บทที่ 385 ความลับ
บทที่ 385 ความลับ
เฉกเช่นกับวิหารแห่งแสงของเขตฮัวเซีย ที่ซึ่งเป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยชื่อเสียงและเกียรติยศในสายตาของเผ่าพันธ์มนุษย์มากเสียยิ่งกว่าเมืองจักรวรรดิเสียอีก สังเกตได้จากเมืองหลักแต่ละเมืองต่างก็มีวิหารแห่งแสงถูกสร้างขึ้น ณ ที่ใจกลางเมืองด้วยแทนที่จะเป็นที่พำนักชาววัง
ในขณะเดียวกันก็มี NPC เลเวลสูงหลายคนในอาณาจักรมนุษย์ที่ดูจะไม่ชอบคนจากวิหารแห่งแสงเหมือนกัน อย่างเช่น เจ้านายในเมืองหลัก หรือพวกที่อยู่ในเมืองจักรวรรดิ เพราะเมืองนั้นไม่มีแม้กระทั่งวิหารแห่งแสงภายในเมือง นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ยอมให้วิหารแห่งแสงติดตั้งแท่นเทเลพอร์ตไว้ภายในเมือง ทำให้จุดเทเลพอร์ตของวิหารแห่งแสงต้องไปอยู่นอกเมืองแทน
ในส่วนของอาณาจักรเอลฟ์ พวกเขาก็เชื่อในเทพธิดาแห่งธรรมชาติ เพราะงั้นจึงไม่มีวิหารแห่งแสงอยู่ภายในอาณาจักรนั้นเลย
ยิ่งในส่วนอาณาจักรออร์คยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาพิเศษที่สุด เซียวเฟิงเคยไปยังแผนที่ที่ชื่อว่า ‘ป่าแห่งหลุมพรางปีศาจ’ มาก่อนเพื่อที่จะไปตามล่าหาหนังสือสกิล มันเป็นพื้นที่ของเดอะวูล์ฟ และเซียวเฟิงก็ได้สกิลถ้อยคำแห่งเงามาจากที่นี่
นอกจากนี้มันยังมีแผ่นหินโบราณมากมายเห็นได้ทั่วแม็ป บางก้อนก็ยังสลักไว้ไม่เสร็จดี ในขณะที่บางก้อนก็พูดถึงแสงสว่าง
แม้ว่าถ้อยคำและประโยคที่ถูกจารึกไว้บนแผ่นหินนั้นจะไม่ราบรื่นและสอดคล้องกันสักเท่าไหร่ แต่ก็พอจะบอกได้ว่าสิ่งเหล่านี้กำลังพูดถึงเบื้องหลังของแสงสว่าง ที่ซึ่งดูจะไม่ได้สว่างไสวเหมือนเบื้องหน้านัก ยังมีอะไรอีกมากมายที่ถูกซ่อนไว้เบื้องหลังแสงสว่างนี้
ในตอนนั้น แม้ว่ามันจะดูน่าสนใจ แต่เซียวเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น นั่นเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเบื้องหลังของโลกแห่งเกมเท่านั้น ทว่าตอนนี้เขาจำเป็นต้องหาวิหารแห่งแสงให้เจอเพื่อที่จะได้กลับไปยังเขตฮัวเซีย ฉะนั้นจึงต้องศึกษาเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้น
“การปรากฏขึ้นของวิหารแห่งแสง ณ อาณาจักรนี้ ต้องย้อนกลับไปมากถึงหนึ่งหมื่นปีก่อน พวกเขามาเพื่อมอบแสงสว่างและความสงบสุข ทว่าท่านนักบุญที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรากลับได้ให้คำทำนายไว้ว่าแสงสว่างเหล่านี้จะนำพาซึ่งหายนะมาให้ในภายหลัง”
มหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่พูดช้า ๆ “ไม่นานนักหลังจากที่วิหารแห่งแสงปรากฏขึ้นในดินแดนแห่งพระเจ้า ความมืดมิดก็ปรากฏขึ้นตาม ๆ กันมา นำโดยจอมปีศาจที่ทรงพลังมากมาย อสูรกายแห่งความมืดมิดถูกปลุกระดมแล้วเข้าจู่โจมดินแดนแห่งพระเจ้า ปฐมบทของสงครามเพื่อขับไล่เผ่าพันธุ์แห่งความมืดจึงได้เริ่มต้นขึ้นบนแผ่นดินแห่งพระเจ้าแผ่นนี้ จากสงครามแต่ละครั้ง วิหารแห่งแสงได้รับความชื่นชมและการไว้วางใจในฐานะที่เป็นผู้ต่อต้านเผ่าพันธุ์แห่งความมืด พวกเขาได้รับสิทธิพิเศษมากมายรวมถึงมีตำแหน่งชัดเจนบนดินแดนแห่งพระเจ้าโดยเฉพาะในอาณาจักรมนุษย์”
