บทที่ 189 ใครที่ไม่ให้ข้าเล่นอินเทอร์เน็ตกลายเป็นสีแดง

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

บทที่ 189 ใครที่ไม่ให้ข้าเล่นอินเทอร์เน็ตกลายเป็นสีแดง

บัดนี้ หน้าถ้ำราชาผีในหุบเขาวิญญาณ ผู้อาวุโสกุ่ยต้าได้จัดโต๊ะน้ำชาไว้แล้ว เขานำชาพลังชีวิตดีที่สุดออกมา และใช้ชุดน้ำชาที่ซื้อมาใหม่ซึ่งเพิ่งเปิดเป็นครั้งแรก ต้อนรับผู้สูงส่งจากเขาเทียนชิงบนแท่นหินด้านนอก

เวลานี้เขาแสดงสีหน้าขมขื่น “สหายฉี ผู้พิทักษ์จูเป็นศิษย์สายตรงของพระโพธิสัตว์ หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน จะให้ท่านพากลับไปที่เขาเทียนชิงด้วยไม่ได้หรอก อีกอย่างผู้พิทักษ์จูเองก็ปฏิเสธชัดเจนแล้ว เชิญสหายฉีดื่มน้ำชาถ้วยนี้หมดแล้วออกจากหุบเขาวิญญาณของเราไปเถอะ”

ฉีเหมยถือถ้วยน้ำชาโดยไม่ขยับ และพูดเรียบเฉย “ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกท่านก็เชิญพระโพธิสัตว์ออกมาคุยกับฉันสิ”

ผู้อาวุโสกุ่ยต้าส่ายหน้า “พระโพธิสัตว์กำลังเก็บตัว ซึ่งสิ่งที่ท่านทำนั้นเกี่ยวข้องกับประชาราษฎร์ใต้หล้า อย่างน้อยครึ่งปีไม่ออกมา เชิญสหายฉีอีกครึ่งปีค่อยกลับมา”

เมื่อฉีเหมยได้ยินก็พลันหัวเราะ “เกี่ยวข้องกับประชาราษฎร์เหรอ ฉันไม่คิดเช่นนั้น น่าจะเป็นเพราะฝีมือของเขาเทียนชิงของเรายังไม่แข็งแกร่งพอ พระโพธิสัตว์จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องออกหน้า อยากให้ฉันแสดงฝีมืออีกครั้งหรือไม่”

ผู้อาวุโสกุ่ยต้าส่ายหัวไม่ปริปาก

ใบหน้าของจูหงอิงแดงเรื่อขึ้น แต่เธอกลับระงับความโกรธเอาไว้ ผู้ติดตามทั้งสามที่อยู่ข้างหลัง หม่าต้า หลี่ว์เอ้อร์ หนิวซื่อ ต่างมองเธออย่างประหม่า

หลี่ว์เอ้อร์กระซิบกับหม่าต้า “เจ๊ใหญ่กำลังจะระเบิดลง…”

หม่าต้าไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น เพียงพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ทำได้แค่อดทนเอาไว้ จริงด้วย ถ้าอัศวิน A มาถึง เขาจะอัดพวกเราไหม ครึ่งปีก่อนที่พวกเราวิ่งหนี มีแต่แกที่ถูกอบรมแล้วได้ปล่อยตัว เขาจะไม่หาเรื่องแกอีก”

หลี่ว์เอ้อร์พูดไม่ออก “พี่ใหญ่หม่า เวลาอะไรแล้ว พี่ยังคิดถึงเรื่องนี้”

หม่าต้า “ไร้สาระ เรื่องที่เราเป็นกังวลได้ก็มีแค่นี้ ส่วนที่เหลือเราทำได้แค่มองดู”

ฉีเหมยเห็นผู้อาวุโสกุ่ยต้าไม่พูดอะไร จึงพูดต่อว่า “ฉันรู้ พวกท่านเชิญมังกรแห่งจิตวิญญาณมาที่นี่ เมื่อครู่ที่หน้าถ้ำไม่ปิดบัง ไม่ได้ตั้งใจพูดให้ฉันได้ยินหรอกหรือ พอดีฉันเองก็อยากลองดูเหมือนกัน สามปีผ่านไปวีรชนในใต้หล้ามีฝีมือเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน”

