บทที่ 68.3 พวกเจ้ามันโง่กันทั้งบ้าน! (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ฉู่ซิ่นกับฉู่ฉีเหยียนต่างทยอยจากไป ถึงแม้เวลานี้เขาจะมีฐานะสูงสุดและอำนาจมากที่สุดในกองทัพ แต่อย่างไรทหารของที่นี่ก็ล้วนไม่ใช่ทหารที่เขาพามาแต่แรก หากไม่ทิ้งคนของตนเองไว้คอยเฝ้าสักคนหนึ่ง เขาก็ไม่สบายใจจริงๆ

เจิงจีเองก็เข้าใจความกังวลของเขาจึงพยักหน้าว่า “ขอรับ! ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร ท่านหญิงกับท่านจวิ้นอ๋องวางใจเถอะขอรับ!”

พอพูดจบเขาก็กำชับองครักษ์ที่คอยติดตามว่า “ต้องคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้านายน้อยสองท่านนี้ไว้ให้ได้!”

“ขอรับ พ่อบ้านใหญ่!” ทุกคนต่างขานรับ แล้วรีบขี่ม้าตามสองพี่น้องฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงหายไปท่ามกลางค่ำคืนที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

คนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าตรงไปยังป่าเล็กนอกเมืองฉู่ ฉู่สวินหยางพาไปหาทางเดินแคบที่อยู่ด้านหนึ่งของหน้าผาสูงชันและแอบซ่อนอยู่ใต้เถาวัลย์ตรงยอดหน้าผา

ฉู่ฉีเฟิงมองไป

หน้าผาสูงชันตั้งตระหง่านอยู่ด้านล่าง ทางเดินแคบนั้นขาดหายเป็นช่วงๆ มองไปท่ามกลางความมืด ข้างล่างนั้นเหมือนกับปากใหญ่ที่ทั้งกว้างทั้งลึกจนมองไม่เห็นที่สิ้นสุด ไม่แน่ว่าหากตอนไหนก้าวพลาดก็คงได้ทิ้งชีวิตของตนเองไว้ที่นี่

“ท่านพี่…” ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปหาและดึงแขนเสื้อของฉู่ฉีเฟิง

ฉู่ฉีเฟิงหันกลับไปลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมอ่อนนุ่มของนางและยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร! แค่พวกที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างไม่กี่คน ข้าจัดการได้สบายมาก”

“อืม!” ฉู่สวินหยางก็รู้ว่าเรื่องนี้นางไม่มีทางเปลี่ยนใจเขาได้ จึงไม่เสียเวลาเช่นกัน และเอ่ยแค่ว่า “…เช่นนั้นท่านพี่ระวังตัวด้วย หากไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่ต้องฝืน!”

“รู้แล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย เขาสูดหายใจลึกแล้วปีนหน้าผาสูงชันนำไปก่อนเป็นคนแรก

องครักษ์ห้าคนที่อยู่ด้านหลังทยอยตามไปอย่างคล่องแคล่ว

ฉู่สวินหยางยืนมองตามไปอยู่ที่เดิมคล้ายกับรู้สึกกังวล กลิ่นความชื้นและความหนาวจากลำธารที่ไหลอยู่ระหว่างภูเขาข้างล่างลอยขึ้นมาปะทะหน้า หนาวยะเยือกจนอดที่จะตัวสั่นไม่ได้

นางมองตามไปจนกระทั่งฉู่ฉีเฟิงและคนอื่นหายไปจากตรงหน้า แล้วถึงจะดึงสายตากลับมา

คนที่เหลืออยู่ด้วยกันข้างกายนางคือจูหย่วนซาน

ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉู่ฉีเฟิงบอกว่าจะตามฉู่สวินหยางลงไปในลำธารที่ไหลอยู่ระหว่างภูเขา เขาก็เพิ่งจะตามทหารที่ออกไปค้นหาและช่วยเหลือกลับมาค่ายตอนกลางคืนเช่นกัน

ถึงเวลานี้จูหย่วนซานก็อดที่จะถามออกไปอย่างสงสัยไม่ได้ “เส้นทางลับเช่นตรงนี้ ท่านหญิงรู้ได้อย่างไนขอรับ?”

