เขายังคงด่าทอเช่นเดิม ทว่ายิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ และอยากจะลงมืออีกจนทนไม่ไหว แต่ก็ยังฝืนอดทนเก็บมือที่เพิ่งจะยกขึ้นมาเพียงครึ่งเดียวกลับไป พลางด่าต่อไปว่า “เวลานี้เจ้าเหลือชีวิตเพียงครึ่งเดียวแล้ว ตอนนี้เจ้าก็ยังไม่หยุดอีกหรือ? ข้าว่าเจ้าไม่ได้อยากตาย แต่อยากจะทำให้คนแก่อย่างข้าโมโหจนตายไปเลยชัดๆ! คนอื่นเลี้ยงลูกชายลูกสาว ข้าก็เลี้ยงศัตรูอย่างพวกเจ้า หวังจะให้พวกเจ้าเลี้ยงดูยามแก่เฒ่าจนตาย? สู้ข้าขุดหลุมฝังตนเองยังไว้ใจได้กว่า!”
เขาแผดเสียงออกมาทุกคำ แล้วก็อดที่จะตบมือลงบนตัวเหยียนหลิงจวินไม่ได้ จนตัวรถที่นั่งทับอยู่ส่งเสียงดังปึงปังไปทั่ว
เหยียนหลิงจวินเห็นเขาโกรธจัด รอยยิ้มในดวงตาก็ยิ่งฉายแววเอาแต่ใจ พลางยุยงเหมือนไม่ค่อยพอใจอีกว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ท่านอาจารย์ยังอายุยืนอีกยาวนาน ถึงเวลานั้นต่อให้ข้าจะไม่ได้อยู่รอส่งท่านตอนสิ้นใจ เชินหลานก็จะช่วยขุดหลุมฝังท่าน เช่นนี้ยังทำให้ท่านกังวลแม้กระทั่งเรื่องหลังความตายของตนเองได้อีกจริงๆ งั้นหรือ?”
“เจ้าเด็กชั่ว!” พอผู้เฒ่าเหยียนหลิงได้ยิน นัยน์ตาคู่เล็กก็จ้องเขม็งจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้า เขาขบฟันกรามหลังและแผดเสียงออกมาเสียงดังลั่นอีกครั้งว่า “นี่เจ้ากำลังด่าข้าว่าเป็นไอ้แก่ตายยากอ้อมๆ อีกใช่หรือไม่? ใจร้าย นี่มันกี่ปีมาแล้วที่ข้าเหมือนมีชีวิตอยู่เพื่อคอยเป็นห่วงพวกเจ้าสามคนพ่อแม่ลูกตลอดเวลา ทั้งหมดเป็นเพราะเฟิงชิงโม่ เจ้าเด็กนั่นทำร้ายข้า ตอนแรกที่ไหว้ครูนางพูดว่าอย่างไร? ปากหวานหลอกคนแก่อย่างข้าจนหัวหมุน ข้ายังหวังว่านางจะสืบทอดวิชาความรู้ให้ข้า! แต่นางเล่า? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ให้ข้าไปกู้สถานการณ์อันยุ่งเหยิงให้นาง แต่ยังทิ้งสามีกับลูกชายไว้ให้ข้าดูแลทั้งคู่อีก? นี่ชาติที่แล้วข้าติดค้างอะไรครอบครัวพวกเจ้าไว้หรือ?”
