บทที่ 68.1 พวกเจ้ามันโง่กันทั้งบ้าน! (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

องค์ชายหกเบิกตากว้างและหงายหลังล้มลงไป แต่เขากลับถูกคนพยุงเอาไว้อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ

องครักษ์ด้านนอกไม่สงสัยอะไรทั้งนั้น แสงเทียนสว่างวาบในกระโจมหลังจากนั้นเพียงชั่วครู่และล่วงเข้าสู่ค่ำคืนที่เงียบสงัด

ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อน แต่สายลมที่พัดผ่านบริเวณชายแดนช่วงกลางคืนก็เย็นไม่น้อยเช่นกัน

องครักษ์สองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูรวบเสื้อผ้าที่สวมอยู่เอาไว้แน่น ท่ามกลางความเงียบไร้ซึ่งเสียงใดนั้นพวกเขากลับไม่เห็นกระบอกไม้เรียวเล็กยื่นออกมาจากร่องประตูผ้าสักหลาดแม้แต่นิดเดียว ควันสีขาวค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ

แล้วทั้งสองคนก็หาวไม่หยุดจนแม้แต่ยืนยังเซในชั่วพริบตา

พอเห็นว่าทั้งสองกำลังจะล้มแล้วก็มีคนรูปร่างเล็กสองคนที่สวมชุดขององครักษ์ที่คอยติดตามอย่างใกล้ชิดพุ่งออกมาในกระโจมใหญ่และพยุงทั้งสองคนเอาไว้ทันที พลางจัดท่าทางให้เรียบร้อยและใช้ทวนยาวในมือยันพื้นเอาไว้

ทั้งสองคนหลับสนิท แต่หากมองมาจากที่ไกลกลับไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่นิดเดียว

คนตัวเล็กสองคนหลบหายเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง เพียงชั่วพริบตาก็พยุงคนร่างใหญ่ที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกออกมาอีก โดยพยุงเขาไว้คนละข้างซ้ายขวา และเดินผ่านท่ามกลางกระโจมที่ตั้งเรียงรายไปอย่างเปิดเผย

พวกเขาเดินอ้อมผ่านกระโจมไปสองหลัง แล้วเจอกลุ่มทหารลาดตระเวนที่มาจากที่ไกลตรงหน้าพอดี

“ทำอะไรน่ะ?” คนหนึ่งตะโกนถามเสียงแหบ

“แหะๆ ดื่มมากไปหน่อย เหล่าจางเมาแล้ว!” อีกคนยิ้มและตอบกลับไปเสียงแหบเช่นกัน

ทั้งสามคนไม่คิดจะหลบเลี่ยงเช่นกัน พวกเขาเดินผ่านกลุ่มทหารลาดตระเวนไปต่อหน้าต่อตา กลิ่นเหล้าแรงและกลิ่นเหม็นอ้วกฉุนมากจนทำให้เกือบจะอาเจียน

และเพราะว่าทุกคนเดินเข้ามาหาอย่างเปิดเผย ทหารกลุ่มนั้นจึงไม่สงสัยแม้แต่น้อยและปิดจมูกกันแทบไม่ทัน พลางพูดไปด่าไปว่า “กินเหล้าอะไรเข้าไป ดึกมากแล้วอย่าเที่ยวเดินเพ่นพ่าน หากองค์ชายหกรู้เข้าจะลงโทษพวกเจ้าตามกฎทหาร!”

“ขอรับ ขอรับ ขอรับ!” ทั้งสองคนทำตัวนอบน้อมเอาใจ และพยุง ‘เหล่าจาง’ ที่เมาเหล้าจากไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามองด้านหลังแม้แต่นิดเดียว

ตรงทางแยกที่ไม่ไกลจากเมืองฉู่นัก รถม้าผ้าดำแสนเรียบง่ายและไม่หรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ใต้ต้นไม้ในมุมที่ไม่สะดุดตาคน

ม่านผ้าสีดำตกลงมาอำพรางภาพดำมืดข้างใน

ยามฟ้าสาง!