“วันนั้นโดนคนของฉู่ซิ่นบีบให้ถอยมาถึงตรงนี้จึงบังเอิญเจอเข้า” ฉู่สวินหยางอธิบายอย่างรวบรัด

นางรู้ว่าอธิบายเช่นนี้ไม่สามารถทำให้จูหย่วนซานหายสงสัยได้ แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรมากนัก…

หากว่านางบังเอิญผ่านมาทางนี้และพบทางเดินเล็กนี้เข้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ใครจะมั่นใจมากขนาดนั้นว่าทางเดินแคบนี้ทะลุไปถึงด้านหลังค่ายทหารที่กองทัพใหญ่ของชาวหนานฮวาตั้งอยู่ได้?

เห็นได้ชัดว่าฉู่ฉีเฟิงก็สงสัยเรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่…

เขาคงจะคิดว่าเหยียนหลิงจวินเป็นคนบอกให้นางรู้!

พอนึกถึงเหยียนหลิงจวิน จิตใจของฉู่สวินหยางพลันคล้ายจะหนักอึ้งขึ้นมาอีกอย่างชัดเจน นางขมวดคิ้วอย่างวุ่นวายใจ

ทว่าสุดท้ายจูหย่วนซานก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงต่ออีก เขาแค่รออยู่ริมหน้าผาเป็นเพื่อนนางอย่างเงียบๆ

ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนก้าวเดินอย่างรีบร้อนดังมาจากในป่าด้านหลัง

ทั้งสองคนต่างระวังตัว

จูหย่วนซานชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมปะทะกับศัตรู

แต่ฉู่สวินหยางกลับยกมือดึงเถาวัลย์ข้างหลังมาเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว และปิดบังเส้นทางลับด้านหลังเอาไว้

ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมากลับเห็นเจี๋ยหงที่สวมชุดพรางตัวแบกกระสอบผ้าสีดำวิ่งเข้ามาหา

“ท่านหญิง!” เจี๋ยหงเผยรอยยิ้มอย่างดีใจออกมาทันทีที่เห็นฉู่สวินหยาง “ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!”

“หืม? เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร?” ฉู่สวินหยางก้าวเข้าไปหา พลางส่งสายตาถามนางอย่างไม่เข้าใจ และถือโอกาสสังเกตกระสอบผ้าที่นางแบกอยู่บนบ่าไปด้วย

“ข้าไปหาท่านที่ค่ายทหาร แต่ช้าไปเพียงก้าวเดียว ท่านออกมาก่อนแล้ว” เจี๋ยหงเอ่ย พร้อมกับวางกระสอบผ้านั้นลงและเปิดออก

ข้างในนั้นคือองค์ชายหกแห่งหนานฮวาที่ยังคงหลับสนิท และไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าโดนหลายคนแบกไปหลายที่ระหว่างที่เขาหลับไปเช่นนี้

“ข้ากับอิ้งจื่อไปมาครั้งหนึ่งเมื่อตอนกลางคืน พี่อิ้งจื่อรีบกลับหุบเขาเพลิงอัคคีไปดูแลนายท่านแล้ว จึงให้ข้าพาคนนี้มาส่งให้ท่านเจ้าค่ะ” เจี๋ยหงเอ่ย

“คนนี้คือ…” จูหย่วนซานเบิกตาโตและอดที่จะตกใจไม่ได้

ถึงแม้เขาจะไม่เคยเจอองค์ชายหกแห่งหนานฮวา แต่พอลองคิดดูแล้วก็เข้าใจได้ทันที

สายตาของฉู่สวินหยางจับจ้องไปยังใบหน้าของคนนั้นด้วยสีหน้าเช่นเดิม ทว่าสายตาคล้ายจะฉายแววมืดมนปนลุ่มลึกอยู่บ้าง นางนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน

สุดท้ายแล้วเจี๋ยหงเหมือนจะร้อนตัวขึ้นมา นางรออยู่ชั่วครู่ก็ทนไม่ไหวว่า “ท่านหญิง? ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าท่านออกจากค่ายทางอื่นไปแล้วจึงคลาดกับท่าน คนของท่านแฝงตัวไปแล้วหรือ? ต้องส่งสัญญาณลับติดต่อให้พวกเขาถอนกำลังกลับมาหรือไม่?”