เขายิ่งพูดก็ยิ่งโมโหจนหน้าแดงก่ำ แต่สุดท้ายกลับเช็ดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมา
อิ้งจื่อนั้นยังดี แต่เจี๋ยหงกับเชินหลานตกใจจนตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าตามไปด้วย…
ตอนนี้ผู้เฒ่าเหยียนหลิงอายุมากกว่าพวกเขาสี่คนที่อยู่ตรงนี้บวกรวมกันและยังต้องบวกไปอีกหนึ่งเท่า เมื่อก่อนพวกเขารู้แค่ว่าชายแก่คนนี้เจ้าอารมณ์ ก็ยังสงสัยว่าคนใจแคบแบบเขามีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ได้อย่างไร ทว่าเวลานี้เห็นเขาร้องไห้อย่างน้อยใจและอึดอัดใจเหมือนเด็กก็ตกใจจนมองตาค้างไปทันที
แต่เหยียนหลิงจวินกลับหันหน้าไปทางอื่นและไม่ปลอบเขาแม้แต่น้อย ยังคงใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากกับจมูกและนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
ผู้เฒ่าเหยียนหลิงยังคงเช็ดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าอยู่นานมากเช่นเดิม สุดท้ายเขาก็สั่งน้ำมูกอย่างแรงและค่อยใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าลวกๆ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งนั้นสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติแล้ว
“เป็นเพราะว่าเจ้าใจร้าย เนรคุณ ถึงได้ปล่อยให้ข้าร้องไห้แบบนี้ ไม่รู้จักปลอบสักหน่อย!” ผู้เฒ่าเหยียนหลิงแสร้งทำเป็นต่อว่า
ทันใดนั้นเหยียนหลิงจวินก็ส่งสายตาให้อิ้งจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ
อิ้งจื่อล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากในอกเสื้อส่งไปให้
เหยียนหลิงจวินรับมาแล้วยื่นให้ตรงหน้าเขา
ผู้เฒ่าเหยียนหลิงชำเลืองมองแล้วก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมาอีก ทว่าตอนที่แย่งผ้าเช็ดหน้าไปนั้นอยู่ดีๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมา เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบสกปรกบนหน้า แล้วก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เขาหดขาทั้งสองข้างและถอยเข้าไปนั่งในรถ เบียดอยู่ในพื้นที่ว่างที่แคบและเล็กด้วยกันกับเหยียนหลิงจวิน พลางนั่งไขว่ห้างและก้มมองเชินหลานที่ยืนอยู่ไม่ไกลและยังคงอ้าปากกว้างมากเพราะยังไม่ทันได้สติกลับมาว่า “ต้องรีบออกเดินทางไม่ใช่หรือ? ไปเถอะ!”
“อ้อ!” เชินหลานได้สติกลับมา แต่กลับมองสีหน้าของเหยียนหลิงจวินอย่างกลัวหัวหด
เหยียนหลิงจวินไอแห้งๆ ออกมาและพยายามเตือนด้วยคำพูดที่น่าฟังว่า “ท่านอาจารย์ร้องพอแล้วก็รีบกลับไปเถอะ!”
“เจ้า…” ผู้เฒ่าเหยียนหลิงเลิกคิ้วขึ้นและอยากโมโหอีก ทว่าทันทีที่เห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยปกติก็พยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้
“ผู้หญิงคนนั้นนิสัยไม่ค่อยดี หากท่านอาจารย์ไม่ออกหน้าเอง นางต้องหลอกไม่สำเร็จแน่!” เหยียนหลิงจวินเอ่ย พลางโยนผ้าเช็ดหน้าที่เขาทำสกปรกทิ้งไป
“ข้าไม่ไป!” ผู้เฒ่าเหยียนหลิงถือโอกาสขยับก้นไปหันหน้าเข้าหาผนังอีกด้านของตัวรถและหันหลังให้เขา
เหยียนหลิงจวินมองภาพเงาด้านหลังที่ผอมแห้งของเขาแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ พลางยกมือไปจิ้มบ่าของเขา “ท่านรับปากท่านแม่แล้วว่าจะดูแลข้า!”
“ข้าไม่ใช่สุนัขที่นางเลี้ยงเอาไว้เสียหน่อย คิดว่าตนเองเป็นใคร ข้าถึงต้องฟังคำสั่งนางทุกเรื่อง!” ไม่รู้ว่านึกถึงอะไรขึ้นมา อยู่ดีๆ ผู้เฒ่าเหยียนหลิงก็สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีก
แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาและพยายามอดทนอดกลั้นไว้อย่างสุดกำลัง สีหน้าของเขาเคร่งขรึมและนิ่งเฉย หลังจากนั้นชั่วครู่ถึงจะสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้ พลางสูดหายใจลึกว่า “ช่างเถอะ ช่างเถอะ ชาติที่แล้วคนแก่อย่างข้าอาจจะไปก่อเวรก่อกรรมไว้ ก็ถือเสียว่าข้าติดค้างพวกเจ้าสามคนพ่อแม่ลูก ไปเถอะ ไปเถอะ! ในเมื่อรับปากเฟิงชิงโม่ไว้แต่แรก และข้าก็อายุปูนนี้แล้วคงไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับเด็กอย่างพวกเจ้าและผิดคำสัญญาไม่ได้ เมื่อก่อนข้าก็ดูแลนางด้วยมือของตนเองจนนางตาย เวลานี้คงจะผลักภาระไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ฉวยโอกาสตอนที่คนแก่อย่างข้ายังขยับเขยื้อนไหว เจ้าก็หาเรื่องมาให้ข้าให้เต็มที่เถอะ!”