เมื่อจูหงอิงได้ยินดังนี้ก็รู้สึกยากที่จะระงับความโกรธในใจ เธอเข้าใจดีแล้วอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจมาหาเธอ เพียงใช้เธอเป็นข้ออ้าง เป้าหมายที่แท้จริงก็คือผู้มีพระคุณของเธอต่างหาก

ในเวลานี้ เซี่ยตงพูดกับเฉียวจื่อเจียงอย่างเป็นกังวล “จื่อเจียง เมื่อตอนวันขึ้นปีใหม่ ฉันมาลาดตระเวน กุ่ยต้าก็พูดแต่คำโกหก ตอนนั้นฉันรายงานว่าสมาคมราชาผีจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในปีนี้ ตอนนี้เขาบอกว่าอีกครึ่งปีพระโพธิสัตว์จะออกจากการเก็บตัว ซึ่งก็คือช่วงเดือนสิงหาคมตามปฏิทินสากล อีกไม่กี่วันก็จะตรงกับเทศกาลสารทจีน ซึ่งก็คือเทศกาลผี พระโพธิสัตว์ปีศาจเลือกออกจากการเก็บตัวในเวลานั้น คงเป็นช่วงเวลาที่จะเคลื่อนไหว”

เฉียวจื่อเจียงส่งเสียงลับ “ไม่น่าจะผิด เดี๋ยวหาโอกาสส่งข้อมูลนี้กลับไปก่อน กลยุทธ์แสดงความแข็งแกร่งเพื่อเตือนสำเร็จแล้ว แต่กลยุทธ์ให้คนอื่นรับเคราะห์แทนล้มเหลว ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณมีข้อขัดแย้งกับศิษย์เขาเทียนชิงคนนี้ก่อนเวลา เรื่องนี้พวกเราได้แต่รับมือตามสถานการณ์ และพยายามควบคุมสถานการณ์”

ตอนนี้ดูเหมือนฉีเหมยจะลืมจูหงอิงไปแล้ว ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะรับศิษย์เหมือนก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย เธอไม่ดื่มชา และไม่ได้พูดอะไร เพียงหลับตาพักสมอง รอการมาถึงของท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณ

เวลาผ่านไปช้าๆ ลมพลังหยินที่พัดมาเป็นระยะๆ ถูกพลังปราณที่แผ่จากร่างกายทุกคนสกัดกั้นให้อยู่นอกแท่นหิน เพียงล่องลอยรอบถ้ำราชาผี

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ทุกคนลุกขึ้นพร้อมกันและแหงนหน้ามองไปทางทางท้องฟ้าทิศเหนือ ที่นั่นมีมังกรเขียวลำตัวยาวเหยียดตัวหนึ่งกำลังโผล่หัวลงมาจากหมู่เมฆ หัวมังกร หนวด ดวงตา เขา ริมฝีปากและจมูกต่างเหมือนในเทพนิยายไม่มีผิด

ฉีเหมยพึมพำกับตัวเอง สายตามองไปทางมังกรเขียวตัวนั้นเป็นประกาย “มันเป็นมังกรจริงๆ บนเขาเทียนชิงของฉันมีสัตว์แปลกหายากมากมาย แต่ยังไม่เคยมีมังกรแท้”

เธอพูดจบก็ไม่รอให้อีกฝ่ายลงมา กระโดดลอยขึ้นไปบนฟ้า

เมื่อผู้อาวุโสกุ่ยต้าเห็นดังนั้นก็รีบร่ายคาถาติดตามขึ้นไป กุ่ยเอ้อร์ก็ทำเช่นเดียวกัน