“ภายใต้การนำทางของวิหารแห่งแสง ทัพที่เกิดจากความร่วมมือกันของวิหารแห่งแสง เผ่าพันธุ์มนุษย์ และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ภายในดินแดนแห่งพระเจ้าจึงได้ถึงกำเนิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านเผ่าพันธุ์แห่งความมืด และผลลัพธ์มันก็ทำให้วิหารแห่งแสงสามารถยืดหยัดอยู่ได้ตลอดจนกระทั่งพวกเขาแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทั้งโลกใบนี้”
“ยิ่งความมืดมิดเกิดใหม่ได้เรื่อย ๆ มันก็ยิ่งทำให้ดินแดนแห่งพระเจ้าต้องหวังพึ่งพลังของวิหารแห่งแสงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ในขณะที่เผ่าพันธุ์อื่นเริ่มจะเดินตามความเชื่อของตนเอง เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างก็กลายเป็นผู้ศรัทธาในวิหารแห่งแสงกันเกือบจะทั้งหมด”
“อย่างไรก็ตาม เหล่าวิหารแห่งแสงต้องการที่จะขยายอำนาจเข้าไปยังดินแดนที่เทพเจ้าคนอื่นปกครองอยู่ ซึ่งมันทำให้เผ่าพันธุ์ที่เชื่อในเทพเจ้าองค์นั้น ๆ ไม่พอใจ กลายเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามมากมายนับครั้งไม่ถ้วน”
“ความรุนแรงของสงครามเหล่านี้ทำให้เทพเจ้าแต่ละองค์ต้องลงมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ในท้ายที่สุด เมื่อสงครามทุเลาลง วิหารแห่งแสงก็ถูกบังคับให้ฝังรากลึกลงไปได้แค่เขตแดนมนุษย์เท่านั้น และไม่สามารถย่างกรายเข้าไปยังเขตแดนอื่นที่เทพเจ้าองค์อื่นปกครองอยู่”
“ไม่เพียงเท่านั้น การกระทำของวิหารแห่งแสงเอง ยังทำให้เหล่ามนุษย์ที่ศรัทธาตระหนักได้ถึงความผิดปกติด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีปราชญ์ผู้หยั่งรู้มาพูดถึงคำทำนายที่ว่า แสงสว่างนั้นมาคู่กับความมืด มันก็ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัย”
“ในตอนแรก พวกเขายังไม่เข้าใจกันว่าคำทำนายนี้หมายความว่าอย่างไร แต่หลังจากได้เฝ้าสังเกตการณ์ดูการกลับมาใหม่ทุกครั้งที่โดนกำจัดของพวกเผ่าพันธุ์แห่งความมืดที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น น่าแปลกที่พวกมันจะก่อสงครามในจุดที่วิหารแห่งแสงมีอิทธิพลเข้าถึงเท่านั้น น้อยครั้งมากที่มันจะปรากฏตัวไปยังเขตแดนอื่น และทุกครั้งที่วิหารแห่งแสงเอาชนะพวกมันได้ เกียรติยศและผู้ศรัทธาก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วย”
เซียวเฟิงเริ่มช็อก นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเองได้ยินเรื่องราวในแง่นี้ของวิหารแห่งแสง และเขาก็ไม่คิดด้วยว่ามหาปุโรหิตผู้นี้จะพูดเรื่องเหลวไหล น้อยที่สุดมันต้องมีมูลความจริง เขาคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดถาม
“ท่านมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ครับ ท่านกำลังจะบอกว่า เผ่าพันธุ์แห่งความมืด มีความสอดคล้องกับวิหารแห่งแสงงั้นเหรอ? เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเหล่าทัพแห่งความมืดพวกนี้ คือสิ่งที่วิหารแห่งแสงใช้ขยายขอบเขตแรงศรัทธา?”
