฝูชางน่าจะพักอยู่ในห้อง เกรงว่าคงออกมาจากจวนไม่ได้ คงต้องรบกวนองค์หญิงเดินไป พวกเจ้านำทางให้องค์หญิงด้วย”

 

 

เขาหันไปสั่งให้เทพขุนนางนำทาง ทันใดนั้นมหาเทพไป๋เจ๋อพลันผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกล่าวว่า “เปิ่นจั้วเองก็ไปดูเขาด้วย”

 

 

เทพบูรพาคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้แล้วขยิบตา “มหาเทพรอตรงนี้ก่อน ครั้งก่อนที่วิถีกระบี่ของฝูชางตื่นขึ้นมา มหาเทพไป๋เจ๋อมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับการจัดระเบียบของแดนเทพจึงไม่ได้รับคำเชิญ ครั้งนี้ข้าจะต้อนรับท่านอย่างดี”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อนั่งลงไปบนเก้าอี้ใหม่แล้วค่อยๆจิบชาช้าๆพลางกล่าวว่า “เรื่องการหลับใหลพันปีของฝูชางเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเทพบูรพาค่อยๆจางลง “ตอนนี้จิตใจเขาไม่นิ่ง รวมกับการถูกลงโทษแล้ว ยังหลับใหลพันปีไม่ได้”

 

 

หลับใหลพันปีคือการเลื่อนขั้นของเผ่าเทพ เดิมหากถึงเวลาก็จะจมสู่ห้วงนิทรา จิตวิญญาณหลับใหลและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับภายนอกทั้งสิ้น แต่ว่าสภาวะของฝูชางในตอนนี้คงจะไม่ได้ หลายวันมานี้เขาเหมือนกำลังสู้อยู่กับอะไรอย่างนั้น การไปรับโทษที่วังสวรรค์ก็เป็นการตัดขาดอย่างหนึ่ง หากว่าไม่ตัดให้ขาด เขาคงไม่สามารถสงบใจและเข้าสู่ห้วงนิทราได้

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อกลับยิ้มออกมา “ศิษย์หญิงคนนี้ของเปิ่นจั้วไปดู น่าจะไม่เป็นไรแล้ว”

 

 

เขาเองก็รู้ เมื่อครู่นี้ยังจะวุ่นวายอีก เทพบูรพาถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าการให้นางไปดูครั้งนี้จะดีหรือร้ายกันแน่

 

 

 

 

เดินเลียบไปตามทางเดินริมทะเลสาบ คือบันไดทอดยาวของทางเดินไปยอดเขาไท่ซานของวังเทพบูรพา ครั้งที่แล้วเสวียนอี่ยังไม่ได้มาที่นี่ เดินไปบนบันไดนางรู้สึกว่าทุกอย่างที่เห็นล้วนแต่เป็นสีเขียว ที่นี่ต้นไม้ขึ้นระเกะระกะ สามารถเห็นรากไม้ใหญ่อยู่ตามบันได และต้นไม้แต่ละต้นต่างก็สูงใหญ่กว่าด้านนอกมากมายนัก

 

 

ขึ้นมาถึงไหล่เขา เหล่าเทพขุนนางพลันเลี้ยวไปยังทางเดินเล็กสายหนึ่ง เดินวนไปมาอยู่นาน สุดท้ายก็มาหยุดอยู่หน้าสะพานหินสีขาวอันหนึ่ง เสวียนอี่หยุดยืนแล้วเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าในหุบเขามีไผ่สีเขียวขึ้นอยู่หนาแน่น แต่ละต้นหนาประมาณอ่างน้ำ สูงถึงร้อยจั้ง พวกมันสูงเสียดเมฆและบดบังแสงอาทิตย์ไปเกือบหมด อากาศเย็นสบาย บนใบไผ่ยังมีหยดน้ำร่วงลงมาเสียงดังติ๋งๆ ไม่ขาดสาย

 

 

“องค์หญิง สุดป่าไผ่ก็คือจวนของเทพฝูชาง ก่อนหน้านี้ท่านเทพได้สั่งไม่ให้ใครเข้าไป พวกข้าจึงได้แต่ส่งองค์หญิงที่นี่”

 

 

เทพขุนนางต่างโค้งคารวะแล้วกล่าวต่อว่า “พวกข้าจะรอองค์หญิงอยู่ที่สะพานหินนี้”

 

 

เสวียนอี่พยักหน้า นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ก้าวขึ้นไปบนสะพานหิน เดินไปยังส่วนลึกของป่าไผ่ นางแค่อยากจะแอบดูอยู่ด้านนอกเท่านั้น แล้วอย่างนี้จะให้นางดูอย่างไร เขาอยู่ในห้องไหน

 

 

เดินผ่านเมฆหมอกเข้าไปในจวน ก็เห็นระเบียงคดไม้สีเขียวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจีที่สูงระฟ้า ในจวนเงียบมาก ได้ยินเพียงแค่เสียงลมพัดเบาๆเท่านั้น เสวียนอี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาก็มองไปยังระเบียงคดไม้นั่น ประตูทุกบานต่างก็มีไข่มุกประดับไว้ หน้าตาเหมือนกันหมด

 

 

นางระมัดระวังแล้วเดินอย่างแผ่วเบาที่สุด เพราะวันนี้นางใส่รองเท้าส้นไม้มา นางจึงถอดรองเท้าออกเพื่อไม่ให้มีเสียงดังขึ้นในระเบียงไม้คดนี้เวลานางเดิน

 

 

นางค่อยๆเปิดหน้าต่างบานหนึ่งแล้วมองเข้าไปด้านใน ว่างเปล่า

 

 

นางเขย่งเท้าเดินเสียงเบาไปด้านหน้า แล้วเปิดหน้าต่างบานที่สองดู ก็ยังว่างเปล่า

 

 

เสวียนอี่กำลังจะเปิดหน้าต่างบานที่สาม ทันใดนั้นประตูไม้ด้านข้างพลันถูกเปิดออก เทพที่สวมชุดคลุมยาวสีดำเหลือบเขียวปรากฏตัวที่หน้าประตูเงียบๆ นางแทบจะผุดลุกขึ้นมา นางยกมือขึ้นแล้วฟาดไปบนหน้าต่างวงเดือนเสียงดังปัง

 

 

ฝูชางยืนหลังพิงประตูไม้และก้มหน้ามองนางนิ่ง เมื่อครู่นี้เขาน่าจะกำลังนอนอยู่ ผมยาวมัดไว้ด้านหนึ่ง ปกเสื้อคลายออกจนเห็นไหล่ขาวราวกระเบื้องเคลือบนั่น น้อยครั้งที่จะได้เห็นเขาแต่งตัวไม่เรียบร้อยอย่างนี้

 

 

ไม่ใช่บอกว่าเขากำลังถูกทำโทษด้วยหนามหรือ ทำไมดูแล้วเหมือนไม่ใช่

 

 

เสวียนอี่ก้มหน้าลงจัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย เอียงคอนิ่งคิดด้วยท่าทีลำบากใจครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้มน้อยๆ “ศิษย์พี่ฝูชาง ต้องรอให้ท่านจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนหรือไม่ หรือว่าท่านจะกลับเข้าไปนอนต่อ”

 

 

 

 

[1]ปลาเหลียน : ปลาลิ่น ปลาเกล็ดเงิน หรือปลาหัวโต