ช่วงเวลาที่มืดที่สุดของวัน หากมองไปจากที่ไกลก็แทบจะมองเห็นรถม้าเช่นนี้ได้ยากมาก

ไม่นานรถม้าอีกคันก็แล่นมาจากเส้นทางในหุบเขาที่ห่างไกลจากด้านหนึ่งของเมืองฉู่อย่างรวดเร็ว

เชินหลานดึงบังเหียนไว้แน่นและกระโดดลงมาจากรถด้วยสีหน้าเป็นกังวล ตอนที่นางกำลังจะหันตัวไปเปิดม่านนั้นกลับมีชายแก่ที่หนวดและผมมีหงอกแซมกระโดดลงมาจากรถอย่างคล่องแคล่ว

เขารูปร่างผอมแห้งและไม่สูงนัก หน้าตาก็ธรรมดาเช่นกัน ผิวหน้าและแขนที่โผล่ออกมาข้างนอกเต็มไปด้วยรอยย่นซ้อนกันจนทำให้คนมองรู้สึกไม่ค่อยสบายตา

แต่เขากลับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วเสียจนแม้แต่คนหนุ่มสาวทั่วไปก็ยากที่จะเทียบได้

ชายแก่ลงจากรถด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาหอบหายใจหนักจนหนวดเคราแพะขยับตามไปด้วย ทว่าสายตาของนัยน์ตาคู่เล็กกลับคมกริบและส่องประกายสว่างไสวท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด

แต่เวลานี้ข้างในยิ่งอัดแน่นและท่วมท้นไปด้วยความโกรธเหลือคณานับ จนเหมือนจะเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสายตาไปให้หมด

เชินหลานใจสั่นจนหดคอเหมือนนกกระทาทันที เดิมทีนางคิดจะเข้าไปพยุงเขา แต่พอเห็นท่าทางแล้วกลับไม่กล้าเข้าไปใกล้แม้แต่ก้าวเดียว จึงยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม

ชายแก่เดินตรงเข้าไปหารถม้าผ้าดำที่จอดอยู่ข้างทางอย่างรวดเร็ว ทว่าเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงไอที่พยายามกลั้นไว้อย่างที่สุดจนได้ยินไม่ค่อยชัดดังมาจากข้างใน

สีหน้าของเขาที่เคร่งขรึมมากอยู่แล้วแปรเปลี่ยนเป็นหน้าดำคร่ำเครียดในชั่วพริบตา หนวดเคราสั่นคล้ายรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก หน้าอกเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง เหมือนกล่องที่ปิดผนึกความโกรธพลุ่งพล่านเอาไว้ แต่กลับดูเหมือนมีความรู้สึกดีใจปนอยู่ด้วย

ชายแก่เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็วและยื่นมือไปเลิกผ้าม่านสีดำของรถม้าขึ้น

ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยนั้นก็เห็นเงาดำสองร่างพุ่งมาจากทางเมืองฉู่อยู่ไกลๆ อย่างไว

“พี่จื่อกับพี่หงกลับมาแล้ว!” นัยน์ตาของเชินหลานทอประกายวาบด้วยความดีใจ

ชายแก่ชะงักไปและหันไปมองตามเสียงด้วยสีหน้าเย็นชา

คนสองคนที่สวมชุดพรางตัวสีดำมากจนแทบมองไม่เห็นวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืด หากไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาก็แทบจะไม่มีใครมองเห็น

บนบ่าของอิ้งจื่อยังแบกกระสอบผ้าสีดำใหญ่มากไว้ด้วย

ทั้งสองคนวิ่งมาหยุดอยู่ใกล้ๆ ทว่าพอเห็นชายแก่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ถอยห่างออกมา แล้วก้มหน้าลงพร้อมด้วยนัยน์ตาฉายแววเชื่อฟัง พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าหุบเขาปีศาจ!”

