บทที่ 383 เดิมพัน

บทที่ 383 เดิมพัน

[ปาร์ตี้ของท่านปราบบอสระดับเทพเจ้า ‘ยักษ์ปีศาจ’ และผ่าน ‘ดันเจี้ยนเลเวล 35 ดินแดนแห่งอสูรภูผา’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!]

ตู้ม!

ด้วยเสียงระเบิดที่ดังสนั่น ร่างใหญ่ของยักษ์ปีศาจที่สูงตระหง่านเหมือนภูเขาก็แตกกระจายกลายเป็นเศษหินกระเด็นไปทั่ว ด้วยแรงระเบิดนี้มันทำเอาพื้นดินละแวกนั้นสั่นสะเทือนไปหมด

มันเป็นเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้นที่เซียวเฟิงเริ่มโจมตีบอส มองไปยังเศษหินบนพื้นดิน หลีเซียนหยุนที่อยู่ไม่ไกลก็ได้แต่ยืนตะลึงไปกับภาพเหตุการณ์ที่ยังติดตา เธอเห็นทุกการกระทำที่เซียวเฟิงใช้ในการกำจัดบอสเพียงคนเดียว และสิ่งเหล่านี้มันทำเอาเธอช็อกไปพักใหญ่ ๆ ด้วย

เซียวเฟิงครุ่นคิดไปเรื่อยขณะกำลังเก็บไอเทมต่าง ๆ ที่ตกลงมาจากยักษ์ปีศาจที่ตายไป นอกจากเหรียญทองและวัตถุดิบต่าง ๆ แล้ว มันยังมีอุปกรณ์อาวุธรวม ๆ แล้วอีกเก้าอย่าง ระดับต่ำที่สุดคือระดับเงิน แต่โชคไม่ดีที่ไม่มีสูงถึงระดับเทพเจ้า ถึงแม้ว่าระดับที่สูงที่สุดในบรรดาอาวุธเหล่านี้จะเป็นระดับทอง แต่เซียวเฟิงก็ไม่สามารถใช้มันได้ เพราะว่ามันไม่มีคทาหรือไม้เท้าแม้แต่ชิ้นเดียว

เขานำของที่พอจะใส่ได้ขึ้นมาสวมใส่ก่อนโดยไม่สนใจคุณภาพของมัน เพราะยังไงเสียตอนนี้เซียวเฟิงก็ไม่มีอุปกรณ์สวมใส่อะไรเลย อย่างน้อย ๆ สวมอุปกรณ์เหล่านี้ไว้มันก็ยังพอจะช่วยเพิ่มค่าความสามารถพื้นฐานให้สูงขึ้นมาได้บ้าง แม้มันจะเป็นเพียงอุปกรณ์ระดับเริ่มต้นก็ตาม

“ตื่น”

จากนั้นเซียวเฟิงก็หันไปหาหลีเซียนหยุนพร้อมกับโบกมือไปมาเพื่อขัดขวางสายตาเธอที่กำลังเหม่อลอย

“เอ๊ะ!?” หญิงสาวสะดุ้งเหมือนตื่นจากฝันแล้วหันไปมองเซียวเฟิงด้วยความงุนงงราวกับเธอยังคิดว่ามันเป็นฝันอยู่ “นี่นาย…นายฆ่ายักษ์ปีศาจด้วยตัวคนเดียวจริง ๆ เหรอ! บอสระดับเทพเจ้าเลยน่ะนะ!”

“อย่าลืมด้วยล่ะว่าพูดอะไรไว้” เขาปัดไม้ปัดมือราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงแม้ว่าการต้องหาตำแหน่งยืนและคอยหลบการโจมตีจากบอสกว่าชั่วโมงนั้นจะกินพลังงานมหาศาลเลยก็ตาม แต่ในเมื่อศัตรูเป็นยักษ์ปีศาจที่มีขนาดใหญ่ การทำเช่นนี้มันง่ายกว่าเข้าปะทะตรง ๆ เป็นไหน ๆ

“ฉะ…ฉะ…ฉะ…” หลีเซียนหยุนพูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที ถ้าหากเธอไม่ได้เห็นภาพนี้ด้วยตนเองล่ะก็ เธอต้องไม่เชื่อแน่ ๆ ว่าในเกมนี้จะมีคนที่สามารถเอาชนะบอสเทพเจ้าด้วยตัวคนเดียวได้ แต่นี่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่ะ มีเธอเป็นพยานปากเอกเลยนะ!