เฉียวจื่อเจียงกำชับให้เซี่ยตงไปส่งข่าว ส่วนตัวเธอเองก็เรียกก้อนเมฆสีขาวหิมะขนาดใหญ่ออกมา ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นวิญญาณประเภทไหน หลังจากเฉียวจื่อเจียงขึ้นไปนั่งก็ลอยตามขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วย

ทันทีที่ร่างของจูหงอิงจูปรากฏ ก็ลอยขึ้นข้างบน

ผู้ติดตามทั้งสามของเธอมองหน้ากัน หลี่ว์เอ้อร์ตะโกนตาม “เจ๊ใหญ่ พวกเราขึ้นไปไม่ได้…”

จูหงอิงถลึงตาใส่พวกเขา “ใครให้พวกนายวันๆ เอาแต่กินล่ะ ไม่ตั้งใจฝึกฝน งั้นก็คอยจับตามองอยู่ข้างล่างแล้วกัน พวกนายหนักเกินไป ฉันคนเดียวพาไปไม่ไหวหรอก”

เธอพูดจบก็ลอยขึ้นไปคนเดียว

หลี่ว์เอ้อร์ยังคงแหงนหน้ามอง หม่าต้าและหนิวซื่อนั่งลงหน้าโต๊ะชาเมื่อครู่อย่างไม่แยแสและเปลี่ยนชุดถ้วยชา รินน้ำชาที่เมื่อครู่เพิ่งรินไปเพียงสองถ้วยออกมาดื่ม

เมื่อหลี่ว์เอ้อร์หันมาถึงเห็นว่าเพื่อนตายทั้งสองนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้นก็อ้าปากค้าง“เจ๊ใหญ่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ข้างบน ว่าแต่พวกแกกำลังทำอะไรอยู่”

หม่าต้าถลึงตาใส่เขา “ไม่ได้ยินที่เจ๊ใหญ่เตือนเราเรื่องกินเหรอ รีบมาดื่มชากันเถอะ เด็กสาวจากเขาเทียนชิงคนนั้น อาจเคยชินกับความหรูหรา จึงไม่ได้ดื่มเลย ชาที่ผู้อาวุโสใหญ่เอาออกมานั้นคือชาพลังชีวิตระดับสูงเชียวนะ มีพลังชีวิตเข้มข้น ดียิ่งกว่ายาฟื้นฟูพลังชั้นสูงเสียอีก เพียงแต่หลังจากครึ่งชั่วยาม ชาที่ชงแล้วจะไม่มีประโยชน์ พวกเขาน่าจะสู้กันถึงครึ่งค่อนวัน อย่าปล่อยให้มันต้องเสียเปล่าเลย”

ทันใดนั้นหลี่ว์เอ้อร์ก็ตระหนักได้ว่าพี่ใหญ่หม่าฉลาด เขาจึงรีบนั่งลงและหยิบถ้วยชาใหม่ออกมา ให้หม่าต้ารินชาให้ตัวเองด้วย

จากนั้นเขามองไปที่เซี่ยตงที่กำลังหลับตาพักสมองและทักทายอย่างหวังดีว่า “พี่ใหญ่สำนักงานสัจธรรมก็มาดื่มชาด้วยกันสักถ้วยสิ มีสี่ที่นั่งพอดี”

เซี่ยตงส่ายหัว เขามาจากระบบสำนักงานสัจธรรมและเป็นผู้มีพลังพิเศษ อันที่จริงได้รับสวัสดิการดียิ่ง ไม่จำเป็นต้องแย่งทรัพยากรฝึกฝนกับใคร

ในเวลานี้ เหนือถ้ำราชาผีขึ้นไป บริเวณที่พลังหยินเล็ดลอดเข้าไปไม่ได้ ผู้คนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่างเฝ้ามองอย่างกังวล

เมื่อผู้อาวุโสกุ่ยต้าเห็นมังกรเขียวปรากฏตัวย่อมรู้ว่านั่นคือมังกรแห่งจิตวิญญาณ จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง

ฉีเหมยเองไม่ได้โต้แย้งอะไร เพียงแค่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