อย่างไรก็ตาม มหาปุโรหิตก็ส่ายหัวให้เรื่องที่เซียวเฟิงพูด “นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่ยังไม่ได้รับการยืนยันน่ะ ท่านนักผจญภัย บางทีมันอาจจะไม่สามารถยืนยันได้ด้วย ซึ่งแม้แต่เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยให้คำทำนายไว้ ก็ยังพยายามหลีกเลี่ยงที่จะยืนยันเรื่องนี้เลย”
“ทำไมล่ะครับ?” เซียวเฟิงอดไม่ได้ที่จะถามต่อ
“เพราะเผ่าพันธุ์แห่งความมืดนั้นทรงพลังเกินไป พวกนั้นน่ากลัว และสามารถนำพาซึ่งหายนะมายังดินแดนแห่งพระเจ้าได้ทุกเมื่อ วิหารแห่งแสงเป็นเพียงกำลังหนึ่งเดียวที่มีหน้าที่เข้าต่อต้านอสูรร้ายเหล่านี้ พลังแห่งพระผู้เป็นเจ้าน่ะ เปรียบเสมือนเทวาผู้มอบความตายให้แก่เผ่าพันธุ์แห่งความมืดทั้งหมด ถ้าหากปราศจากวิหารแห่งแสงแล้ว ดินแดนแห่งพระเจ้าอาจจะกลายเป็นเพียงอดีตแผ่นดินที่เคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่ก็ได้”
มหาปุโรหิตถอนหายใจ “ดังนั้น เพื่อชัยชนะในสงครามศักดิ์สิทธิ์ ทุกเผ่าพันธุ์จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งจากวิหารแห่งแสงและส่งกำลังในการต่อสู้เป็นจำนวนมากในการสู้รบแต่ละครั้ง”
ได้ฟังเช่นนั้นเซียวเฟิงก็เริ่มจะเข้าใจได้ ถึงเหตุผลที่บอกว่าข้อสันนิษฐานนั้นไม่มีใครกล้าไปพิสูจน์ นั่นเพราะถ้าหากแสงสว่างและความมืดคือสิ่งเดียวกันจริง ๆ ดินแดนแห่งพระเจ้าจะไม่มีทางต่อต้านการเข้าโจมตีของกองทัพแห่งความมืดได้อีก และพวกเขาก็พร้อมที่จะถูกทำลายอยู่ตลอดเวลาด้วย
ดังนั้นแล้ว แม้ว่าเผ่าพันธุ์อื่นที่นับถือเทพเจ้าต่างองค์กันจะรับรู้ถึงข้อสงสัยในตัววิหารแห่งแสงกันหมดแล้ว แต่พวกเขาก็ยังต้องทำงานร่วมมือกับวิหารแห่งแสงอยู่แม้จะเพียงแค่ผิวเผินก็ตาม และเมื่อไหร่ที่สงครามอุบัติขึ้นอีก พวกเขาก็คงจะต้องเข้าร่วมรบด้วยอย่างไม่สามารถขัดขืนได้…
แต่เดิมเซียวเฟิงคิดไว้ว่าเนื้อเรื่องเกมของมิธนั้นค่อนข้างเรียบง่ายมาก ทว่าพอมารู้ถึงเรื่องนี้ มันทำให้เขารับรู้ได้ถึงความลับที่ยิ่งใหญ่ที่ยังไม่ถูกเปิดเผยอีกมากมาย และสิ่งเหล่านี้มันก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเซียวเฟิงมากขึ้นกว่าเดิมอีก
แน่นอนว่าในฐานะคนฟัง คำพูดของมหาปุโรหิตคนนี้ก็ไม่อาจจะเชื่อถือได้ 100% เพราะบางทีมันอาจจะเป็นการใส่ร้ายวิหารแห่งแสงด้วยก็ได้ ยังไงเสียเขาเหล่านี้ก็นับถือพระเจ้าต่างกัน
“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าท่านนักผจญภัยไปได้ยินข่าวเรื่องวิหารแห่งแสงมาจากไหน แต่ท่านอยู่ให้ห่างจากแหล่งข่าวเหล่านั้นจะดีกว่านะ อย่าเข้าหาวิหารแห่งแสงไปให้มากกว่านี้เลย” มหาปุโรหิตย้ำเตือนเซียวเฟิง
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ นักผจญภัยเฉกเช่นพวกผมน่ะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็มีชีวิตไม่จำกัด ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าผมจะได้รับผลกระทบจากวิหารแห่งแสงหรอก” เซียวเฟิงพูด
