บทที่ 384 ต้องห้าม

บทที่ 384 ต้องห้าม

แววตาของหนิงเคอเค่อแดงก่ำ เธอดูหวาดกลัวภายใต้น้ำเสียงที่กำลังสั่นคลอนนั้น…

“ฉะ…ฉันไม่เป็นไรค่ะ…”

“พูดมาน่า! เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น! หรือว่าเจ้าทาสตัวผู้นี่รังแกเธอเหรอ!?” ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนของเซียวหลิงจริงจังมากขึ้นแล้ว

“ฉันก็นั่งอยู่กับเธอตรงนี้ไม่ใช่หรือไง?” เซียวเฟิงพูดขึ้นเพราะถูกกล่าวหา แต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนิงเคอเค่อ

“ใครจะไปรู้เล่า บางทีนายอาจจะแอบไปขโมยชุดชั้นในของเธอก็ได้!”

เซียวหลิงโต้ตอบอย่างไร้ความปรานี มันทำให้เซียวเฟิงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความช่วยอะไรไม่ได้

“ไม่! ไม่ใช่ค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายท่านเลย…” หนิงเคอเค่อรีบพูดแย้ง “คะ…คนที่ทำฉันคือคุณโตวโต้วกับคุณจิ๋งจิ๋งค่ะ… พวกเขา…”

“พวกนั้นทำไมน่ะ?” เซียวหลิงรู้สึกสับสนหลังได้ยินเช่นนั้น

“พะ…พวกเขาจับฉันไว้แล้วก็เข้ามาขยำหน้าอกของฉันน่ะค่ะ… จากนั้นก็พยายามถามความลับที่ทำให้หน้าอกใหญ่…” ขณะที่กำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกไปนั้น หนิงเคอเค่อก็เผลอยกมือขึ้นบดบังหน้าอกที่ใหญ่โตของตนเองไปด้วยโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าของเธอเองมันก็แดงขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะกลายเป็นลูกเชอร์รี่ไปแล้ว

“แล้วเธอบอกยัยพวกนั้นไปแล้วเหรอ? ยัยคนทรยศ!” ทันทีทันใด เซียวหลิงก็ตะโกนออกมาเสียงดัง

“ไม่ค่ะ ไม่ได้บอก…แล้วฉันไม่รู้ความลับอะไรนั่นหรอกค่ะ…” เด็กสาวเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้วเมื่อโดนขึ้นเสียงเช่นนั้น

“โอเค ๆ พอแล้ว เคอเค่อ นั่งลงแล้วกินข้าวก่อน เดี๋ยวเรื่องส่งอาหารให้พวกนั้น ฉันจัดการเอง” เซียวเฟิงเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะงั้นเขาจึงหยุดมันเอาไว้ก่อนเพื่อไม่ให้หนิงเคอเค่อช้ำใจไปมากกว่านี้

“ขอบคุณค่ะ นายท่าน…” หนิงเคอเค่อรีบหันมองเซียวเฟิงด้วยความขอบคุณ จากนั้นจึงเดินไปที่โต๊ะอาหารและนั่งลงไป

เซียวเฟิงส่ายหน้าอีกครั้งก่อนจะรีบทานอาหารของตนให้เสร็จ

“เจ้าทาสตัวผู้กลิ่นแรง ในเมื่อนายกลับมาแล้ว พาองค์หญิงเซียวหลิงไปเก็บเลเวลด้วย ฉันไม่ได้ค่าประสบการณ์เลยถ้าเสี่ยวไป๋ยังฆ่ามอนสเตอร์อยู่ แต่ถึงอย่างงั้นก็ห้ามเอาเสี่ยวไป๋กลับไปเชียว!” เซียวหลิงคิดถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา เธอวางมีดและส้อมก่อนจะพูด

“เสี่ยวไป๋? เสี่ยวไป๋อยู่กับเธอเหรอ?” เซียวเฟิงนิ่งงันไป

“ใช่! เสี่ยวไป๋น่ะหลใหลในความงดงามขององค์หญิงเซียวหลิงยังไงล่ะ!” เซียวหลิงเชิดหน้าขึ้นสูง จากนั้นก็ใช้มือปัดหางม้าสีทองอร่ามทั้งสองข้างให้ส่ายไปมา