มังกรเขียวไม่ได้แปลงร่างเป็นอัศวิน A และหลังจากได้ฟังแล้วก็กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอแนะนำศิษย์ผู้สูงส่งแห่งเขาเทียนชิง ทุกเรื่องในใต้หล้า เหตุผลต้องมาก่อน อย่าได้บังคับฝืนใจใคร ท่านไปตามหาวัสดุคุณภาพดีอื่นๆ เถิด อย่าได้เสียเวลาในที่นี้เลย”

ฉีเหมยยิ้ม “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่ท่านมังกรแท้ติดตามข้ากลับไป แม้ว่าเขาเทียนชิงจะอยู่ห่างไกลและไม่ติดต่อกับโลกภายนอก แต่ก็อุดมไปด้วยพืชพันธุ์ พลังชีวิตหนาแน่น และมีสัตว์แปลกหายากมากมาย การอยู่ที่นั่นดีกว่าดินแดนธรรมดาแห่งนี้หลายโยชน์”

เฉียวจื่อเจียงเข้าใจแล้วว่า เธอผู้นี้ไม่เคยกลัวจะสร้างปัญหาใหญ่ เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดที่จะปราบท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณ แล้วจึงไปข่มขู่พระโพธิสัตว์ปีศาจ ไม่รู้ว่าเธอไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน

มังกรเขียวได้ยินก็ตกตะลึง

ระบบ “เอ๊ะ เธอหมายความว่ายังไงกัน”

ฟางหนิงหมดคำพูด “แค่นี้แกก็ไม่เข้าใจเหรอ เธออยากเอาแกไปเลี้ยงในกรง ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะเทียบไม่ได้แม้แต่เจ้าสุนัขเหลืองกับสุนัขดำ อย่างน้อยพวกเขาอยู่กับฉันก็มีอิสระและมีสิทธิสุนัขด้วย แต่ถ้าแกไปอยู่ที่นั่น คาดว่าวันๆ ต้องไปลากรถรักษาภาพพจน์ การเดินทางของพวกเซียนในเทพนิยายใช้มังกรลากรถทั้งนั้น แกยังคิดจะจับปีศาจและฝึกฝนทุกวันอีกเหรอ ฉันแย่กว่านั้นอีก ทำได้แค่หดหัวในพื้นที่ระบบทุกวัน ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้อีก”

ระบบ “หน็อยแน่! เปลี่ยนเธอให้เป็นสีแดงก่อน”

ฟางหนิง “ใครที่ไม่ให้ข้าเล่นอินเทอร์เน็ตกลายเป็นสีแดง!”

ระบบ “แดงจริงๆ ด้วย มหาเศรษฐีโฮสต์เจ๋งจริงๆ ฉันจะขับไล่เธอออกไปเดี๋ยวนี้!”

มังกรเขียวฟื้นตัวอีกครั้งและอยู่ในท่าทีเกรี้ยวโกรธ “ช่างน่าขัน! ข้ามาพร้อมกับอาณัติแห่งสวรรค์และเสียงเรียกร้องจากปวงชน แบกรับความรับผิดชอบอันหนักอึ้งแห่งสันติภาพ จะตามเจ้ากลับไปที่เขาเทียนชิงได้อย่างไร! ข้าเห็นว่าแม้เจ้าจะมีบาปติดตัวแต่ยังไม่หนัก ขอแนะนำเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายรีบกลับไปฝึกฝนซะเถอะ อย่าได้ใช้พลังเที่ยววางมาดไปทั่ว!”

ฉีเหมยยิ้มเย็นชา “พูดไปแล้ว อยากจะเห็นฝีมือที่แท้จริงใช่ไหม ถ้าไม่เกิดเรื่องเมื่อสามปีที่แล้ว ฉันก็ขี้เกียจอ้อมค้อมแบบนี้ ตอนนี้รีบเรียกพระโพธิสัตว์ปีศาจออกมาชุบชีวิตสัตว์ประหลาดให้ฉัน จะถือว่าวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น! มิฉะนั้น ฉันจะจัดการหุบเขาราชาผีให้ราบ!”