นี่มันพลังบ้าอะไรกันเนี่ย!? ขนาดคิมจองชานที่เป็นระดับท็อปของเขตฮันกึลก็ยังไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้เลย! ทำไมถึงมีผู้เล่นที่มีพลังระดับนี้โดยที่ไม่มีชื่อเสียงภายในเขตปรากฏตัวขึ้นมาได้? ทำไมเธอไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย!

ไม่สิ ไม่น่าจะใช่การที่เขาไม่เปิดเผยตัวตน แต่เพราะคลาสนักบวชของเขา มันจำกัดตัวเขาไว้ เพราะมันทำให้คนอื่น ๆ มองว่าทั้งเลเวลและพลังในการต่อสู้ของเขาไม่ได้โดดเด่นอะไร

หลีเซียนหยุนคิดแล้วก็รู้สึกสงสาร แต่ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ตอนนี้เซียวเฟิงได้กำจัดบอสระดับเทพเจ้าด้วยตัวคนเดียวดังที่เขาว่าไว้แล้ว และสิ่งสำคัญมันอยู่ที่การเดิมพันที่ให้กับเขาไว้ก่อนหน้าต่างหาก!

“ฉะ…ฉะ…ฉะ…” เสียงของเธอยังคงตะกุกตะกักอยู่อีกพักใหญ่ ๆ จนไม่สามารถพูดให้จบประโยคได้ เธอกำลังรู้สึกเสียใจมาก ๆ ที่ได้ลั่นวาจาแบบนั้นออกไปกับเซียวเฟิง

ใครจะไปคิดว่าเซียวเฟิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ถ้ารู้ก่อนหน้าเธอก็คงไม่เอาตัวเองไปเดิมพันหรอก!

“ทำไม? เธอคิดจะเบี้ยวฉันหรือไง?” แววตาของเซียวเฟิงแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย

“คะ…ใครจะไปเบี้ยวนายกัน!? ฉะ…ฉันคือหลีเซียนหยุนเลยนะ! ไม่มีทางผิดสัญญาหรอก! กะ…ก็ เอ่อ…แค่ยังไม่พร้อมตอนนี้เฉย ๆ! นายต้องให้เวลาฉันสิ! เพราะตอนสัญญานายก็ไม่ได้กำหนดเวลามาด้วยนี่! ห้ามบังคับฉันเด็ดขาดเลย!”

หลีเซียนหยุนหวาดระแวงสายตานั้น เธอรีบพูดถึงเรื่องเวลาที่ผุดขึ้นมาในหัวพอดี อย่างน้อย ๆ นี่ก็น่าจะยืดเวลาชีวิตเธอออกไปได้

“ไม่มีปัญหา ตราบใดที่เธอยังจำมันได้” เซียวเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งมันทำให้หลีเซียนหยุนชะงักไป

ตัวเธอเองก็ถือเป็นคนคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเขตฮันกึล ตอนที่เซียวเฟิงบอกว่าจะเดิมพันด้วยการขอหลับนอนกับเธอนั้น เธอก็เข้าใจไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นพวกโรคจิตแน่ ๆ แม้จะแอบคิดเผื่อถึงตอนที่เซียวเฟิงเกิดชนะเดิมพันขึ้นมาจริง ๆ เธออาจจะโดนบังคับให้ทำเรื่องลามกอีกมากมาย แต่เรื่องจริงกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย ท่าทีและคำพูดของเซียวเฟิงตอนนี้มันอย่างกับคนละคนกัน เขาดูไม่ได้สนใจเรื่องหลับนอนกับเธอขนาดนั้น และนี่จึงทำให้เธอยอมรับไม่ได้

“นาย…” หลีเซียนหยุนอดไม่ได้ที่จะมองเซียวเฟิงอีกครั้ง เธอพยายามจะมองเขาให้ทะลุถ่องแท้ถึงสิ่งที่เป็นตัวตนเขาจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือท่าทีที่เหมือนเป็นพวกบ้ากามแต่แท้จริงแล้วไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยนี้

“มีอะไร?”