ผู้เฒ่าเหยียนหลิงจ้องทั้งสองคนอย่างดุร้าย ทั้งสองคนจึงยิ่งกลั้นหายใจจนไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายกับอ่อนแรงของเหยียนหลิงจวินดังมาจากในรถว่า “พากลับมาแล้วหรือ?”

พื้นที่ว่างในรถนั้นมีจำกัด แม้จะเป็นอากาศในเดือนกรกฎาคม แต่เขากลับสวมเสื้อตัวใหญ่หนาเตอะเพียงตัวเดียวและคลุมทับด้วยเสื้อขนสัตว์จนปิดมิดชิดเช่นกัน เขาเอนตัวพิงด้านซ้ายของตัวรถ

เวลานี้สิ่งที่โผล่ออกมาด้านนอกมีเพียงใบหน้าหล่อเหลาแสนเย็นชาเท่านั้น และไม่รู้ว่าเพราะสวมเสื้อตัวใหญ่ไว้ข้างในและทับด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำหรือเปล่า ใบหน้าของเขาจึงดูซีดขาวผิดปกติ ถึงแม้ปากยังแดงฉ่ำ แต่อย่างไรก็ทำให้ทั้งหน้าของเขาดูเหมือนไม่ค่อยปกติ ทว่ากลับดูหล่อเหลาอย่างน่าประหลาด

ฟ้ายังไม่สว่าง หน้าตาของเขาก็ดูเหมือนอ่อนเพลียเช่นกัน พูดเพียงไม่กี่คำก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวปิดปากกับจมูกกลั้นไว้และไอออกมาเล็กน้อย

“เจ้าค่ะ!” อิ้งจื่อตอบ พลางแกะกระสอบผ้าสีดำออกอย่างรวดเร็ว และเผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่หลับสนิทอยู่ข้างในว่า “ทุกอย่างราบรื่นมาก ไม่มีใครจับได้เจ้าค่ะ นายท่านโปรดวางใจ!”

เหยียนหลิงจวินลืมตาขึ้นมององค์ชายหกแห่งหนานฮวาที่หมดสติและล้มอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเฉยชายิ่งนัก แล้วก็มองไปทางอื่นเหมือนไม่ค่อยสนใจอีกและพยักหน้า “อืม!”

ตอนที่เขายังอยากพูดอะไรบางอย่างนั้น ผู้เฒ่าเหยียนหลิงพลันบันดาลโทสะขึ้นมาจนเตะองค์ชายหกที่ยังสลบไม่ได้สติอยู่บนพื้นไปสองทีอย่างแรง แล้วหันไปชี้เหยียนหลิงจวินที่อยู่ในรถและด่าอย่างโมโห

“เจ้าหาเรื่องให้ข้าอีกแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้เจ้ารับปากข้าไว้อย่างไร? ตกลงกันไว้ว่าจะไม่ยุ่งกับพวกชั่วนี้แล้วไม่ใช่หรือ? นี่เพิ่งจะใช้ชีวิตอย่างสงบได้กี่วัน? เจ้าก็เข้าไปพัวพันด้วยอีกแล้ว ทั้งยังยื่นมือเข้าไปยุ่งวุ่นวายเรื่องการทหารโดยตรงอีก เจ้า…”

“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เข้าไปพัวพันเอง แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาก็ไม่คิดจะกันข้ากับท่านพ่อออกจากเรื่องนี้อยู่แล้ว…”

เหยียนหลิงจวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างเลื่อนลอย ทว่าใบหน้าที่ไร้อารมณ์เช่นนั้นกลับปกปิดอารมณ์เยาะเย้ยได้ยาก

“พ่อของเจ้าก็น่าสมน้ำหน้าเช่นกัน ตอนแรกข้าบอกให้เขาออกมา แต่พูดอย่างไรเขาก็ไม่ฟัง เฟิงชิงโม่ก็ตายไปแล้ว เขายังจะคอยเฝ้ามองที่ที่ยุ่งวุ่นวายแบบนั้นไปอีกทำไม?” ผู้เฒ่าเหยียนหลิงฟังแล้วก็ยิ่งโกรธจัด “รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนพวกนั้นคิดจะทำอะไร แล้วยังไปเคลื่อนไหวอยู่ใต้จมูกพวกเขาอีก โง่แท้ๆ!”

