ณ เมืองฮวายหนิง

นี่คือเมืองขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าหลายร้อยล้านคน มีพื้นที่ที่กว้างขวาง มีตึกและสิ่งก่อสร้างมากมาย เป็นเหมือนกับเมืองในยุคสมัยโบราณก็ว่าได้ มีผู้คนของชนเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่ที่นี่

ทว่าพื้นที่ใจกลางของเมืองฮวายหนิงนั้น ไม่ใช่เป็นคฤหาสน์ของผู้ปกครองเมือง ทว่าเป็นสำนักวิญญาณสาขาย่อย มีตึกขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของศูนย์กลาง ดูยิ่งใหญ่และสูงตระหง่านอย่างมาก

สามารถที่จะเห็นถึงความสำคัญของสำนักวิญญาณได้จากสิ่งนี้ ซึ่งมีพลังอำนาจและอิทธิพลที่อยู่เหนือผู้ปกครองเมือง

ในช่วงเวลานี้ เซี่ยปิงและหลิวหยูหลานทั้งสองคนก็ได้ปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าสำนักวิญญาณของเมืองฮวายหนิง

“ในที่สุดก็ได้กลับมา”

หลิวหยูหลานถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ที่ล้นหลาม ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เธอถูกขับไล่ออกไปจากเมืองฮวายหนิง ไม่คาดคิดว่าจะได้กลับมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังกลับมาอย่างเปิดเผย ศัตรูก็ได้ตายไปเช่นกัน

ทว่าในตอนนี้เธอก็ได้ปกปิดใบหน้าของตนเอง ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนอื่นๆที่ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอ

“สมกับที่เป็นสถานที่สำคัญของทวีปโลหิตวิญญาณ ช่างมีการป้องกันที่แน่นหนาจริงๆ” เซี่ยปิงหรี่ตามอง เขาสามารถสัมผัสได้ว่าตึกขนาดใหญ่ตรงหน้านี้มีค่ายกลป้องกันอยู่ ซึ่งครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่

หากมีศัตรูกล้าบุกรุกเข้าไป จะต้องเผชิญกับการโจมตีที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะในระดับกายาศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องตาย

“ระวังตัวด้วย ข้าสัมผัสได้ว่ามีศัตรูที่กำลังติดตามเจ้าอยู่ หลังจากที่เข้ามาในเมืองฮวายหนิงนั้น ฝ่ายตรงข้ามก็ตามหลังพวกเรามาตลอด” แมวนักปราชญ์ได้พูดเตือนเซี่ยปิง มันตรวจจับได้ว่ามีอันตรายอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เป็นไปได้ว่ามีศัตรูในระดับกายาศักดิ์สิทธิ์

ทว่ามันก็รู้สึกสงสัยอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนหน้านี้นั้นเป็นความลับ ควรที่จะไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ถึงจะถูก ทว่าทำไมเมื่อมาถึงที่เมืองฮวายหนิงแห่งนี้ถึงได้มีกลุ่มผู้คนที่ติดตามพวกเขามา

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เซี่ยปิงก็กำลังปลอมตัวโดยที่มีรูปลักษณ์เป็นจั่วฮาว แตกต่างกับก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

“ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้ว่าศัตรูเป็นใคร”

เซี่ยปิงหรี่ตามอง หางตาของเขาได้มองออกไปที่มุมถนน ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นภาพเงาจำนวนหนึ่งที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ ฝ่ายตรงข้ามคิดว่าตำแหน่งของตนเองนั้นเป็นความลับ แต่กลับหารู้ไม่ว่าระบบได้ตรวจจับพวกเขามาเป็นระยะเวลานานแล้ว

เขาก็ล่วงรู้ว่าผู้ที่ติดตามเขามานั้นก็คือกลุ่มเจ็ดนักฆ่ามือฉมังที่โด่งดังนั่นเอง

เมื่อกลุ่มเจ็ดนักฆ่ามือฉมังถ่ายทอดจิตสังหารออกมานั้น ระบบความเกลียดชังปีศาจของเขาก็สามารถที่จะตรวจจับได้ทันที ทว่าในตอนนั้นกลุ่มเจ็ดนักฆ่ามือฉมังยังอยู่ห่างไกลกับตนเองอีกมาก เขาจึงไม่ได้สนใจคนเหล่านี้เป็นการชั่วคราว

ทว่าไม่คาดคิดว่านักฆ่าเหล่านี้จะมีฝีมืออยู่พอสมควร ไม่คาดคิดว่าจะแกะรอยตามตนเองมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม เมืองฮวายหนิงแห่งนี้นั้นเป็นเมืองของชนเผ่าวิญญาณ หากไม่แน่ใจ กลุ่มเจ็ดนักฆ่ามือฉมังก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะว่าท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไม่ใช่เพียงแค่ต้องการสังหารเซี่ยปิงเท่านั้น ทว่าพวกเขาก็ต้องการที่จะมีชีวิตกลับไปเช่นกัน ไม่คิดที่จะดับสลายไปพร้อมๆกัน