เซียวเฟิงกำลังสาวเท้าเดินกลับไปยังทางเข้าดันเจี้ยนอยู่ เขาเอ่ยถามโดยไม่หันหลังกลับมามอง มันไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สนใจหลีเซียนหยุน ไม่มีใครสามารถละสายตาจากสาวงามไปได้ และเซียวเฟิงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น

แต่เป็นเพราะแค่เหล่าสาว ๆ ในบ้านก็สร้างปัญหาให้ชายหนุ่มมากพอแล้ว เขายังไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะกลับไปจัดการเรื่องของพวกเธออย่างไรต่อ การทำตามสัญชาตญาณที่โดนกระตุ้นมันก็ดีอยู่หรอก แต่ในอนาคตมันจะเกิดปัญหามากมายตามมาอีกแน่ ๆ

นอกจากนั้น หลีเซียนหยุนก็เป็นผู้หญิงฮันกึลด้วย ไม่ต้องคิดให้มากความก็รู้ได้ว่าเธอนั้นอยู่ในเขตฮันกึล เซียวเฟิงไม่ได้มีเวลาว่างขนาดแอบบินไปต่างประเทศเพื่อหลับนอนกับผู้หญิงอยู่แล้ว

“ไม่…ไม่มีอะไรทั้งนั้น!” หลีเซียนหยุนรีบเงียบลงแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “แล้วนายจะไปไหนต่อ? ตามหาวิหารแห่งแสงแล้วส่งภารกิจเหรอ?”

“ยังไม่ไป ฉันต้องกลับเมืองแล้วล็อกออฟก่อน แล้วก็อย่าลืมเรื่องที่เธอสัญญากับฉันไว้ว่าจะช่วยตามหาวิหารแห่งแสงด้วยล่ะ ถ้ามีข่าวอะไรก็รีบติดต่อมา”

เซียวเฟิงส่ายหน้า เขาและหลีเซียนหยุนเดินมาจนถึงปากทางเข้าดันเจี้ยน หลังจากที่หันกลับไปย้ำกับหลีเซียนหยุนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยื่นมือไปหยิบเอาคัมภีร์กลับเมืองฝูซู่ที่เธอให้ไว้มาจากกระเป๋าเป้

เขาใช้เวลากว่าสี่ชั่วโมงไปบนเตียง จากนั้นก็ใช้เวลาอีกพักใหญ่ ๆ ในการกำจัดบอสยักษ์ปีศาจ ทำให้ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงหนึ่งทุ่มเข้าไปแล้ว และมันก็เป็นเวลาอาหารเย็นแล้วด้วย

นอกจากปัญหาเรื่องสาว ๆ อย่างหลิวเฉียงเหว่ยและคนอื่นแล้ว อีกหนึ่งปัญหาก็คือเซียวหลิงที่น่าจะได้เวลาตื่นนอนแล้ว

“โอ๊ะ ถ้างั้นฉันจะรีบติดต่อนายไปทันทีเลยถ้านายล็อกอินแล้ว” หลีเซียนหยุนไม่ได้ตามเซียวเฟิงกลับเมืองไปด้วยและเลือกที่จะโบกมือลาเขาแทน ปาร์ตี้ของเธอที่เป็นคนจากกิลด์จักรวรรดิกาลาดูยังคงอยู่ด้านนอกดันเจี้ยนดินแดนแห่งอสูรภูผากัน เพราะงั้นเธอยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่

สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่างที่ทำให้เธอเลือกที่จะไม่ตามเซียวเฟิงไปนั่นก็คือ เธอพยายามจะหลบหน้าอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าหากเธอเผลอพลาดพลั้งเดิมพันอะไรกับเขาไปอีก สิ่งนั้นอาจจะกลายเป็นดาบที่พุ่งเข้ามาทิ่มแทงเธออีกครั้งก็ได้

ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็ไม่ได้เซ้าซี้หรือพูดอะไรต่อ เขาหายวับกลายเป็นกลุ่มแสงแล้วกลับไปปรากฏตัวที่เมือง เพียงพริบตาเดียวภาพรอบ ๆ ตัวเขาก็กลายเป็นภาพของเมืองหลักที่มีผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามาไปแล้ว

[ท่านได้ค้นพบเมืองฝูซู่! ท่านได้รับค่าชื่อเสียง +10,000 แต้ม!]