ผู้เฒ่าเหยียนหลิงหัวเสีย แบบที่ถึงแม้เจ้าไม่จุดไฟ เขาก็สามารถลุกไหม้ขึ้นมาเองได้

นานขนาดนี้แล้วเหยียนหลิงจวินเองก็รู้นิสัยเขาเป็นอย่างดี พอเห็นเขาโมโหก็เงียบไม่พูดอะไรอีก

“แม่เจ้าโง่ พ่อเจ้ายิ่งโง่ ส่วนเจ้าโง่กว่าพวกเขาสองคนรวมกันเสียอีก!” ผู้เฒ่าเหยียนหลิงเห็นเขาไม่สนใจตนเองก็แผดเสียงออกมาอย่างเต็มที่ เหมือนไก่ตัวผู้ที่กำลังต่อสู้อย่างองอาจห้าวหาญ นัยน์ตาฉายแววเดือดดาล พลางตะโกนลั่นใส่เหยียนหลิงจวิน

ซึ่งระหว่างที่พูดนั้นก็ปีนขึ้นมาอยู่บนรถแล้ว และยกมือขึ้นมาตบท้ายทอยของเขาอย่างแรง

“หึ…” เหยียนหลิงจวินเห็นท่าทางพาลโกรธของเขาแบบนั้น พอหัวเราะเยาะขึ้นมากลับเหมือนเด็กวัยรุ่นท่าทางขี้ขลาด ไม่พูดไม่จาและไม่หลบหนี

อิ้งจื่อที่อยู่ด้านนอกเห็นจนชินชา จึงค่อยๆ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

เจี๋ยหงกับเชินหลานอยากจะหลับตา เพราะสงสารจนทนดูต่อไปไม่ได้…

ใครๆ ต่างพูดกันว่าเฉินเกิงเหนียนนิสัยไม่ดี ที่แท้นิสัยชอบตบหน้าผากคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาจากตรงนี้นี่เอง!

นายท่านของตนเองเจอกับผู้ใหญ่สองคนที่เจ้าอารมณ์เช่นนี้…

ก็ถือว่าโชคร้ายมากเช่นกัน!

ตอนที่ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจนั้น ผู้เฒ่าเหยียนหลิงก็ยกมือขึ้นสูงและตบลงมาเป็นครั้งสุดท้าย ทว่ากลับเบาเหมือนขนนก เขาชะงักอยู่ตรงท้ายทอยของเหยียนหลิงจวินไปชั่วครู่ แล้วก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา พลางสะบัด แขนเสื้อและนั่งลงข้างๆ แต่ยังคงชี้จมูกเหยียนหลิงจวินและด่าเสียงดังอย่างรุนแรงจนน้ำลายกระเด็นเช่นเดิม

“ดูพวกเจ้าแต่ละคน ทำให้ข้าต้องเป็นห่วงทั้งนั้น! นี่พวกเจ้าคงเห็นข้าอายุยืนเกินไป จึงพยายามคิดหาทุกวิถีทาง แส่หาเรื่องใส่ตัวกันตลอดทั้งครอบครัว อยากจะให้ข้าโมโหจนตายไปไวๆ ใช่หรือไม่? คนแรกก็แม่เจ้า แล้วก็พ่อเจ้าอีก เวลานี้แม้แต่เจ้าก็ไม่อยู่เฉยเช่นกัน! รักกันดูดดื่มทั้งวันทั้งคืน ไม่รู้ว่าในสมองของพวกเจ้าต่างคิดอะไรอยู่กันแน่ ความรักพวกนั้นกินได้หรือ? แต่ละคนต่างรนหาที่ตายจนหาเรื่องให้ข้า เจ้าไปแส่หาเรื่องสิ…ไปแส่หาเรื่องอีก…”

——————————