รับรู้เช่นนั้นเซียวเฟิงก็พยักหน้า แต่ถึงแม้ว่าเขาจะดีใจมาก ๆ ที่เซียวหลิงฟื้นตัวได้แล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกหนักใจอยู่ “แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ในเขตฮัวเซียนะ ฉันคิดว่าตัวเองน่าจะยังกลับไปที่เขตนั้นไม่ได้อีกพักใหญ่ ๆ เลย อาจจะช่วยเธอเก็บเลเวลไม่ได้ในเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ ”

“หา? นายไม่อยู่ในเขตฮัวเซีย? แล้วนายไปไหน? นอกประเทศเหรอ?”

เซียวหลิงจ้องมองเซียวเฟิงด้วยแววตาสีฟ้าสวยที่กำลังแสดงความงุนงงและตกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เธอเล่นเกมนี้มาพักใหญ่ ๆ แล้ว เพราะงั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับมิธมากมาย

ยกตัวอย่างเช่น แผ่นดินแต่ละผืนจะมีสิ่งที่เรียกว่า เส้นแบ่งเขตแดนของกันและกันขวางกันอยู่ มันถือเป็นเขตเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งเกมนี้แล้ว เส้นแบ่งเขตแดนนี้ทำให้แผ่นดินแต่ละผืนที่แม้จะติดกันอยู่อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านกันไปได้

“ฉันอยู่ในเขตฮันกึลตอนนี้ คิดว่าอีกไม่นานน่าจะกลับไปได้แล้วล่ะ”

เซียวเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไป ตราบใดก็ตามที่สามารถหาวิหารแห่งแสงได้ เขาก็น่าจะกลับไปได้ และมันน่าจะไม่ได้ใช้เวลานานนัก

“นาย!? ทะ…ทำไมถึงได้ทรงพลังขนาดนี้เนี่ย! ไม่ใช่ว่าเส้นแบ่งเขตแดนมันยังไม่เปิดหรอกเหรอ? นายไปที่นั่นได้ยังไงกันน่ะ?” เซียวหลิงอดไม่ได้ที่จะถาม ยิ่งเธออยู่ในโลกแห่งเกมนานขนาดไหน เธอก็ยิ่งรู้ว่าชื่อเสียงของเซียวเฟิงที่ถือเป็นอันดับ 1 ในเขตฮัวเซียโด่งดังขนาดไหนด้วยเช่นกัน ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของเขาเท่านั้นที่ทำให้ผู้เล่นอีกหลายร้อยล้านคนในเขตฮัวเซียรู้จัก แต่ถึงแม้จะหายตัวไปนานถึงเดือน มันก็ยังมีผู้เล่นภายในเขตคอยพูดถึงสิ่งที่เขาได้กระทำเอาไว้ก่อนหน้าด้วยความหวาดกลัว

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอเองก็รู้ว่าฉันไม่ได้ล็อกอินมาเป็นเดือนแล้ว แต่พอล็อกอินเข้าไปก็ไปโผล่ที่เขตฮันกึลเลย” เซียวเฟิงอธิบาย กระนั้นเซียวหลิงก็ยังแสดงสีหน้าว่าไม่เชื่อในคำพูดของเขาอยู่ดี

“แล้วในเขตฮันกึลมีอะไรสนุก ๆ ทำมะ?” ทันใดนั้นเซียวหลิงก็เปลี่ยนไปถามด้วยความสนใจแทน

“ถึงจะมีหรือไม่มี เธอก็ยังข้ามมาไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละน่า” เซียวเฟิงไม่เข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะงั้นเลยรีบดับไฟตั้งแต่ต้นลมไว้ก่อน เขาวางมีดส้อมของตนลงด้วยและเตรียมอาหารอาหารสำหรับนำขึ้นไปให้สาว ๆ ด้านบน