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขามายังเมืองฝูซู่ เซียวเฟิงจึงไม่รู้เลยว่าย่านการค้าหรือโรงแรมของที่นี่แถมเขาก็ไม่ได้อยากจะตามหาด้วย เขาล็อกออฟ ณ จุดเทเลพอร์ตประจำเมืองที่มีคนมากมายอย่างไม่ลังเล เพราะยังไงซะเมืองหลักก็ปลอดภัยทั้งเมืองอยู่แล้ว เขาไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยก็ได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือตัวเขาไม่ได้มีไอเทมล้ำค่าอะไรด้วยนอกเสียจากแหวนเทพเจ้ากับแหวนหินผา ดังนั้นเขาจึงไม่เกรงกลัวหากจะโดนใครมาลอบฆ่าตอนออฟไลน์

อันที่จริง ถ้าหากเขาโดนฆ่าตายล่ะก็ เขาอาจจะได้กลับไปคืนชีพที่เขตฮัวเซียก็ได้ และถ้าเป็นเช่นนั้น เขาคงจะขอบคุณคนที่ฆ่าเขามาก ๆ เลยทีเดียว

เมื่อล็อกออฟและถอดหมวกเล่นเกมแล้ว เซียวเฟิงก็หันมองรอบ ๆ เตียงก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อไม่พบสาว ๆ เหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ตอนก่อนจะล็อกอินนั้นเขาเพิกเฉยต่อสาว ๆ ทั้งสี่คนที่กำลังเหนื่อยหอบแถมยังไล่ให้พวกเธอกลับห้องไปโดยไม่สนใจด้วย ยังไงเสียพวกเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในห้องเขาอยู่แล้ว

แกร๊ก…

ประตูห้องเปิดออกในขณะนั้น และเป็นเซียวหลิงผู้ที่เดินเข้ามา ทว่าเมื่อเดินเข้ามาในห้องเซียวเฟิง เด็กสาวก็หยุดขาไว้ในทันที คิ้วสวยบนใบหน้าที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความละเมียดละไมนั้นขมวดแน่นจนแทบจะเป็นปม

“นี่มันกลิ่นอะไรเนี่ย? แปลกชะมัด!”

แววตาของเซียวเฟิงเลิ่กลั่กขึ้นมาทันที เหตุผลที่เขาไล่สาว ๆ ทั้งหมดให้ออกจากห้องไปก็เพราะกันเซียวหลิงจะเข้ามาเจอความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอพวกนี้นั่นแหละ แต่เขาก็ดันลืมที่จะเปิดหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นภายในห้องออก เพราะหลังจากสี่ชั่วโมงแห่งการต่อสู้จบลงไป มันย่อมต้องทิ้งกลิ่นราคะให้อบอวลในห้องแอร์อยู่แน่นอน รวมไปถึงกลิ่นของน้ำหอมที่สาว ๆ ใช้เองก็น่าจะตีกันอยู่ในอากาศจนแยกยากอีกด้วย

“คลื่นไส้ชะมัด! นี่นาย เจ้าทาสตัวผู้ นายไม่ได้อาบน้ำมานานขนาดไหนแล้วน่ะ? รีบ ๆ ไปจัดการตัวเองแล้วลงไปกินข้าวเดี๋ยวนี้เลย! องค์หญิงเซียวหลิงหิวข้าวแล้ว!”

แต่โชคของเขาก็ยังมีอยู่ เพราะเซียวหลิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับกลิ่นเหล่านี้ แถมเธอยังไม่กล้าย่างกรายเท้าเข้ามาในห้องเขาด้วย

“เดี๋ยวจะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้แหละ เธอลงไปกินก่อนได้เลย ข้าวกลางวันก็ยังไม่ได้กินนี่” เซียวเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วตอบกลับไป จากนั้นเขาจึงรีบเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับเปิดระบบระบายอากาศกับหน้าต่างทิ้งไว้ด้วย

และอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เซียวเฟิงโล่งใจ นั่นก็คือ เซียวหลิงเริ่มฟื้นตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะเธอเลือกที่จะให้อภัยเซียวเฟิงหรือเลือกที่จะก้าวข้ามอดีต ตราบใดก็ตามที่เธอฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ มันก็ถือเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดที่สุดสำหรับเขา

เขาหวังจะให้เซียวหลิงก้าวผ่านอดีตไปให้ได้เมื่อเธอโตขึ้น และดูเหมือนเซียวหลิงเองจะทำในสิ่งที่เขาหวังแล้ว เธอกำลังเริ่มลืมอดีตแล้วก้าวต่อไปช้า ๆ

ไม่เพียงแค่เซี่ยกวงเหว่ยยุ่งแต่กับงานจนเซียวหลิงไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรมากนัก แต่เป็นเพราะความสำคัญของเซียวเฟิงภายในใจเซียวหลิงเองก็เพิ่มมากขึ้นด้วย เธอจึงเลือกที่จะก้าวเดินออกมาจากอดีต