“…พระแม่นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ของพวกข้าได้ทำนายเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ไว้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ การปรากฏตัวของนักผจญภัยผู้ที่จะมาช่วยปกป้องดินแดนแห่งพระเจ้าให้พ้นจากหายนะที่มาจากการรุกรานของเหล่าทัพแห่งความมืด ถึงแม้ว่าพวกข้าจะยังไม่รู้ว่ามันหมายถึงคนคนนี้จะมาคอยกำจัดเหล่าทัพแห่งความมืด มาถอนรากถอนโคนความชั่วร้ายหรือมาทำอย่างอื่นที่ข้าไม่อาจหนั่งถึงได้ แต่ข้ามั่นใจ ว่านักผจญภัยอย่างพวกท่าน จะต้องเป็นหนึ่งในความหวังของดินแดนแห่งพระเจ้าแน่ ๆ”
มหาปุโรหิตแสดงความกังวลออกมา
“ท่านมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ ท่านพอจะช่วยบอกผมเกี่ยวกับวิหารแห่งแสงเพิ่มอีกสักหน่อยได้ไหม? ผมอยากจะออกสำรวจเพื่อหาความลับของวิหารแห่งแสงให้ได้” เมื่อเห็นว่ามีโอกาสแล้ว เซียวเฟิงก็รีบพูดออกไปทันที
“…เข้าใจแล้ว ในเมื่อท่านนักผจญภัยจะกลายมาเป็นความหวังของดินแดนแห่งพระเจ้า มันคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสักทีเดียวที่จะให้ท่านเข้าหาวิหารแห่งแสง ไม่ว่าจะมีความลับใดซ่อนอยู่เบื้องหลังวิหารแห่งแสง ข้าคงต้องขอฝากให้ท่านนักผจญภัยช่วยเปิดเผยมันออกมาด้วย มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะสามารถช่วยปกป้องดินแดนแห่งพระเจ้าได้” มหาปุโรหิตพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นเซียวเฟิงก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนภารกิจดังขึ้น
[ท่านจะยอมรับภารกิจลับ ‘ผู้นำทางแห่งแสง’ หรือไม่?]
“ยอมรับ!”
สิ่งนี้เป็นภารกิจลับจริง ๆ ด้วย ดังนั้นเซียวเฟิงจึงไม่รีรอที่จะรับมันไว้ ไม่ว่าจะเป็นภารกิจรูปแบบไหนก็ตาม นั่นเพราะจุดประสงค์เดิมของเซียวเฟิงก็คือตามหาวิหารแห่งแสงอยู่แล้ว เหล่า NPC ภายในเขตฮันกึลไม่เชื่อในเทพธิดาแห่งแสง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะหาวิหารแห่งแสงเจอ อย่างน้อย ๆ เซียวเฟิงอาจจะได้คำบอกใบ้อะไรบางอย่างมาจากภารกิจลับนี้ก็ได้
“จักรวรรดิของพวกเรานั้นตั้งอยู่ ณ เกือบจะสุดขอบของดินแดนแห่งพระเจ้า พวกเราเชื่อในเทพเจ้าแห่งชีวิตและใช้เวทมนตร์คุ้มกันที่แข็งแกร่งปกป้องพวกเราไว้ ดังนั้นแล้ววิหารแห่งแสงจึงไม่สามารถย่างกรายเข้ามายังดินแดนของพวกเราได้”
มหาปุโรหิตพูดเสียงเบา ชัดเจนว่าจักรวรรดิที่ว่านั้นหมายถึงเขตฮันกึล ส่วนเวทมนตร์คุ้มกันนั้นน่าจะหมายถึงเส้นแบ่งเขตแดน
“แต่เท่าที่ข้ารู้มา วิหารแห่งแสงไม่ได้เมินเฉยต่อจักรวรรดิของพวกเราแต่อย่างใด ณ จุดที่อยู่ห่างไกลที่สุดของจักวรรดิที่พวกเราอยู่อาศัย ที่นั่นยังมีผู้ที่เชื่อในวิหารแห่งแสงอยู่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง มหาปุโรหิตก็เปิดปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับมีภารกิจเสริมให้เซียวเฟิงพอดี
[ท่านได้รับคำใบ้ภารกิจ ‘จงไปยังชายแดนจักรวรรดิเพื่อตามหาเส้นทางแห่งแสง’]