เซียวหลิงและหนิงเคอเค่อไม่ได้ทานเยอะทั้งคู่ ดังนั้นเซียวเฟิงจึงแยกอาหารครึ่งหนึ่งออกมาและจัดเป็นสี่ชุดแล้วนำขึ้นด้านบนไป

เขาเปิดดูห้องของเฉียนโตวโตวก่อน ทว่าภายในนั้นก็ไม่มีใครอยู่ ซึ่งมันทำให้เซียวเฟิงเริ่มประหลาดใจแล้ว จากนั้นจึงเดินไปยังห้องของซือเยี่ยจิ๋งต่อ แต่ตอนนี้เจ้าของห้องกลับกลายเป็นจืออี้ไปเสียแล้ว

หญิงสาวผู้มาเยือนกำลังนอนอยู่บนเตียงและสวมหมวกเล่นเกมไว้ เธอล็อกอินเข้าเกมไปแล้วเนื่องจากร่างกายของเธอแข็งแรงกว่าคนอื่นเป็นพิเศษ ผนวกกับนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ ผิดกับหลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ อีกสองคน ดังนั้นร่างกายของเธอจึงฟื้นฟูเร็วกว่า แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเซียวเฟิงเป็นเวลาหลายชั่วโมง ขาของเธอก็ยังคงอ่อนแรงอยู่ อีกทั้งยังจำเป็นต้องนอนนิ่ง ๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูมากกว่านี้

“ถึงเวลาอาหารแล้ว”

เซียวเฟิงกดปุ่มที่หมวกเล่นเกมเพื่อเรียกให้เธอล็อกออฟก่อนจะพูดเมื่อเห็นว่าเธอลืมตาตื่นแล้ว

“ขอบคุณนะ ท่านเซียว”

จืออี้ถอดหมวกเล่นเกมออกแล้วลุกขึ้นนั่ง เธอยืดเส้นยืดสายเรือนร่างอันน่าหลงไหลก่อนจะยิ้มโปรยเสน่ห์ให้เซียวเฟิงไปอีกครั้ง

เขาไม่ได้ตอบอะไรเธอ เพียงแค่หยิบอาหารจากถาดมาวางให้เจ้าตัวแล้วเดินออกจากห้องเท่านั้น

“ท่านเซียวต้องเอาอาหารไปส่งให้คุณเฉียงเหว่ยกับคนอื่นด้วยเหรอ?” จืออี้เอ่ยถามขณะที่กำลังแกะตะเกียบของตัวเองอยู่

“ใช่” เซียวเฟิงตอบโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมอง

“ถ้างั้นท่านเซียวคงจะงานท่วมตัวแน่ ๆ พรุ่งนี้ อันที่จริงก็น่าจะเป็นอาทิตย์ ฉันว่าสาว ๆ พวกนั้นคงจะลุกออกจากเตียงไม่ได้เลยล่ะ” จืออี้ยังคงยิ้มหวาน เธอยังจำครั้งแรกของเธอได้ดี หากไม่ใช่ว่าเพราะร่างกายของเธอทนทานกว่าปกติแล้วล่ะก็ เธอเองก็คงไม่ต่างกับสาว ๆ เหล่านั้น เพราะงั้นเธอจึงพอคาดเดาได้เลยว่าสภาพของหลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรตอนนี้

“พวกนั้นทำตัวเอง” พอนึกย้อนกลับถึงต้นเรื่องที่ทำให้พวกเธอมาอยู่ในสภาพนี้ เซียวเฟิงก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วปิดประตูห้องหลังจากเดินออกไปแล้ว

“ดูท่าท่านเซียวจะไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงเลยจริง ๆ น้า…” จืออี้มองตามจนกระทั่งเซียวเฟิงออกไปโดยที่ยังไม่ได้เริ่มกินอะไร เธอยังกัดปลายตะเกียบเอาไว้ขณะเดียวกันก็ยิ้มจาง ๆ ไม่คลายด้วย

หลังจากที่เซียวเฟิงเข้ามาในห้องของหลิวเฉียงเหว่ยแล้ว เขาก็พบว่าทั้งสามสาวกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน ถึงแม้ว่าพวกเธอจะนอนเรียงแถวกันเหมือนปลาเค็มตากแห้ง แต่ก็ยังสามารถได้ยินเสียงที่กระซิบกระซาบกันอยู่ได้เป็นระยะ ๆ

“อ๊าาา พี่เซียวเข้ามาแล้ว!”