ผู้อาวุโสกุ่ยต้ารู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน เขามองกุ่ยเอ้อร์ที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าอีกฝ่ายก็อกสั่นขวัญหายไปหมด สายตามองไปยังท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณ

เขาเคยกลัวอีกฝ่ายจะเป็นจะตาย แต่ตอนนี้มีเพียงอีกฝ่ายเท่านั้นที่ผดุงความยุติธรรม และช่วยฝ่ายตนคลี่คลายหายนะครั้งนี้

มังกรเขียว “พระโพธิสัตว์เป็นสัตบุรุษ ในเมื่อท่านไม่เก็บตัวไม่ออกมา เรื่องที่ทำเกี่ยวข้องกับปวงประชาใต้หล้า ข้าไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดมารบกวนท่านโดยไม่มีเหตุสมควร นับประสาอะไรกับเรื่องส่วนตัวในอดีตของเจ้า อีกครึ่งปีจะมีโอกาสเอง เหตุใดจึงต้องบีบบังคับกันในตอนนี้”

ถึงตอนนี้ฉีเหมยหมดความอดทนไปนานแล้ว เพียงแต่เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนนั้น เคยถูกลงโทษกักบริเวณเป็นเวลานานถึงได้อดทนมาจนถึงตอนนี้

เธอได้ลงเขามาในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าสุดท้ายอาจารย์พูดอะไรกับเบื้องบนกันแน่จึงได้รับอนุญาต ก่อนจากมาอาจารย์กำชับเธอเป็นพิเศษ ‘ห้าม “จงใจหาเรื่อง” เป็นอันขาด’ ซึ่งได้เน้นย้ำเป็นพิเศษ…

แต่ตอนนี้ไม่ถือว่าเธอจงใจหาเรื่อง เจ้ามังกรเขียวตัวนี้ต่างหากที่บีบบังคับตนก่อน

เธอยิ้มอย่างเย็นชาเมื่อได้ยินดังนั้น และโยนขวดหยกก่อนหน้านี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ภาพเหตุการณ์ของพลังหยินที่หลั่งไหลเข้ามาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในทันใด พลังหยินมหาศาลจากหุบเขาวิญญาณด้านล่างลอยขึ้นมายังขวดหยกกลางอากาศราวกับน้ำพุ

จงหงอิง ผู้อาวุโสกุ่ยต้าและผู้อาวุโสกุ่ยเอ้อร์ต่างอุทานพร้อมกัน “ท่านเทพ ปล่อยให้พลังหยินเหล่านั้นถูกดูดไปไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นเหล่าวิญญาณชั่วร้ายที่ถูกจองจำในภูเขาจะก่อความโกลาหล!”

มังกรเขียวตะลึงพรึงเพริดอีกครั้ง

ฟางหนิง “ระบบ ฉันรู้ว่าแกกำลังคิดอะไร แกจัดการเรื่องสำคัญก่อน”

ระบบ “อ้อ เข้าใจแล้ว…”

เห็นเพียงมังกรเขียวกระตุกร่างกาย จากนั้นสายฟ้าสีม่วงก็พุ่งเข้าใส่ร่างกายของเขา เพียงชั่วพริบตาก็ทะยานเข้าใส่ขวดหยก ตามด้วยเสียงคำรามที่สะเทือนขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า

เมื่อเห็นดังนั้น ฉีเหมยก็หัวเราะเยาะไม่หยุด “เป็นอีกคนที่ต้องการเก็บขวดสมบัติหยกมรกต ช่างอวดฉลาดเสียจริง! เจ้าคิดว่าข้าโยนไปมั่วหรือไง กลับมาที่รัก!”

ขวดหยกใบนั้นกลับไม่ตอบสนอง มันถูกมังกรเขียวกลืนเข้าไป

ฉีเหมยประหลาดใจนิดหน่อย จึงรีบร่ายคาถา “ปราณแบ่งหยินหยาง เชื่อมโยงและยับยั้งซึ่งกัน ระเบิด!”