“นี่เป็นเบาะแสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ข้าพอจะรู้มาเมื่อครั้งยังเป็นปุโรหิตและท่องไปทั่วจักรวรรดิเพื่อเผยแผ่คำสอนของเทพเจ้าแห่งชีวิต ภายในเมืองเซียนรี่ที่อยู่ชายแดนของจักรวรรดิ มีผู้ที่ยังศรัทธาในพลังของวิหารแห่งแสงอาศัยอยู่ แม้พวกเขาจะอ่อนแอลงไปมาก แต่กระนั้นความศรัทธาในธาตุศักดิ์สิทธ์ก็ยังคงแรงกล้าอยู่ ดังนั้นข้าจึงคิดว่านี่คงเป็นพลังของผู้ศรัทธาในวิหารแห่งแสง และนี่เป็นคัมภีร์เคลื่อนย้ายไปยังเมืองเซียนรี่ ข้าหวังว่ามันจะช่วยท่านได้”
มหาปุโรหิตพูดพร้อมกับส่งม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายให้เซียวเฟิง
“ขอบคุณครับ ท่านมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่” เซียวเฟิงกล่าวขอบคุณ
“ไปเถิดท่านนักผจญภัย หากวิหารแห่งแสงคือผู้บริสุทธิ์จริง ๆ ท่านจะเป็นนำความจริงนี้กลับมาสู่ดินแดนแห่งพระเจ้า แต่ถ้าหากวิหารแห่งแสงคือปีศาจร้าย ท่านจะต้องเปิดเผยความเลวร้ายนี้ให้แก่ทุกคนในดินแดนแห่งพระเจ้าได้ประจักษ์!” ปุโรหิตผู้สูงส่งกล่าวทิ้งทวน
เซียวเฟิงไม่พูดอะไรเสริม เขาพยักหน้าให้กับอีกฝ่ายก่อนจะใช้คัมภีร์เคลื่อนย้ายที่ได้มาและกลายเป็นกลุ่มแสงไป หลังจากที่กลุ่มแสงนั้นเคลื่อนที่หายไปแล้ว เซียวเฟิงก็ถูกพาตัวออกจากเฮียรอนและไปปรากฏตัวที่จตุรัสเทเลพอร์ตที่วุ่นวายอีกครั้ง
[ท่านได้ค้นพบเมืองเซียนรี่ ได้รับค่าชื่อเสียง +10,000 แต้ม!]
ตามที่ระบบได้กล่าววไว้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเซียวเฟิงได้มาถึงยังจุดหมายปลายทาง เมืองเซียนรี่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นเมืองหลักที่อยู่ในเขตแดนอื่น เพราะงั้นค่าชื่อเสียงของเซียวเฟิงจึงเพิ่มทะยานจนน่าตกใจ เหมือนกับเมื่อครั้งที่เจอเมืองฝูซู่ครั้งแรก เขาก็ได้รับค่าชื่อเสียงมากถึง 10,000 แต้มเช่นกัน
รวมค่าชื่อเสียงของเซียวเฟิงในตอนนี้ มันทะลุกว่า 40,000 แต้มไปแล้ว! หรือจะให้พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ค่าชื่อเสียงที่เขาได้จากการค้นพบเมืองหลักสองเมืองในเขตฮันกึลนั้น สูงเทียบเท่าค่าชื่อเสียงที่เขาพยายามเก็บมาตั้งแต่เริ่มเล่นเกมนี้เลย!
สิ่งนี้ทำเอาเซียวเฟิงเริ่มลังเลในการออกจากเขตฮันกึลขึ้นมาเสียแล้ว เพราะถ้าหากยังอยู่ในเขตนี้ต่อไปและค้นพบเมืองหลักใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่าชื่อเสียงของเขาคงจะสูงจนน่าตกใจแน่ ๆ
แต่ตอนนี้ยังไงชายหนุ่มก็ต้องทำตามเป้าหมายของตนเสียก่อน หลังจากที่เซียวเฟิงมาถึงจตุรัสเทเลพอร์ตเมืองเซียนรี่แล้ว เขาก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ทรงพลังของเมืองหลักแห่งนี้ ใช่แล้ว! ที่นี่จะต้องเกี่ยวข้องกับวิหารแห่งแสงแน่ ๆ!
เซียวเฟิงรีบเดินออกจากหมู่คนที่จัตุรัสเทเลพอร์ต เขามองไปรอบ ๆ ตัวและเลือกหาเส้นทางที่มีบรรยากาศของความศักดิ์สิทธิ์ชัดเจนและแข็งแกร่งที่สุด ทว่าตอนนั้นเอง เสียงสัญญาณเตือนว่าเพื่อนล็อกอินก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
[เพื่อนของท่าน หลีเซียนหยุน ล็อกอินเข้าเกมมาแล้ว]