ทว่าเหยียนหลิงจวินกลับมองท่าทางจริงจังของเขาอย่างจนใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ จึงทำได้เพียงห่อตัวด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่แล้วลงจากรถ
เดิมทีผู้เฒ่าเหยียนหลิงก็ไม่ได้ระวังเขาอยู่แล้ว เขาจึงถือโอกาสตบหลังบ่าของอีกฝ่ายไปด้วยตอนที่เขาลุกขึ้น
ผู้เฒ่าเหยียนหลิงตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว ในรถคันนั้นมีพื้นที่ว่างจำกัดมาก เหยียนหลิงจวินจึงเผลอชนเขาล้มไปด้วยตอนที่เบียดผ่านข้างตัวเขาลงจากรถ และทำให้เขาหงายหลังล้มลงไปจนมือกับเท้าชี้ฟ้า นอนหงายเหมือนเต่าอายุหมื่นปี หลังโก่งขึ้นมาและดิ้นไปดิ้นมาไม่หยุด
เชินหลานเห็นท่าทางของเขาแบบนั้น ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“เจ้าเด็กชั่ว!” ผู้เฒ่าเหยียนหลิงด่าเสียงดังอย่างรุนแรงขึ้นมาทันที
เหยียนหลิงจวินไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน เพียงแค่ดึงเสื้อขนสัตว์ที่ตกอยู่บนรถม้าคลุมปิดทั้งตัวเขาไปด้วย พลางเอ่ยอย่างจริงใจว่า “เรื่องทางนี้ต้องลำบากท่านอาจารย์แล้ว!”
เขาเอ่ยจบก็กระตุกผ้าม่านประตูลงมาและส่งสายตาให้เชินหลานว่า “ส่งท่านอาจารย์กลับไปเถอะ!”
“เจ้าค่ะ!” เชินหลานกลั้นหัวเราะ นางเดินเข้ามากระโดดขึ้นไปบนที่นั่งคนขับรถม้าและหันหัวม้าจากไป
ในรถม้านั้นผู้เฒ่าเหยียนหลิงอับจนหนทางและไม่มีใครช่วยเหลือ เขาด่าทอเสียงดังอย่างรุนแรงพักหนึ่งก็ไม่ได้ผล จึงร้องไห้โฮอย่างน้อยใจและช้ำใจขึ้นมาอีก เสื้อขนสัตว์ตัวหนาเก็บเสียงร้องไห้เอาไว้ เสียงนั้นขาดหายเป็นห้วงๆ จนเหมือนลูกสะใภ้บ้านไหนสักบ้านที่ถูกกลั่นแกล้ง
พอเห็นรถม้าของเขาจากไปไกล อิ้งจื่อก็ขมวดคิ้วมองเหยียนหลิงจวินเหมือนกับเป็นกังวลขึ้นมา พลางลองเอ่ย “นายท่าน ครั้งนี้ท่านต้องกลับเมืองหลวงอย่างน้อยก็ครึ่งเดือน เวลานี้ท่าน…”
นางพูดไปก็แอบสังเกตเหยียนหลิงจวินอีก “ให้เจ้าหุบเขาปีศาจไปเป็นเพื่อนท่านยังดูน่าเชื่อถือมากกว่า!”
แต่เหยียนหลิงจวินกลับนิ่งเงียบ และแค่ก้มหน้ามององค์ชายหกที่ยังสลบไม่ได้สติอยู่ใกล้เท้าว่า “ฉวยโอกาสตอนนี้รีบพาเขาไปส่งเถอะ หากช้ากว่านี้นางก็น่าจะพาคนไปแล้ว!”
“เจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงไม่พูดอะไร นางก้มตัวมัดกระสอบผ้าสีดำนั้นอีกครั้งและโยนลงบนหลังม้าของตนเองที่อยู่ข้างๆ แล้วก็เฆี่ยนม้าให้ห้อไปทางค่ายทหารของซีเยว่อย่างรวดเร็ว
เหยียนหลิงจวินมองตามภาพเงาด้านหลังของนางจากไป และยังคงพูดจาตรงไปตรงมาเช่นเดิม เขาหันไปขึ้นรถม้าว่า “ไปเถอะ!”
“เจ้าค่ะ!” อิ้งจื่อมองรถม้าคันนั้นอย่างกังวลมากอีกครั้ง แล้วก็กระโดดขึ้นไปบนที่นั่งคนขับรถม้าและขับรถจากไป
คืนนั้นฉู่สวินหยางพาองครักษ์ที่เจิงจีเลือกให้นางหกคนออกนอกเมืองมุ่งตรงไปยังป่านอกเมืองฉู่
ทางเดินเล็กๆ ด้านหลังหน้าผาสูงชันนั้น เป็นเส้นทางที่ไว้ใจได้ที่สุดในการแฝงตัวเข้าไปทางด้านหลังค่ายทหารหนานฮวาอย่างลับๆ ฉวยโอกาสในคืนที่ไร้แสงจันทร์และลมพัดแรง องค์ชายหกแห่งหนานฮวาก็เพิ่งจะมาถึง และตอนที่ทางนั้นกำลังยุ่งวุ่นวาย นางจึงมั่นใจมากว่าจะทำงานสำเร็จ
เพราะว่าเป็นภารกิจลับ ทำให้พาคนไปด้วยได้ไม่มากนัก ดังนั้นครั้งนี้นางจึงเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบและเป็นความลับ หลังจากทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าและปลอมตัวเรียบร้อยแล้วก็กระโดดออกไปจากบริเวณที่ตั้งกองทัพใหญ่ที่ไร้ผู้คน
ด้านนอกนั้น เจิงจีเตรียมม้าคอยไว้พร้อมอยู่ก่อนแล้ว
ทว่าฉู่สวินหยางที่พาทุกคนไปกลับอึ้งไปชั่วขณะ พลางขมวดคิ้วว่า “ท่านพี่? ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ด้วยได้?”
ฉู่ฉีเฟิงนั่งอยู่บนหลังม้า คิ้วหนาขมวดแน่น สายตาของเขามองนางเหมือนกับกังวลปนจนใจมากทีเดียวว่า “บุกเข้าค่ายของศัตรูไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย เดี๋ยวเจ้าพาคนไปคอยสนับสนุนรอบๆ ค่าย ให้ข้าทำเถอะ!”
ฉู่สวินหยางลังเลเพียงชั่วพริบตา แล้วก็เงียบไม่พูดอะไรออกมา
ฉู่ฉีเฟิงมองท้องฟ้าแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียดว่า “มีข้าอยู่ที่นี่ก็จะไม่ให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายบุกโจมตีข้าศึกอย่างแน่นอน เวลาไม่คอยท่า รอต่อไปฟ้าก็จะสว่างแล้ว หากพรุ่งนี้เขารับช่วงกองทัพต่ออย่างเป็นทางการ หากจะลงมืออีกหลังจากจัดระเบียบกองทัพเรียบร้อยก็ยากแล้ว!”
แต่หากนางยังอยากจะทำตามแผนนี้ต่อไป เช่นนั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่นางจะลังเลและใจอ่อนเหมือนสตรีอีกเด็ดขาด
ฉู่สวินหยางเม้มมุมปากคล้ายกับชั่งใจ แล้วก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว “อื้ม!”
นางกวักมือและพลิกตัวขึ้นม้า
เจิงจีอยากจะตามไปด้วยเช่นกัน แต่ฉู่ฉีเฟิงกลับกางแขนขวางเอาไว้ว่า “พ่อบ้านเจิง เจ้าไม่ต้องไป ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่อยู่ เจ้าคอยจับตาดูอยู่ทางนี้เถอะ!”
——————————–