พลันเมื่อร่างของเซียวเฟิงปรากฏขึ้นมาในระยะสายตา ร่างของสาว ๆ ทั้งสามคนก็รีบมุดเข้าไปในผ้าห่มโผล่ออกมาเพียงแค่หัวเท่านั้น พวกเธอมองเซียวเฟิงด้วยความกังวลและเขินอาย ยังไงเสียตอนนี้พวกเธอก็กลายเป็นผู้หญิงของเซียวเฟิงไปแล้ว…

“พี่เซียว พี่มาทำอะไรที่นี่เนี่ย? หรือว่า…จะทำอีกเหรอ!! พวกเราทำไม่ไหวแล้วนะ!” เฉียนโตวโตวเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อนด้วยเสียงดังและกังวล

“อย่าพูดไร้สาระน่า รีบลุกขึ้นมากินอาหารซะ ไม่มีแรงกันไม่ใช่หรือไง?”

เซียวเฟิงไม่สนใจพวกเธอเหล่านั้นและวางถาดอาหารไว้ที่ข้าง ๆ เตียง

“โอ๊ะ ขอบคุณมากเลยค่ะพี่เซียว! พี่เซียวเนี่ย ใจดีกับพวกเราจริง ๆ ฮี่ ๆ!” เมื่อรู้ว่าเข้าใจผิดไป เฉียนโตวโตวจึงรีบตอบกลับด้วยใบหน้าหวานจ้อย

เขาส่ายหน้าแล้วหันหลังเดินออกไปและไม่ลืมที่จะปิดประตูให้พวกเธอใช้เวลาส่วนตัวด้วย

“เห็นไหม! ฉันบอกแล้วว่าพวกเราตัดสินใจถูกแล้ว!” เฉียนโตวโตวหันกลับมามองหลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋งพร้อมกับโพล่งออกมาเสียงดัง

เมื่อกลับมาถึงห้องของตนเองแล้ว เซียวเฟิงก็หยิบหมวกเล่นเกมมาสวมและล็อกอินเกม เขาต้องรีบกลับไปยังฮัวเซียให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ภาพปรากฏขึ้นในตาของเขา มันยังคงเป็นย่านจัตุรัสเทเลพอร์ตภายในเมืองฝูซู่ดังเดิม นั่นหมายถึงเขาไม่ได้ถูกฆ่าดังที่หวังไว้ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าการที่เส้นแบ่งเขตแดนยังไม่เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเช่นนี้ ผู้เล่นที่หลงเข้ามายังเขตแดนอื่นเช่นเขาจะไม่ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นผู้เล่นที่มีชื่อสีแดง

หลังจากที่สำรวจข้อมูลต่าง ๆ ชายหนุ่มก็ไม่พบว่าตนเองมีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าหลีเซียนหยุนจะยังไม่ส่งข้อมูลเกี่ยวกับวิหารแห่งแสงให้เขา อนึ่งตอนนี้ในรายชื่อเพื่อนของเขา เธอก็ยังไม่ออนไลน์ด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถถามอะไรได้เลย

เซียนเฟิงส่ายหน้าและล้มเลิกความคิดที่จะพึ่งพาคนอื่นไปแล้ว ดูท่าเขาคงจะต้องพึ่งตนเองเพียงอย่างเดียว

ในตอนนี้เป้าหมายของเซียวเฟิงคือการไถ่ถาม NPC เพราะยังไงเสียวิหารแห่งแสงก็ถือเป็นของเหล่า NPC อยู่แล้ว ไหนจะมีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ อีก อย่างน้อย ๆ พวกเขาน่าจะรู้อะไรกันบ้าง