“เซนต์เพชฌฆาตบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าจะได้ท้าทายศัตรูในระดับนี้ แต่ในเมื่อข้าตั้งตัวเป็นลูกศิษย์ของเซนต์อสูรมืดนั้น มันก็ย่อมที่จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย” สายตาของเซี่ยปิงเป็นประกาย “แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะปล่อยให้กลุ่มเจ็ดนักฆ่ามือฉมังติดตามต่อไป ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหาโอกาสในการสังหารพวกเขาให้สิ้นซาก”

คิดได้แบบนี้ เขาและหลิวหยูหลานก็ได้ก้าวเท้าเดินเข้าไปในสำนักวิญญาณของเมืองฮวายหนิง

“ใต้เท้าจั่วฮาว”

ในตอนนี้ ผู้คุ้มกันหน้าประตูของสำนักวิญญาณได้ค้นพบตัวตนของเซี่ยปิงในทันที พวกเขาต่างก็แสดงท่าทางที่เคารพนับถือ ทันใดนั้นก็กล่าวทักทาย เพราะว่านี่คือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองฮวายหนิง หากทำให้ฝ่ายตรงข้ามหงุดหงิดขึ้นมา การที่ศีรษะจะหลุดออกจากบ่านั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่เล็กน้อย

“ไม่มีทาง ใต้เท้าจั่วฮาวกลับมาแล้ว”

“นี่เป็นเรื่องที่ดี การที่ได้ออกเดินทางเป็นระยะเวลานานนั้น ข้าคิดว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นเสียอีก”

“หืม? แปลกจริงๆ ทำไมข้างกายของใต้เท้าจั่วฮาวถึงได้มีผู้หญิงเพียงคนเดียว ผู้คุ้มกันคนอื่นๆหายไปไหนกัน?”

กลุ่มพ่อบ้านของสำนักวิญญาณที่ได้รับข่าว พวกเขาก็รีบเข้ามาทักทายทันที ทว่าพวกเขาก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่านอกจากจั่วฮาวและหลิวหยูหลานนั้น ก็ไม่มีใครอื่นอีก

“พวกเขายังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ ข้าเป็นคนสั่งการให้พวกเขาออกไปทำภารกิจลับเอง” เซี่ยปิงยืนไขว้มือไว้ข้างหลังทั้งสองข้างพร้อมกับมีท่าทางที่คนรับใช้ไม่มีสิทธิ์สงสัย ไม่อย่างนั้นเขาจะคลุ้มคลั่งออกมา

ผู้คนที่อยู่รอบๆต่างก็เงียบลงทันที ไม่กล้าที่จะสงสัยอะไรอีก

“ไง จั่วฮาว ช่างวางมาดใหญ่โตจริงๆ การที่ได้กลายเป็นจ้าวสำนักของสำนักวิญญาณสาขาย่อยนั้น เจ้าคิดว่าอิทธิพลของสำนักวิญญาณเป็นอิทธิพลของเจ้าเองอย่างนั้นหรือ สามารถใช้งานส่วนตัวได้หรือ ล่วงรู้หรือไม่ว่านี่เป็นความผิดที่ร้ายแรง ข้าสามารถที่จะรายงานเรื่องนี้ให้กับท่านจ้าวสำนักได้รู้ จากนั้นเจ้าก็จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง เจ้ารู้หรือไม่?”

ชายวัยกลางคนที่มีเสียงคล้ายไก่ได้เดินเข้ามา ดวงตาของเขานั้นเป็นทรงสามเหลี่ยม แสดงให้เห็นถึงสายตาที่เจ้าเล่ห์อย่างมาก อีกทั้งยังมองมาที่เซี่ยปิงด้วยสีหน้าที่เกลียดชัง

“เจ้าเป็นใครกัน?”

เซี่ยปิงชำเลืองมองชายวัยกลางคนคนนี้

พ่อบ้านคนหนึ่งตกใจขึ้นมาทันทีและรีบเข้าไปกระซิบอย่างเร่งรีบ “ใต้เท้าจั่วฮาว ข้าน้อยคิดว่านี่มันไม่เหมาะสมเล็กน้อย นี่คือผู้อาวุโสถันป๋อจากสำนักวิญญาณสาขาหลัก เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าเขาเคยรู้จักกับท่านมาก่อน”

สีหน้าของเขานั้นดูแปลกประหลาดเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าจั่วฮาวจะไม่รู้ว่าผู้อาวุโสถันป๋อเป็นใคร ช่างแปลกประหลาดจริงๆ

หัวใจของหลิวหยูหลานก็สั่นระรัว หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้การปลอมตัวถูกเปิดเผยออกไป

“รู้จักอย่างนั้นหรือ? บุคคลที่ต่ำต้อยเช่นนี้ข้าจะไปรู้จักได้อย่างไร ตลกสิ้นดี”