เซียวเฟิงใช้เวลาเพียงสามนาทีเท่านั้นในการชำระกลิ่นกายของเขา เพราะเขาอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับเซียวหลิงให้มากยิ่งขึ้น มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เซียวเฟิงจะสามารถใช้เพื่อลบภาพของเซี่ยกวงเหว่ยในใจเซียวหลิงได้

หลังจากที่สูดดมกลิ่นในห้องและรับรู้ว่ากลิ่นเริ่มเจือจางแล้ว เซียวเฟิงก็รีบเดินลงไปชั้นล่างด้วยความพึงพอใจ

“แปลก ทำไมฉันไม่เห็นยัยพวกนั้นสักคนเดียวเลย? พวกนั้นกินข้าวกันเสร็จไปก่อนแล้วเหรอ?” ที่ด้านล่าง เซียวหลิงนั่งรออยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว เก้าอี้ที่เธอนั่งนั้นมีขายาวทำให้ขาของเธอไม่สามารถแตะพื้นได้ เซียวหลิงจึงทำได้เพียงแกว่งขาไปมาด้วยความเหนื่อยหน่าย

เธอยังไม่ได้เริ่มทานอะไรก่อน แต่ก็ถือมีดและส้อมรอที่จะทานอาหารทุกเมื่อหากทุกอย่างพร้อมแล้ว เซียวหลิงเบื่อที่จะต้องมารอคนเหล่านี้ ยิ่งรอนานความเบื่อก็ยิ่งก่อตัวหนาขึ้น และยิ่งไม่มีเงาของคนอื่น ๆ แม้แต่คนเดียวเลย มันก็ทำเอาเด็กสาวอดไม่ได้ที่จะพูดแบบนั้นออกมา

“ไม่ต้องรอพวกนั้นหรอก เอ้อ เคอเค่อ ถ้ายังไงหลังจากนี้ก็ช่วยเอาอาหารเย็นไปให้พวกนั้นด้วยนะ” เซียวเฟิงกระแอมไปแล้วเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหลักของโต๊ะอาหาร เขาหันไปพูดกับหนิงเคอเค่อที่กำลังนำอาหารจากในครัวมาเสิร์ฟ

เซียวเฟิงคาดการไว้ว่า หลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ อีกสองคนน่าจะต้องมีสภาพเหมือนผู้ป่วยติดเตียงไปอีกสักสองสามวัน ในขณะที่จืออี้น่าจะดีขึ้นเร็วกว่า แต่ถึงอย่างนั้นพวกเธอทั้งหมดก็น่าจะยังเดินกันไม่ไหวแน่ในวันนี้ ไม่ต้องถามเลยว่าทำไมไม่ลงมาทานข้าวเย็นด้วยกัน

“อ๊ะ รับทราบค่ะ…นายท่าน…”

หนิงเคอเค่อที่ได้ยินเซียวเฟิงพูดกับเธอนั้นแทบจะเผลอทำจานในมือคว่ำลงไปบนพื้น เธอรีบประคองตนเองไว้ให้มั่นก่อนจะหันไปตอบเขาขณะที่แอบมองเขาไปด้วย

“กินกันเถอะ” เซียวเฟิงเริ่มเปิดฉากทานก่อน จากนั้นเซียวหลิงถึงได้เริ่มทานด้วย ดูท่าเซียวเฟิงจะหิวขึ้นมาจริง ๆ

ในขณะเดียวกันหนิงเคอเค่อก็ปลีกตัวเพื่อนำอาหารบางส่วนขึ้นไปด้านบน

ทว่าไม่กี่นาทีต่อมา หนิงเคอเค่อก็รีบวิ่งลงมาจากชั้นบนด้วยหน้าตาตื่น แก้มนวลของเธอแดงแปร๊ดและดูเหมือนจะร้องไห้ ราวกับว่าเธอถูกรังแกมาเสียอย่างนั้น

“ยัยปีศาจวัวนม? เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”

เซียวหลิงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาและเอ่ยถาม นั่นเพราะสีหน้าของหนิงเคอเค่อนั้นมันแสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่าเธอถูกกลั่นแกล้ง เซียวเฟิงเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านหลังนี้ แต่ตัวเขาก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วย แล้วเธอโดนใครแกล้งกันล่ะ? สิ่งนี้ทำให้เซียวหลิงรู้สึกสงสัยมาก ๆ

“ฉะ…ฉัน…”