พาตนเองออกจากความวุ่นวายที่จัตุรัสเทเลพอร์ต เซียวเฟิงเปิดแผนที่ระบบขึ้นมาดูแล้วมุ่งหน้าไปยังที่อยู่ของชาววังประจำเมืองฝูซู่อย่างรวดเร็ว เขาอยากจะทดลองว่าค่าชื่อเสียงของเขาจะสามารถใช้งานได้ในเขตฮันกึลหรือไม่เป็นอันดับแรก มันคงจะเป็นการดีกว่าหากเขาสามารถเข้าไปยังส่วนนี้ได้ ผู้คนที่อยู่ในวังที่เป็นเมืองหลักจะต้องรู้เกี่ยวกับวิหารแห่งแสงบ้างแน่ ๆ

“เขตพระราชวังเป็นส่วนที่สำคัญมาก ห้ามนักผจญภัยเข้าไปภายในเด็ดขาด!”

โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่ดูเหมือนว่าค่าชื่อเสียงที่สูงส่งของเขาที่ซึ่งสามารถไปได้ทุกที่ในเขตฮัวเซียไม่สามารถใช้ได้ในเขตฮันกึล เขาถูกการ์ด NPC หน้าปราสาทกันตัวออกมาโดยไร้ซึ่งความปรานี

“โอเค ๆ”

เซียวเฟิงรู้ดีว่าดันทุรังเข้าไปก็คงจะไม่ได้ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ชายหนุ่มจึงประนีประนอมแล้วยอมถอยออกมาเพื่อมุ่งหน้าไปยังเฮียรอนแห่งเมืองฝูซู่แทน ที่นี่คือสถานที่ที่เหล่าผู้เล่นนักบวชจะมาเปลี่ยนอาชีพกัน ระบบหลาย ๆ อย่างภายในดูจะเหมือนกับวิหารแห่งแสงทุกประการ บางทีเขาอาจจะขอข้อมูลของวิหารแห่งแสงจากที่นี่ได้ เป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นอีกชื่อที่คนเขตนี้ใช้เรียกวิหารแห่งแสง

จากตำแหน่งและที่ตั้ง เห็นได้ชัดว่าเฮียรอนนั้นมีอิทธิพลต่อตัวเมืองค่อนข้างสูง เพราะมันตั้งอยู่ใจกลางเมืองฝูซู่เลย และเมื่อเซียวเฟิงได้เห็นโครงสร้างของเฮียรอนเข้ามาในระยะสายตา เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า ที่นี่กับวิหารแห่งแสง ไม่มีอะไรใกล้เคียงกันเลยสักนิด

นั่นเพราะสถาปัตยกรรมของเฮียรอนนั้นคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมโบราณของฮัวเซียที่ใช้อิฐสีฟ้า กระเบื้องสีดำและมีเสาสีแดงเสียมากกว่า NPC ภายในนี้หลายคนสวมใส่เป็นชุดบาทหลวงสีดำกันให้เห็นได้ละลานตา

เขาใช้ทักษะตรวจสอบ แล้วจึงพบว่าคลาสที่สองของนักบวชในเขตฮันกึลนั้นถูกเรียกว่า ‘มหาปุโรหิต’ ซึ่งนี่ก็ถือว่าชัดเจนว่ามันต่างกับคลาสนักพิธีกรรมที่เปลี่ยนได้ในวิหารแห่งแสงมากเอาการ

อย่างไรก็ตาม ถึงเฮียรอนและวิหารแห่งแสงจะแตกต่างกันมาก ๆ แต่ระบบภายในก็เหมือนกันอย่างที่คาดไว้ ดังนั้นเซียวเฟิงจึงตัดสินใจเดินเข้าไปและสอบถาม

ครั้งนี้โชคของเขายังดีที่เฮียรอนนี้เปิดให้ผู้เล่นเข้าไปได้ หลังจากที่เดินวนไปวนมาภายในอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พบกับ NPC ที่เลเวลค่อนข้างสูง มหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่

“เอ่อ สวัสดีครับ ท่านมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่”