เซี่ยปิงยืนไขว้มือไว้ข้างหลังทั้งสองข้างพร้อมกับมองถันป๋อด้วยสีหน้าที่ดูถูกมากกว่าเดิม ไม่มีท่าทางเกรงกลัวแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังพูดอย่างมั่นใจว่าตนเองไม่ได้รู้จักคนๆนี้

“จั่วฮาว ใครกันที่เป็นบุคคลต่ำต้อย เจ้านี่ช่างกล้าจริงๆที่พูดคำเหล่านี้ออกมา การที่ไม่ได้พบเจอกันมาสักพักนั้น ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะเริ่มแสดงความยโสโอหังออกมาเช่นนี้!” ได้ยินคำเหล่านี้ ถันป๋อก็โมโหขึ้นมาทันที ปรารถนาที่จะกระโจนเข้าไปอัดเซี่ยปิงอย่างป่าเถื่อน

เขาคิดว่าจั่วฮาวนั้นตั้งใจพูดคำเหล่านี้ออกมา ต้องการที่จะพูดจาเสียดสีเหน็บแหนมเขาต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก บอกว่าเขาถันป๋อนั้นเป็นเพียงแค่บุคคลต่ำต้อยที่ไม่ควรค่าแก่การจดจำ

ก่อนหน้านี้เขาและจั่วฮาวนั้นก็มีความบาดหมางกันมาก่อน มีความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ดีนัก ชนิดที่เกือบลงไม้ลงมือกันทุกครั้งที่ได้พบเจอกัน แต่ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้มันจะยิ่งอุกอาจมากกว่าเดิม พูดจาเสียดสีว่าไม่รู้จักเขา ช่างไร้สาระสิ้นดี

ผู้คนที่อยู่รอบๆก็ผุดเหงื่อเย็นออกมา นี่มันเป็นความขัดแย้งของผู้มีอิทธิพลที่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ อีกทั้งพวกเขาก็ล่วงรู้เช่นกันว่าการที่ใต้เท้าจั่วฮาวบอกว่าไม่รู้จักถันป๋อนั้น มันเป็นการพูดจาเหน็บแนม

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ของจั่วฮาวและถันป๋อนั้นไม่ได้ดีนัก ทว่าก็ไม่คาดคิดว่ามันจะไม่ดีจนถึงขั้นนี้

หลิวหยูหลานก็กำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เจ้าปีศาจต่างถิ่นนี่ช่างอาจหาญอย่างถึงที่สุด กล้าที่จะพูดเช่นนี้ออกมา หากสถานะที่แท้จริงของพวกเธอถูกค้นพบล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะต้องตายไปด้วยวิธีใด

เจ้าคนหื่นกามนี่ทำไมถึงได้มีความกล้าหาญถึงขั้นนี้

“นี่มันไม่ใช่ธุระของเจ้า หากไม่มีอะไรจะพูดก็ไสหัวออกไปให้พ้น ข้าเพิ่งกลับมาจากการเดินทางเป็นระยะเวลานาน เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ต้องการที่จะพักผ่อน ไม่มีเวลาที่จะไร้สาระกับเจ้า” เซี่ยปิงโบกมือและขับไล่แขกออกไป

“พักผ่อน? พักผ่อนตูดข้าสิ ข้าคิดว่าเจ้าต้องการที่จะกลับมาเสพสุขกับผู้หญิงคนนี้มากกว่า”

ถันป๋อมองหลิวหยูหลานด้วยสีหน้าที่กระหาย มองดูรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเธอ สัดส่วนที่โค้งเว้า รวมถึงออร่าศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงที่แผ่ออกมา ซึ่งทำให้เขารู้สึกอิจฉาจนตาร้อน

ผู้หญิงที่มีเสน่ห์เช่นนี้ ไม่คาดคิดว่าจะตกอยู่ในมือของจั่วฮาว สวรรค์ช่างไม่มีตาจริงๆ

เจ้าบัดซบนี่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฮวายหนิงอย่างสะดวกสบาย ได้ทุกอย่างที่ต้องการ เทียบกับเขาที่เป็นนักบวชอยู่ในสำนักวิญญาณสาขาหลักนั้น ไม่รู้ว่ามีชีวิตที่สุขสบายมากกว่าแค่ไหน

บอกตามตรง ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณสาขาหลัก มีตำแหน่งที่สูงกว่าจั่วฮาวเล็กน้อย ทว่าเมื่อพูดถึงการใช้อำนาจของตนเองและการเพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆนั้น เขายังห่างไกลกับเจ้านี่อีกมาก

เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วการที่อยู่ในสายตาของจ้าวสำนักวิญญาณสาขาหลักนั้น มีใครกันที่จะกล้าติดสินบนหรือว่าทำการทุจริตใดๆ แต่ละคนต่างก็เกรงกลัวและไม่กล้าที่จะทำตามใจตนเอง