“ไม่ต้องแล้ว ท่านพี่เป็นคนพาคนไปเอง!” ฉู่สวินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีใครจับได้ว่าที่จริงแล้วเมื่อครู่นางเหม่อลอยอยู่นาน

“ในเมื่อพวกเจ้าพาตัวออกมาแล้ว ท่านพี่อาจจะ…” ฉู่สวินหยางเอ่ย แล้วหันกลับไปมองเส้นทางลับทางด้านหลังที่เถาวัลย์ปิดคลุมอย่างมิดชิดอีกครั้ง “เขาน่าจะต้องจัดการเรื่องอื่นไปก่อน!”

ฉู่ฉีเฟิงเป็นคนกล้าทำและในยามคับขันเขาก็ฉวยโอกาสตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดเช่นกัน ในเมื่อไปแล้วเขาก็ไม่คิดจะกลับมาโดยไม่มีผลงานอย่างแน่นอน

นางกวาดสายตามองใบหน้าขององค์ชายหกแห่งหนานฮวาที่อยู่บนพื้น แล้วก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาว่า “ผู้นี้ ข้ายังไม่ใช้เขาในตอนนี้ เจี๋ยหง พาเขากลับไปที่ค่ายทหารก่อนและคอยเฝ้าไว้ให้ดี แล้วค่อยพาเขาไปด้วยตอนที่ข้ากับท่านพี่กลับเมืองหลวง!”

“หา?” เจี๋ยหงโพล่งออกไปอย่างแปลกใจว่า “ท่านหญิงจะใช้เขาเป็นข้อต่อรองกับชาวหนานฮวาไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”

“ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ข้ามีวิธีอื่นที่ดีกว่านั้น!” ฉู่สวินหยางเอ่ย นางก้าวข้ามคนที่ล้มอยู่กับพื้นและเดินไปทางนอกป่า พลางเอ่ย “หย่วนซาน เจ้ารอท่านพี่กลับมาอยู่ที่นี่เถอะ ข้าต้องรีบกลับค่ายทหารไปวางแผนก่อนสักหน่อย!”

“ขอรับ!” จูหย่วนซานขานรับ

เจี๋ยหงรีบมัดกระสอบผ้าให้แน่นเช่นกัน แล้วนางก็แบกองค์ชายหกแห่งหนานฮวาขึ้นบ่า เดินตามฉู่สวินหยางไป

ทั้งสองคนควบม้ากลับค่ายโดยไม่หยุดพักแม้แต่ครู่เดียว หลังจากเข้าไปในค่ายแล้วฉู่สวินหยางก็สั่งให้เจี๋ยหงส่งตัวคนนั้นไปและคอยเฝ้าไว้ให้ดี ส่วนตนเองก็ไปหาเจิงจี

เจิงจีเห็นนางกลับมาเร็วขนาดนี้ก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ เขาสบตากับท่านเก่อที่อยู่ในกระโจมเดียวกันและลุกขึ้นถามว่า “ท่านหญิง ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้? ท่านจวิ้นอ๋องล่ะขอรับ?”

“เปลี่ยนแผน!” ฉู่สวินหยางเอ่ยเข้าประเด็นทันที นางเดินผ่านไปก้มตัวดูแผนที่ที่กางอยู่ตรงหน้าท่านเก่อ พลางขมวดคิ้วครุ่นคิดและอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “คืนนี้อาจจะมีลาภลอย นี่คือตราพยัคฆ์[1] เดี๋ยวท่านเก่อไปรวบรวมคนมาให้หมด ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป บุกประชิดค่ายทหารหนานฮวาทุกทางเดี๋ยวนี้!”

นางพูดไปก็ชี้สองจุดบนแผนที่ “สองที่นี้ ทางหนึ่งเป็นทางถอยทัพไปทางด้านหลังของพวกเขา อีกทางเป็นทางที่ต้องผ่านเพื่อหนีเข้าไปในป่าทึบชิวหลิงที่อยู่ข้างๆ แบ่งคนของทัพหน้าหนึ่งหมื่นคนเป็นสองฝั่ง แล้วให้ประจำอยู่ที่สองจุดนี้ แค่เฝ้าไว้ให้ดีก็พอ เรื่องอื่นพวกเขาไม่ต้องยุ่ง!”