มังกรเขียววาดหัวส่ายหาง ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและมองลงมาที่เธออีกครั้ง

ในตอนแรกฉีเหมยยังคงฉายแววมั่นใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็หน้าเปลี่ยนสี “ให้ตายเถอะ เป็นไปไม่ได้ ขวดสมบัติหยกมรกตถูกหลอมรวมเข้ากับเลือดเนื้อของฉันแล้ว ต่อให้ถูกเก็บไปไว้ในอุปกรณ์มิติใดก็ตาม ก็ไม่อาจขวางกั้นการตอบสนองเส้นเลือดของฉันได้!”

ระบบ “ได้สมบัติมาอีกหนึ่งชิ้น เพียงแต่มันไม่ซื่อสัตย์มากนัก ฉันขังมันไว้ในห้องขังเดี่ยวแล้ว”

ฟางหนิงชูนิ้วโป้ง “เจ๋ง!”

หลังจากนั้นสีหน้าของฉีเหมยก็สงบลงอย่างรวดเร็ว อาวุธศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นในมือของเธออีกชิ้น มันคือชุดเข็มเงินวิบวับหลายสิบเล่ม

เธอยื่นมือออกไปในอากาศ เข็มเงินเหล่านั้นก็เรียงตัวกันและพุ่งเข้าหาร่างมังกรทันที

มังกรเขียวเพียงส่งเสียงคำรามที่สะเทือนไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า เข็มเงินเหล่านั้นก็พุ่งไปที่ร่างของมังกร แล้วหายไปพร้อมกัน

ฉีเหมยจึงตระหนักได้ว่า “เสียงคำรามของท่านช่างประหลาด ไม่คิดว่าจะสามารถสลัดจิตต้องห้ามที่ร่ายบนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้…”

ทว่าเธอไม่ได้ตื่นตกใจแต่อย่างใด ทันใดนั้นกระบี่เล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ เพียงขยับนิดเดียวก็ทะยานใส่ข้างตัวมังกรเขียว ฟันฉับ!

ฟางหนิง “โอ๊ะโอ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าต่อสู้กับท่านเทพในระยะประชิด เธอเป็นคนแรกหรือเปล่า”

ระบบ “ฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะเป็นคนแรกหรือเปล่า ฉันแค่ต้องให้เธอเข้าใจว่า การโยนอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างเมื่อครู่ปลอดภัยกว่า…”

ขณะนี้ ณ ฐานบัญชาการใหญ่สำนักงานสัจธรรม กู่ปู้เหวยกำลังปรึกษาหารือกับเหรินรั่วเฟิงเรื่องขั้นตอนของงานแลกเปลี่ยนสมบัติจู่ๆ ก็ผงะไปชั่วขณะ จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

เหรินรั่วเฟิงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นดังนั้น จึงเอ่ยถาม “สหายกู่ เหตุใดจู่ๆ ถึงยิ้มล่ะ”

กู่ปู้เหวยส่ายหัวพลางเอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก ดูเหมือนสาวน้อยจะเล่นอะไรพิเรนทร์อีกแล้ว”

เหรินรั่วเฟิงไม่ได้ซักถามต่อ เพียงแต่ปรึกษาหารือราคาของวัสดุต่างๆ กับอีกฝ่ายต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พวกเขาจำเป็นต้องมีราคาแนะนำวัสดุพลังชีวิตส่วนใหญ่อย่างเป็นทางการ จึงจะสะดวกในการแลกเปลี่ยนในงานแลกเปลี่ยนสมบัติ มิฉะนั้น ประสิทธิภาพจะต่ำเกินไป ทุกคนต่างรู้สึกว่าสมบัติของตัวเองดีและแลกเปลี่ยนไม่ได้เสียที ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากในระยะแรกๆ แม้แต่ไม้ผุๆ ท่อนหนึ่งที่มีประโยชน์บ้างก็ต้องต่อรองกันถึงครึ่งค่อนวัน

……………………………………………………