เซียวเฟิงก้าวเท้าเข้าไปเพื่อทักทาย หลังจากที่รู้แล้วว่าค่าชื่อเสียงของตนใช้กับที่นี่ไม่ได้ เซียวเฟิงจึงทำตัวสุภาพกับอีกฝ่ายมาก ๆ เผื่อว่ามันจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับ NPC ได้บ้าง

“โอ้? ท่านนักผจญภัย มีอะไรงั้นเหรอ? ถ้าหากท่านมาเพราะเรื่องภารกิจล่ะก็ เชิญท่านไปสอบถามกับการ์ดหน้าเฮียรอนหรือไม่ก็เอลฟ์เฮียรอนได้เลย ข้ายังไม่มีอะไรให้ท่านช่วยหรอก” ชายผู้สวมชุดนักบวชสีดำ มหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่หันมาทักทายเซียวเฟิงด้วยความสุภาพเช่นกัน เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นที่กลางอกแสดงความเคารพผู้ที่มาพูดด้วย เพียงเพราะค่าชื่อเสียงของเซียวเฟิงยังน้อย ดังนั้นระบบจึงไม่มีภารกิจที่เขาสามารถทำได้นอกจากนี้มหาปุโรหิตผู้นี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเซียวเฟิงแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่น ๆ ในเขตฮันกึลด้วย

“ผมไม่ได้มาที่นี่เพราะภารกิจหรอกครับ พอดีผมมีเรื่องอยากจะสอบถามท่านสักหน่อย” เซียวเฟิงพูด

“โอ้? ท่านอยากทราบเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” มหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ถามกลับด้วยความสนใจเล็กน้อย

“ท่านมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ ท่านเคยได้ยินเรื่องของวิหารแห่งแสงบ้างหรือเปล่าครับ?” เมื่อได้สิทธิ์ เซียวเฟิงก็ถามออกไปในทันที

“วิหารแห่งแสงเหรอ!? ท่านนักผจญภัย ท่านไปได้ยินชื่อของวิหารแห่งแสงนี้มาจากไหนกัน!” ทันทีทันใด สีหน้าและท่าทีของมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่นี้ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขารีบลดเสียงให้เบาลงแล้วถามเซียวเฟิง ขณะเดียวกันก็หันมองรอบ ๆ ตัวอย่างระมัดระวังด้วย อย่างกับว่า มันเป็นเรื่องไม่สมควรพูดเสียอย่างนั้น

“อ้อ ผมเผอิญรับรู้มาระหว่างที่ทำภารกิจน่ะครับ เห็นว่าเกี่ยวข้องกับทางทิศตะวันออก” สีหน้าของเซียวเฟิงยังคงไม่เปลี่ยนไป จะมีก็แต่เนื้อหาที่พูด ที่จำเป็นต้องปรับเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย ดูเหมือนว่าการมีอยู่ของวิหารแห่งแสงจะเป็นเรื่องที่เฮียรอนกำลังสอดส่องอยู่เหมือนกันแน่ ๆ โชคดีที่เขาไม่ได้งัดเอาฉายาอาร์คบิชอปแห่งแสงออกมาใช้

“วิหารแห่งแสงเป็นชื่อต้องห้ามที่ไม่สามารถเอ่ยถึงได้เลย” สิ่งนี้หลุดมาจากปากของมหาปุโรหิตที่พยายามพูดให้เบาที่สุด

“ท่านมหาปุโรหิต… ท่านพอจะช่วยเล่ารายละเอียดให้ผมฟังได้ไหมครับ” เซียวเฟิงรีบถามต่อ แต่นี่ไม่ใช่เพราะเขาต้องการจะหาวิหารแห่งแสงให้เจอแล้วกลับไปยังเขตฮัวเซีย แต่เพราะเขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าแท้จริงแล้ววิหารแห่งแสงคืออะไรกันแน่?

จากประสบการณ์ภายในเกมของเซียวเฟิงที่ค่อนข้างคุ้นเคยกับวิหารแห่งแสง มันทำให้เขารู้ว่า ยิ่งเขารู้จักสิ่งนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ความลับที่ยังไม่ถูกเปิดเผยก็ยิ่งประจักษ์ชัดออกมามากขึ้นเท่านั้น