ปกติในสนามรบมักใช้ทัพหน้าที่ถือว่าเป็นหน่วยติดอาวุธครบมือและมีฝีมือการรบเก่งกาจที่สุดในกองทัพบุกนำหน้าสุด

นี่ท่านหญิงสวินหยางจัดวางกำลังทหารสู้รบในสงครามใหญ่ แต่โยกย้ายหน่วยที่มีฝีมือการรบเยี่ยมที่สุดงั้นหรือ?

“สองจุดนี้ต่างเป็นแค่เส้นทางถอยทัพ และถึงแม้อีกฝ่ายจะเพิ่งเปลี่ยนแม่ทัพ ขวัญและกำลังใจของทหารไม่ค่อยมั่นคง แต่กองทัพของทั้งสองฝ่ายก็สูสีกัน ยังไม่แน่ว่าพวกเราจะสามารถโจมตีข้าศึกให้พ่ายแพ้ได้ในครั้งเดียว แล้วก็ไม่แน่ว่าคนที่ประจำอยู่ทั้งสองจุดนี้จะแสดงฝีมือออกมาได้อย่างเต็มที่ และหากไม่มีทัพหน้าบุกตะลุยโจมตีข้าศึก การเปิดฉากสงครามครั้งนี้ก็ไม่เป็นผลดีต่อพวกเรามากขอรับ!” ท่านเก่อเอ่ยอย่างเป็นกังวล

“ข้าสั่งให้เจ้าไปทำ แน่นอนว่าข้าก็ต้องมั่นใจ เจ้าไปทำตามที่ข้าสั่ง!” ฉู่สวินหยางเอ่ย และไม่มีอารมณ์จะอธิบายให้เขาฟังเพิ่มอีก

ทว่าท่านเก่อเป็นเสนาธิการที่ติดตามฉู่อี้อันมาหลายปี จึงรู้เรื่องเกี่ยวกับวังบูรพาดียิ่งนัก

ท่านหญิงสวินหยางคนนี้ ต่อให้เป็นต่อหน้าองค์รัชทายาท นางก็กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมาทุกเรื่องเช่นกัน

เขามองเจิงจีครั้งหนึ่ง พอเห็นว่าเจิงจีพยักหน้าก็ไม่พูดอะไรมากอีก และพกตราพยัคฆ์ติดตัวไปจัดการ

เจิงจีก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน แต่ตอนที่อยากจะพูดอะไรบางอย่างนั้น ฉู่สวินหยางก็เอ่ยปากถามขึ้นมาก่อนพอดีว่า “ทางท่านพี่ยังมีคนที่ไว้ใจได้อยู่กี่คน?”

“ตอนนั้นเพราะกังวลว่าทางนี้จะมีแผนการร้าย ท่านจวิ้นอ๋องจึงพาคนสนิทที่ไว้ใจได้มาด้วยหมด และข้าออกมาจากเมืองหลวงครั้งนี้ องค์รัชทายาทก็ส่งองครักษ์ลับติดตามมาด้วยอีกสิบแปดคนขอรับ” เจิงจีเอ่ย พลางมองนางอย่างระมัดระวัง “ท่านหญิงจะ…”

“รวบรวมคนที่ไว้ใจได้มาให้ข้าให้หมด” ฉู่สวินหยางเอ่ยและยกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาของนางสว่างไสวดุจหิมะและคมกริบ พลางเอ่ยอย่างชัดเจนทุกคำว่า “อย่าปล่อยให้โอกาสดีหลุดลอยไป ข้าต้องจัดการทหารของหนานฮวาหนึ่งแสนคนให้ได้ในทีเดียว ในขณะเดียวกัน…ก็กำจัดอิทธิพลของที่นี่ไปให้หมด ตั้งแต่นี้ไปข้าต้องการให้พวกเขาเคารพนับถือเพียงแต่วังบูรพาของข้าเท่านั้น!”

ฮ่องเต้เป็นคนไว้ใจไม่ได้ ดังนั้นอำนาจทางการทหารที่อยู่ในกำมือเท่านั้นที่จะเป็นกำลังสนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่แข็งแกร่งที่สุด!

—————————————————

[1] ตราพยัคฆ์ ตราอาญาสิทธิ์รูปเสือของแม่ทัพที่แยกออกเป็นท่อนซ้ายและท่อนขวา